ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์ เกิดเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้ง เมื่อพนักงานประมาณ 1,400 คน ลงชื่อขอให้ตรวจสอบผู้บริหารธนาคาร
ทั้งนี้หลังจาก ‘ธีรศักดิ์ สุวรรณยศ’ ถูกกระทรวงการคลัง ตั้งกรรมการสอบในข้อหา ปล่อยสินเชื่อไม่ชอบมาพากล
สื่อหลายสำนักเชื่อว่า นี่คือการส่งสัญญาณบางอย่างที่มีนัยยะซ่อนเร้น อาจสะเทือนถึง ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการไอแบงก์ คนต่อไป !!
หลังจากนั้น กระทรวงการคลัง และ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ตั้งกรรมการสอบสวน ผู้บริหารไอแบงก์ ว่า มีการปล่อยสินเชื่อไม่ชอบมาพากล มูลค่าเป็นหลักพันล้านบาท ในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยหรือ ไอแบงก์
แต่แล้ว เมื่อวิรุฬ เตชะไพบูลย์ นั่งเก้าอี้ รมช.คลัง ควบคุมไอแบงก์
ผลการสอบสวนก็ไม่ปรากฏว่า ธีรศักดิ์ หรือ เสี่ยอี๊ด มีมลทิน
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตรวจสอบพบว่ามีการปล่อยสินเชื่อไม่ชอบมาพากล ประมาณ 8 โครงการ มูลค่าเป็นหลักพันล้านบาท ในธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) โดย ธปท.ได้ส่งข้อมูลให้ กระทรวงการคลัง และ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
หลังจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง นายอำนวย ปรีมนวงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการปล่อยกู้ ของไอแบงก์ ทำการตรวจสอบ
แต่แล้วก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
นั่นทำให้ “ธีรศักดิ์”นั่งบริหารจนครบวาระ
เพียงแต่ไม่ได้ต่ออายุเท่านั้น
โดยส่งไม้ต่อให้อดีตผู้จัดการทั่วไป แคปปิตอล โอเค วัย 47 มาทำหน้าที่แทน
“ธานินทร์ อังสุวรังษี” อดีตกรรมการ บมจ.ท่าอากาศยานไทย และผู้จัดการทั่วไป บริษัท แคปปิตอล โอเค เป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่ ของธนาคาร โดยเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่แล้ว
ธานินทร์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าไม่มีประสบการณ์ทางด้านการเงิน แต่เข้าบริหารไอแบงก์ เพราะ มียี่ห้อ“แคปปิตอล โอเค”ในเครือชินวัตรแปะหน้าผาก
เคยทำงานเป็น กรรมการผู้จัดการ แมคไทย จำกัด
แต่การขายสินเชื่อ เงินฝาก ไม่เหมือนกับการขายแม็คโดนัล
ธานินทร์ จึงถูกสบประมาทอย่างรุนแรง
แม้ว่าในที่ประชุมคณะกรรมการสรรหามีการทักท้วงคุณสมบัติของนายธานินทร์ ว่า ไม่ใช่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร เพราะเป็นเพียงผู้จัดการทั่วไปเท่านั้น นอกจากนี้คุณสมบัติที่กำหนดยังระบุว่า ต้องเคยผ่านการบริหารงานในสถาบันการเงิน และมีเงินทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่แคปปิตอล โอเค มีเงินทุนหมุนเวียนไม่ถึงเกณฑ์
แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันของ“การเมือง”ได้
คณะกรรมการสรรหา จึงได้เขียนระบุในที่ประชุมไว้ว่า หากคุณสมบัติผู้สมัครไม่ครบ ให้ถือว่าเป็นความผิดของผู้สมัครเอง เพราะการเข้าทำหน้าที่ โดยผิดเงื่อนไขเรื่องคุณสมบัติ อาจจะเป็นที่มาของการฟ้องร้องในภายหลังได้
ทำให้ไม่มีใครกล้าเสี่ยงเอาชีวิตการทำงานไปฝากไว้กับ ธานินทร์
นอกจากนี้ ธานินทร์ ยังเป็นประธาน บริษัท 988 พลัส จำกัด ที่ปรึกษา CEO บริษัทเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) เป็นกรรมการบริษัท ศัลยกรรมเพอร์เฟคเท็น จำกัด บริษัท อีซีท็อปอัพ จำกัด บริษัท แวง จำกัด บริษัท เอ็มบาสซี่ ซีนีมา จำกัด บริษัท อินโนเวทีฟ จำกัด บริษัท อินโนเวทีฟ เอนเอจี แมเนจเมนท์ จำกัด
ธานินทร์ จบปริญญาตรีวิศวกรรม คอมพิวเตอร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สถาบันศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แต่นั่นไม่ได้บอกว่า ธานินทร์ มีความสามารถทางการเงิน
