แทนที่จะปรับคณะมนตรี สิ่งที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรควรจะต้องทำทันทีตั้งแต่บัดนี้มีอย่างเดียว
ลาออก !
นโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าราคาตลาด 40 % นั้นไม่เพียงแต่เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียง แต่ยังเป็นที่คณะรัฐมนตรีเขียนเป็นนโยบายแถลงต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 23 - 24 สิงหาคม 2554 อยู่ในข้อ 1 นโยบายเร่งด่วนที่จะต้องทำภายใน 1 ปี ข้อย่อย 1.11 อยู่ในเอกสารหน้า 9 เมื่อจู่ ๆ จะลดราคาลงมาไม่ว่าจะมีเหตุผลอย่างไรก็ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
การลาออกไม่ได้สร้างความเสียหายแก่รัฐบาลเลย เพราะอย่างไรเสียก็ยังครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร โดยขั้นตอนเมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก ก็มีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนเก่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอีกก็ได้ ไม่ได้มีข้อห้ามแต่ประการใด
เมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่หน้าเก่ามาแล้ว ก็มีโอกาสเลือกคณะรัฐมนตรีใหม่หมดเหมือนการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่มากกว่า 10 ตำแหน่งอย่างที่กำลังจะทำกันอยู่ ที่ดีกว่าคือมีโอกาสได้เขียนนโยบายใหม่ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปพอสมควรเพื่อแถลงต่อรัฐสภาก่อนปฏิบัติหน้าที่
แต่รัฐบาลไม่ทำหรอก !
เรื่องจำนำข้าวนี่อย่าไปคิดกับดักตัวเลข หลงประเด็นเรื่องราคารับจำนำและ/หรือตัวเลขขาดทุนนะพี่น้อง
โครงการรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าราคาตลาดก่ออาชญากรรมแก่สังคมไทย 3 มิติด้วยกัน มิติที่ 1 การทุจริตที่เกิดขึ้นในแทบทุกขั้นตอนของโครงการ, มิติที่ 2 การทุจริตที่ทำลายสินค้าข้าวไทยทั้งด้านคุณภาพและกลไกการตลาด และมิติที่ 3 การทุจริตที่อ้างทฤษฎีปฏิวัติสังคมมาอ้างอิงอย่างไร้ยางอายนั้น ประเด็นนี้ผมเคยเขียนไว้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2555 ภายใต้ชื่อ “จำนำข้าว : ชั่วยกกำลังสาม” แล้ว ยังยืนยันสารัตถะตามนั้น
ในบรรดาอาชญากรรมทั้ง 3 มิตินี้ อาชญากรรมมิติที่ 3 เป็นการสร้างอนันตริยกรรมให้แก่สังคมอย่างไร้หิริโอตตัปปะที่สุด เพราะคือการแบ่งแยกแผ่นดิน บ่มเพาะความขัดแย้งระหว่างคน 2 กลุ่มใหญ่ในแผ่นดินเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของหมู่คณะตน
ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รมช.พาณิชย์แกนนำนปช.ที่สลับตำแหน่งมาอยู่ตรงนี้เพื่อใช้ความเป็นแชมป์โต้วาทีช่วยแถ-ลงแทนรมว.บุญทรง เตริยาภิรมย์ที่พูดไม่เป็น เคยสวมวิญญาณแกนนำนปช.ตอบในวุฒิสภาเมื่อค่ำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 ที่มีวาระเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ว่านี่ไม่ใช่แค่โครงการธรรมดา แต่เป็น "การปฏิวัติการค้าข้าวของประเทศทั้งระบบ" เป็นการพลิกกลับนาฬิกาทราย จากที่พ่อค้าข้าวส่งออกได้ประโยชน์ เป็นชาวนาได้ประโยชน์ พูดง่าย ๆ ว่าเอาหลักคิดที่นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์เคยเขียนไว้อย่างหลวม ๆ ชนิดเป็นงานที่ไร้คุณภาพที่สุดชิ้นหนึ่งในชีวิตเขาก่อนหน้านั้นสักสองสามอาทิตย์มาพูด เอาทฤษฎีซ้ายมาพูด
เสียแชมป์ส่งออกไม่เป็นไร เพราะที่เป็นแชมป์มา 30 ปีชาวนาก็จนเหมือนเดิม ความเป็นแชมป์ส่งออกจึงเหมือนชาวนาถูกสวมมงกุฎหนาม การไม่เป็นแชมป์คือการถอดมงกุฎหนามออกให้พี่น้อง
รู้อยู่แล้วว่าทำแล้วต้องมีคนต่อต้าน เพราะเสียประโยชน์...
บลาบลาบลา...ฯลฯ...
สรุปคำตอบของรัฐมนตรีแกนนำนปช.ที่มาเข้าสังกัดเยาวภา วงศ์สวัสดิ์คือต้องเดินหน้าต่อไป เพราะนี่คือก้าวยาวก้าวหนึ่งของการปฏิวัติสังคม
ไม่มีใครปลื้มกับการเป็นแชมป์ส่งออกข้าวของประเทศโดยที่พ่อค้าข้าวรวยเอา ๆ โดยชาวนาจนเหมือนเดิมหรอก แต่การอ้างอิงชาวนา อ้างอิงการปฏิวัติสังคม ให้ชาวนาได้เงินเพิ่มขึ้นนิดหน่อยเพื่อเอามาจับจ่ายใช่สอยให้ได้ภาษี VAT เพิ่มขึ้น สินค้าของนายทุนขายดีขึ้น แล้วให้รัฐบาลและพ่อค้าในเครือข่ายไปยึดครองผูกขาดการค้าข้าวเสียเอง เพื่อ "สวมตอ" ความรวยเอา ๆ ของพ่อค้าข้าวส่งออก โดยไม่ยี่หระต่อการพังทลายทั้งระบบของข้าวไทย...
มันคืออาชญากรรม !
มันคืออาชญากรรมระดับอนันตริยกรรม !!
ไม่ได้คิดปฏิวัติสังคมอะไรหรอกครับในชั้นต้น คิดแต่ประโยชน์ทางการเมืองล้วน ๆ แถมด้วยประโยชน์ความมั่นคงแก่พรรคพวกตัวเองในทุกระดับ เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2555 แล้วในเชื่อเรื่อง “เพลงกระบี่ 3 ต. : ตกเขียว ตีเมืองขึ้น และใต้โต๊ะ” ยังยืนยันสารัตถะตามนั้น
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับพี่น้อง จะรับจำนำ 15,000 หรือ 12,000 จะขาดทุน 1.36 แสนหรือ 2.6 แสนไม่สำคัญเท่ากับว่าอาชญากรรมทั้ง 3 มิติยังดำรงอยู่ เพลงกระบี่ 3 ต.ก็ยังคงดำรงอยู่
โครงการจำนำข้าวแต่เดิมเป็นของดี เริ่มต้นตั้งแต่ยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ฤดูการผลิตปี 2524/25 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้ไม่ต้องขายข้าวในราคาต่ำช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่มีข้าวออกมาพร้อมๆ กันทำให้อุปทานล้น ตลาดเป็นของผู้ซื้อ แต่ชาวนาแม้รู้ว่าราคาต่ำแต่ไม่ขายก็ไม่ได้เพราะต้องการนำเงินไปใช้จ่ายและชำระหนี้สิน โครงการจำนำจึงเกิดขึ้นเพื่อให้ชาวนาได้เงินไปใช้จ่ายก่อนประการหนึ่ง และช่วยลดอุปทานในตลาดลงส่วนหนึ่ง เพื่อให้กลไกการตลาดทำงานช่วยยกระดับราคาให้สูงขึ้น ซึ่งเมื่อสูงได้ระดับแล้วชาวนาก็จะมาไถ่ถอนข้าวที่จำนำไว้ไปขายตามกระบวนการปรกติต่อไป หรือถ้าราคาไม่สูงพอที่จะจูงใจให้ชาวนามาไถ่ถอนคืนก็ไม่เป็นไร รัฐบาลรับภาระในการระบายข้าวออกเอง ซึ่งก็ไม่ลำบากอะไรนักเพราะราคาจำนำที่รัฐบาลตั้งไว้แต่ต้นเป็นเพียงร้อยละ 80 ของราคาตลาดเท่านั้น
แม้ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา จะมีการปรับราคารับจำนำให้สูงขึ้นจากร้อยละ 80 เป็น 90 เป็น 100 หรือขึ้นไปสูงถึง 110 แต่ก็ยังไม่เหมือนปัจจุบัน เพราะนอกจากราคาที่ไม่บ้าระห่ำสูงถึงประมาณร้อยละ 150 ของราคาตลาดแล้ว ยังคงรับจำนำเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่รับจำนำทุกเมล็ด
ทำไมต้องบ้าระห่ำคิดโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาดร้อยละ 50 ขนาดนี้ ?
ก็เพราะต้องการชนะการเลือกตั้งไง !