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีผู้มาสมัครตำแหน่งกรรมการผู้จัดการไอแบงก์ ถึง 5 คน แต่ไม่มีใคร “เส้นใหญ่”เท่ากับธานินทร์
แต่เส้นใหญ่มาจากไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับ “ความพินาศ” ในไอแบงก์
จนทำให้พนักงานพากันประท้วง พร้อม ยื่นข้อเสนอ 9 ข้อ
โดยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา พนักงานธนาคารอิสามแห่งประเทศไทย ประมาณ 300-400 คน รวมตัวหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยมีนายครรชิต สิงห์สุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายยุทธศาสตร์องค์กร และบริหารคุณภาพสินเชื่อ ไอแบงก์ เป็นตัวแทนพนักงาน ยื่นหนังสือให้มีการสอบสวนข้อเท็จริงการทำงานของ นายธานินทร์ อังวสุรังษี กรรมการผู้จัดการธนาคาร รวมทั้งให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤตของธนาคาร จำนวน 9 เรื่อง พร้อมทั้งส่งเอกสารแนบเป็นรายชื่อพนักงานรวมลงนามจำนวน 1,400 คน จากจำนวนพนักงานทั้งหมด 2,000 คน ทั้งนี้เป็นระดับผู้บริหารจำนวน 21 ราย และระดับรองจำนวน 7 ราย
ต่อมาในเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน นายเปรมกมลย์ ทินกร ณ อยุธยา ประธานกรรมการธนาคารอิสลามฯ ได้รับหนังสือร้องเรียน และพร้อมรับปากว่าจะเอาเข้าที่ประชุมกรรมการธนาคารใน วัน 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา
หนังสือร้องเรียนดังกล่าว ระบุว่า ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ตกต่ำถึงขีดสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารมา ทั้งในด้านผลประกอบการที่ขนาดสินทรัพย์ลดลงมากกว่า 20 % นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มากที่สุดในประวัติการณ์ โดยประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาท และการขาดทุนสะสมที่มากกว่าทุน จนทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงติดลบถึง 14 %
การขาดทุนนั้น เฉพาะช่วงเดือน มกราคม-พฤษภาคม 2556 มีประมาณ 7,000 ล้านบาท ในด้านความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อธนาคาร ส่งผลให้เกิดการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากไป 2.9 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555
ทั้งนี้หนังสือดังกล่าวเรียกร้องให้มีการแก้ไข ใน 9 ประเด็น คือ
1. ลดผลกระทบและการตกชั้นเป็นหนี้เสียของลูกค้า ด้วยการสั่งการให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ยกเลิกกระบวนการอนุมัติ และเบิกจ่ายสินเชื่อที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับธนาคาร ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของลูกค้าธุรกิจ จนมีผลทำให้ลูกค้าจำนวนมากประสบปัญหาในทางธุรกิจ จนไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้ ดังปรากฏจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารได้เพิ่มขึ้นจาก 2.4 หมื่นล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน 2555 เป็นมากกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ในเดือนเมษายน 2556
2. สั่งการให้ยกเลิกการรวบอำนาจการอนุมัติตามลำดับชั้นโดยกรรมการผู้จัดการธนาคาร ซึ่งการสั่งการของกรรมการผู้จัดการธนาคาร ส่งผลให้การอนุมัติดำเนินการต่างๆ ได้เกิดความล่าช้า และไม่มีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินงานในการสั่งซื้อ สั่งจ้างพัสดุ หรือการดำเนินการที่มีความจำเป็นในหน่วยงานต่างๆ ของธนาคาร และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกคู่ค้าของธนาคารฟ้องร้อง อันเนื่องมาจากการเบิกจ่ายเพื่อชำระเงินให้กับคู่ค้าของธนาคาร มีความล่าช้า
3. สั่งการให้ยกเลิกการว่าจ้างคณะที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ ทุกราย โดยในปัจจุบันธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการรวมมากกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากเป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของธนาคาร
4. สั่งการให้สอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการสั่งกันสำรองเป็นเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ธนาคารขาดทุนจนทุนติดลบโดยไม่มีความจำเป็น โดยการกันเงินสำรองจำนวน 7,000 ล้านบาท ในงบการเงินปี 2555
5. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริง กรณีที่มีการออกข่าวในทางเสียหายต่อธนาคาร โดยเฉพาะการเปิดเผยรายงานธนาคารแห่งประเทศไทย มีหนี้เสียถึง 3.9 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ในข้อเท็จจริง ณ เดือนมกราคม 2556 หรือขณะที่ออกข่าว ธนาคารมีหนี้เสียเพียง 2.4 หมื่นล้านบาท
6. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริง กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแก้ไขชั้นหนี้ลูกค้าเบิกเกินวงเงิน (OD)หลายราย เพื่อปกปิดหนี้เสียกว่า 3,000 ล้านบาท ในเดือนก.พ. 2556 ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงยอดหนี้เสียรวมของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ
7. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหาว่ามีการเรียกรับสินบน ตามที่ บริษัท ท้าพิสูจน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้มีการฟ้องร้องผู้บริหารของธนาคารต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556 ว่ามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยในคำฟ้องของลูกค้ารายดังกล่าว ได้กล่าวถึงการสั่งการให้ระงับการอนุมัติสินเชื่อของลูกค้าเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ดังนั้น การตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้จะทำให้เกิดความกระจ่างและทำให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการของธนาคาร
8. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนเรื่องบริษัทที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการเรียกรับผลประโยชน์จากการขายทรัพย์สินของลูกค้าเพื่อนำมาชำระหนี้ โดยการว่าจ้างบริษัทดังกล่าวเพื่อเข้ามาเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการธนาคารฯ ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับธนาคารฯ แต่ปรากฎว่ามีการร้องเรียนว่าบริษัทที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการธนาคารฯ ได้มีพฤติกรรมในการเรียกรับผลประโยชน์ อันเกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยได้เรียกค่านายหน้าในการขายทรัพย์สินของลูกค้าเพื่อชำระหนี้ ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารฯ เป็นเงิน 3% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ขายได้
9. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่มีการปิดรับสมัครพนักงานในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจรายย่อย จำนวน 3 ตำแหน่ง เป็นการภายในก่อนเวลาที่กำหนดไว้ โดยในครั้งแรกบริหารทรัพยากรบุคคลได้กำหนดให้หมดเขตการรับสมัคร ในวันที่ 5 เมษายน 2556 แต่ภายหลังได้มีการประกาศให้ปิดรับสมัครทันที ในวันที่ 26 มีนาคม 2556 เวลา 17.02 น. และมีการเสนอวาระว่าจ้างบุคคลภายนอก 3 ราย ให้มาดำรงตำแหน่งดังกล่าว ต่อคณะกรรมการธนาคาร ในวันที่ 27 มีนาคม 2556 จึงเป็นที่สงสัยในการดำเนินการดังกล่าวว่ามีการกระทำความผิดตามข้อบังคับธนาคารหรือกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ดังนั้นการตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้ จะทำให้เกิดความกระจ่าง และทำให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการของธนาคาร
ข้อเสนอทั้งหมดต่างพุ่งเป้าไปที่ “ธานินทร์ อังวสุรังษี”กรรมการผู้จัดการธนาคาร และพรรคพวกโดยตรง
ด้วยความเชื่อว่า มี “ขบวนการโกง”อยู่ภายในธนาคาร !!