การเลือกตั้งปี 2554 เกิดขณะพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่แล้ว 2 ปีครึ่ง และดำเนินนโยบายประชานิยมเช่นกัน โดยในส่วนของผลิตผลทางการเกษตรก็ได้ให้กำเนินนโยบายประกันราคาผลิตผลการเกษตรขึ้นมา ถือเป็นนโยบายที่แม้เพิ่งเริ่มต้นแต่ก็โดนใจชาวนาไม่น้อย เพราะได้เงินง่ายๆ โดยรัฐบาลจะมีกลไกกำหนดราคาเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา ชาวนาขายข้าวได้เท่าไร ก็ไปเบิกส่วนต่างจากธกส.ได้ทันที เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์คุยได้ว่าริเริ่มขึ้นมาเอง และถ้าอยู่นานต่อไป รวมทั้งขยับกลไกให้เข้าที่เข้าทาง โอกาสที่จะช่วงชิงฐานเสียงคนยากคนจนกลับมาก็พอมี
นอกจากนั้น นอมินีของพี่ใหญ่ทักษิณ ชินวัตรยังเป็นเพียงหญิงสาวที่เข้าสู่การเมืองไม่กี่สิบวัน จึงต้องใช้นโยบายประชานิยมบ้าระห่ำมาหาเสียงแบบไม่เกรงไม่กลัว ทำได้ไม่ได้อย่างไรขอเป็นรัฐบาลไว้ก่อน
จำนำข้าว 15,000 จึงเป็นชุดนโยบายไม้ตายเดียวกับค่าแรง 300 เงินเดือนปริญญาตรี 15,000
นโยบายนี้มันดีอย่างตรงที่ว่าหากขาดทุนก็บอกได้ว่าไม่สำคัญ เพราะมีวัตถุประสงค์ช่วยชาวนาเป็นหลัก พวกเราทุกคนในแผ่นดินก็รับผลการขาดทุนกันไปในรูปของหนี้สาธารณะที่จะต้องตั้งใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่มาจากภาษีอากรทุกบาททุกสตางค์ของพวกเรา แถมยังเป็นความลับทางการค้าที่ต้องปกป้องประเทศผู้ซื้อ เมื่อเปิดเผยสัญญาจีทูจีไม่ได้ก็ตรวจสอบกันยาก
เพื่อปิดบังความมักง่ายของการหาคะแนนนิยม ปิดบังอาชญากรรมใน 2 มิติแรก และธำรงการก่ออาชญากรรมใน 2 มิติแรกต่อไป พวกเขาจะเดินหน้าก่ออาชญากรรมในมิติที่ 3 อย่างเมามัน
ลาออก !
นโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าราคาตลาด 40 % นั้นไม่เพียงแต่เป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียง แต่ยังเป็นที่คณะรัฐมนตรีเขียนเป็นนโยบายแถลงต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 23 - 24 สิงหาคม 2554 อยู่ในข้อ 1 นโยบายเร่งด่วนที่จะต้องทำภายใน 1 ปี ข้อย่อย 1.11 อยู่ในเอกสารหน้า 9 เมื่อจู่ ๆ จะลดราคาลงมาไม่ว่าจะมีเหตุผลอย่างไรก็ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
การลาออกไม่ได้สร้างความเสียหายแก่รัฐบาลเลย เพราะอย่างไรเสียก็ยังครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร โดยขั้นตอนเมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก ก็มีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนเก่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอีกก็ได้ ไม่ได้มีข้อห้ามแต่ประการใด
เมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่หน้าเก่ามาแล้ว ก็มีโอกาสเลือกคณะรัฐมนตรีใหม่หมดเหมือนการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่มากกว่า 10 ตำแหน่งอย่างที่กำลังจะทำกันอยู่ ที่ดีกว่าคือมีโอกาสได้เขียนนโยบายใหม่ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปพอสมควรเพื่อแถลงต่อรัฐสภาก่อนปฏิบัติหน้าที่
แต่รัฐบาลไม่ทำหรอก !
เรื่องจำนำข้าวนี่อย่าไปคิดกับดักตัวเลข หลงประเด็นเรื่องราคารับจำนำและ/หรือตัวเลขขาดทุนนะพี่น้อง
โครงการรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าราคาตลาดก่ออาชญากรรมแก่สังคมไทย 3 มิติด้วยกัน มิติที่ 1 การทุจริตที่เกิดขึ้นในแทบทุกขั้นตอนของโครงการ, มิติที่ 2 การทุจริตที่ทำลายสินค้าข้าวไทยทั้งด้านคุณภาพและกลไกการตลาด และมิติที่ 3 การทุจริตที่อ้างทฤษฎีปฏิวัติสังคมมาอ้างอิงอย่างไร้ยางอายนั้น ประเด็นนี้ผมเคยเขียนไว้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2555 ภายใต้ชื่อ “จำนำข้าว : ชั่วยกกำลังสาม” แล้ว ยังยืนยันสารัตถะตามนั้น
ในบรรดาอาชญากรรมทั้ง 3 มิตินี้ อาชญากรรมมิติที่ 3 เป็นการสร้างอนันตริยกรรมให้แก่สังคมอย่างไร้หิริโอตตัปปะที่สุด เพราะคือการแบ่งแยกแผ่นดิน บ่มเพาะความขัดแย้งระหว่างคน 2 กลุ่มใหญ่ในแผ่นดินเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของหมู่คณะตน
ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รมช.พาณิชย์แกนนำนปช.ที่สลับตำแหน่งมาอยู่ตรงนี้เพื่อใช้ความเป็นแชมป์โต้วาทีช่วยแถ-ลงแทนรมว.บุญทรง เตริยาภิรมย์ที่พูดไม่เป็น เคยสวมวิญญาณแกนนำนปช.ตอบในวุฒิสภาเมื่อค่ำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 ที่มีวาระเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ว่านี่ไม่ใช่แค่โครงการธรรมดา แต่เป็น "การปฏิวัติการค้าข้าวของประเทศทั้งระบบ" เป็นการพลิกกลับนาฬิกาทราย จากที่พ่อค้าข้าวส่งออกได้ประโยชน์ เป็นชาวนาได้ประโยชน์ พูดง่าย ๆ ว่าเอาหลักคิดที่นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์เคยเขียนไว้อย่างหลวม ๆ ชนิดเป็นงานที่ไร้คุณภาพที่สุดชิ้นหนึ่งในชีวิตเขาก่อนหน้านั้นสักสองสามอาทิตย์มาพูด เอาทฤษฎีซ้ายมาพูด
เสียแชมป์ส่งออกไม่เป็นไร เพราะที่เป็นแชมป์มา 30 ปีชาวนาก็จนเหมือนเดิม ความเป็นแชมป์ส่งออกจึงเหมือนชาวนาถูกสวมมงกุฎหนาม การไม่เป็นแชมป์คือการถอดมงกุฎหนามออกให้พี่น้อง
รู้อยู่แล้วว่าทำแล้วต้องมีคนต่อต้าน เพราะเสียประโยชน์...
บลาบลาบลา...ฯลฯ...
สรุปคำตอบของรัฐมนตรีแกนนำนปช.ที่มาเข้าสังกัดเยาวภา วงศ์สวัสดิ์คือต้องเดินหน้าต่อไป เพราะนี่คือก้าวยาวก้าวหนึ่งของการปฏิวัติสังคม
ไม่มีใครปลื้มกับการเป็นแชมป์ส่งออกข้าวของประเทศโดยที่พ่อค้าข้าวรวยเอา ๆ โดยชาวนาจนเหมือนเดิมหรอก แต่การอ้างอิงชาวนา อ้างอิงการปฏิวัติสังคม ให้ชาวนาได้เงินเพิ่มขึ้นนิดหน่อยเพื่อเอามาจับจ่ายใช่สอยให้ได้ภาษี VAT เพิ่มขึ้น สินค้าของนายทุนขายดีขึ้น แล้วให้รัฐบาลและพ่อค้าในเครือข่ายไปยึดครองผูกขาดการค้าข้าวเสียเอง เพื่อ "สวมตอ" ความรวยเอา ๆ ของพ่อค้าข้าวส่งออก โดยไม่ยี่หระต่อการพังทลายทั้งระบบของข้าวไทย...
มันคืออาชญากรรม !
มันคืออาชญากรรมระดับอนันตริยกรรม !!
ไม่ได้คิดปฏิวัติสังคมอะไรหรอกครับในชั้นต้น คิดแต่ประโยชน์ทางการเมืองล้วน ๆ แถมด้วยประโยชน์ความมั่นคงแก่พรรคพวกตัวเองในทุกระดับ เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2555 แล้วในเชื่อเรื่อง “เพลงกระบี่ 3 ต. : ตกเขียว ตีเมืองขึ้น และใต้โต๊ะ” ยังยืนยันสารัตถะตามนั้น
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับพี่น้อง จะรับจำนำ 15,000 หรือ 12,000 จะขาดทุน 1.36 แสนหรือ 2.6 แสนไม่สำคัญเท่ากับว่าอาชญากรรมทั้ง 3 มิติยังดำรงอยู่ เพลงกระบี่ 3 ต.ก็ยังคงดำรงอยู่
โครงการจำนำข้าวแต่เดิมเป็นของดี เริ่มต้นตั้งแต่ยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ฤดูการผลิตปี 2524/25 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้ไม่ต้องขายข้าวในราคาต่ำช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่มีข้าวออกมาพร้อมๆ กันทำให้อุปทานล้น ตลาดเป็นของผู้ซื้อ แต่ชาวนาแม้รู้ว่าราคาต่ำแต่ไม่ขายก็ไม่ได้เพราะต้องการนำเงินไปใช้จ่ายและชำระหนี้สิน โครงการจำนำจึงเกิดขึ้นเพื่อให้ชาวนาได้เงินไปใช้จ่ายก่อนประการหนึ่ง และช่วยลดอุปทานในตลาดลงส่วนหนึ่ง เพื่อให้กลไกการตลาดทำงานช่วยยกระดับราคาให้สูงขึ้น ซึ่งเมื่อสูงได้ระดับแล้วชาวนาก็จะมาไถ่ถอนข้าวที่จำนำไว้ไปขายตามกระบวนการปรกติต่อไป หรือถ้าราคาไม่สูงพอที่จะจูงใจให้ชาวนามาไถ่ถอนคืนก็ไม่เป็นไร รัฐบาลรับภาระในการระบายข้าวออกเอง ซึ่งก็ไม่ลำบากอะไรนักเพราะราคาจำนำที่รัฐบาลตั้งไว้แต่ต้นเป็นเพียงร้อยละ 80 ของราคาตลาดเท่านั้น
แม้ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา จะมีการปรับราคารับจำนำให้สูงขึ้นจากร้อยละ 80 เป็น 90 เป็น 100 หรือขึ้นไปสูงถึง 110 แต่ก็ยังไม่เหมือนปัจจุบัน เพราะนอกจากราคาที่ไม่บ้าระห่ำสูงถึงประมาณร้อยละ 150 ของราคาตลาดแล้ว ยังคงรับจำนำเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่รับจำนำทุกเมล็ด
ทำไมต้องบ้าระห่ำคิดโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาดร้อยละ 50 ขนาดนี้ ?
ก็เพราะต้องการชนะการเลือกตั้งไง !
การเลือกตั้งปี 2554 เกิดขณะพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่แล้ว 2 ปีครึ่ง และดำเนินนโยบายประชานิยมเช่นกัน โดยในส่วนของผลิตผลทางการเกษตรก็ได้ให้กำเนินนโยบายประกันราคาผลิตผลการเกษตรขึ้นมา ถือเป็นนโยบายที่แม้เพิ่งเริ่มต้นแต่ก็โดนใจชาวนาไม่น้อย เพราะได้เงินง่ายๆ โดยรัฐบาลจะมีกลไกกำหนดราคาเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา ชาวนาขายข้าวได้เท่าไร ก็ไปเบิกส่วนต่างจากธกส.ได้ทันที เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์คุยได้ว่าริเริ่มขึ้นมาเอง และถ้าอยู่นานต่อไป รวมทั้งขยับกลไกให้เข้าที่เข้าทาง โอกาสที่จะช่วงชิงฐานเสียงคนยากคนจนกลับมาก็พอมี
นอกจากนั้น นอมินีของพี่ใหญ่ทักษิณ ชินวัตรยังเป็นเพียงหญิงสาวที่เข้าสู่การเมืองไม่กี่สิบวัน จึงต้องใช้นโยบายประชานิยมบ้าระห่ำมาหาเสียงแบบไม่เกรงไม่กลัว ทำได้ไม่ได้อย่างไรขอเป็นรัฐบาลไว้ก่อน
จำนำข้าว 15,000 จึงเป็นชุดนโยบายไม้ตายเดียวกับค่าแรง 300 เงินเดือนปริญญาตรี 15,000
นโยบายนี้มันดีอย่างตรงที่ว่าหากขาดทุนก็บอกได้ว่าไม่สำคัญ เพราะมีวัตถุประสงค์ช่วยชาวนาเป็นหลัก พวกเราทุกคนในแผ่นดินก็รับผลการขาดทุนกันไปในรูปของหนี้สาธารณะที่จะต้องตั้งใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่มาจากภาษีอากรทุกบาททุกสตางค์ของพวกเรา แถมยังเป็นความลับทางการค้าที่ต้องปกป้องประเทศผู้ซื้อ เมื่อเปิดเผยสัญญาจีทูจีไม่ได้ก็ตรวจสอบกันยาก
เพื่อปิดบังความมักง่ายของการหาคะแนนนิยม ปิดบังอาชญากรรมใน 2 มิติแรก และธำรงการก่ออาชญากรรมใน 2 มิติแรกต่อไป พวกเขาจะเดินหน้าก่ออาชญากรรมในมิติที่ 3 อย่างเมามัน