ASTVผู้จัดการรายวัน - อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ABPIF มูลค่า 6,500 ล้านบาท คาดเปิดขายหน่วยลงทุนได้ ก.ค.นี้ เพื่อนำเงินไปสร้างโรงไฟฟ้าSPPเพิ่ม โดยมีเป้าหมาย 6ปีข้างหน้ามีโรงไฟฟ้าเพิ่มเป็น 16 โรง กำลังผลิต 2 พันเมกะวัตต์ ชี้เป็นทางเลือกนักลงทุนในช่วงตลาดหุ้นผันผวน
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานABPIF มูลค่า 6,500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายหน่วยลงทุนได้ในช่วงเดือน ก.ค.2556 โดยนำเงินที่ได้ไปสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 โรงเป็น 16 โรงในปี 2562 คิดเป็นกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 400 เมกะวัตต์เป็น 2 พันเมกะวัตต์
ใช้เงินลงทุนกว่า 7 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ABPIF จะเข้าไปลงทุนในสิทธิในการรับผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ในโรงไฟฟ้าบี.กริม 1 และบี.กริม 2 ที่จังหวัดชลบุรี มีกำลังการผลิตรวมกว่า 350 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลาประมาณ 9 ปี โดยนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุง โดยมีธ.กสิกรไทยเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
“ ในสัปดาห์หน้า บริษัทฯจะมีโรงไฟฟ้าSPP ขนาด 123 เมกะวัตต์ที่จ.ระยองจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ และเดือนถัดไป โรงไฟฟ้าขนาด 123เมกะวัตต์ที่ระยองอีกโรงจะจ่ายไฟเข้าระบบเช่นกัน ทำให้ในปลายปีนี้บริษัทฯมีโรงไฟฟ้าที่ผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว 6 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 700 กว่าเมกะวัตต์ “
ตามแผนการลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าSPP ที่เหลืออีก 10 โรงนั้น มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)แล้วโรงละ 90 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากในการพัฒนา ดังนั้นจึงตัดสินใจตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานABPIF ขึ้น หากกองทุนดังกล่าวได้รับการต้อนรับดีจากนักลงทุน
ก็อาจจะมีการขายรายได้ในอนาคตของโรงไฟฟ้าอื่นๆของกลุ่มบริษัทในอนาคตก็ได้
นางปรียนาถ กล่าวต่อไปว่า ทางกลุ่มบี.กริม เพาเวอร์ ยังได้เข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการมินิ ไฮโดร ที่สปป.ลาว คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้ ขณะเดียวกันก็ศึกษาการตั้งโรงไฟฟ้าในขอบชายแดนมาเลเซีย และการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นด้วย โดยปลายปีนี้น่าจะได้ข้อสรุปว่าจะลงทุนอะไรบ้าง
ปัจจุบันบริษัท อมตะ บี.กริม. เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว 4 โรงตั้งอยู่ในนิคมฯอมตนคร จ.ชลบุรี 3 โรงและเวียดนามอีก 1 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 493 เมกะวัตต์ โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้ 50%จ่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เหลือขายให้กับลูกค้าในนิคมฯมากกว่า 200 ราย
สำหรับภาพรวมการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดถึง 26,500 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 34,000 เมกะวัตต์ใน 3ปีข้างหน้า จำเป็นที่ภาครัฐต้องเร่งสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามาเสริมความมั่นคงในระบบ
ด้านนายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ABPIF ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุนที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากธุรกิจมีความเสี่ยงที่ต่ำ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าที่มีความชัดเจน ซึ่งต้นทุนส่วนใหญ่ที่ใช้จ่ายจะเป็นค่าก๊าซฯที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว และให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือพันธบัตรรัฐบาล
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ABPIF อยู่ระหว่างการพิจารณาไฟลิ่งของ ก.ล.ต. ซึ่งคาดว่าจะจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับนักลงทุนได้ในช่วงต้นไตรมาส 3/2556 และผลตอบแทนจะไม่ต่ำกว่า 6% ต่อปี จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างในปัจจุบัน เพราะมีระดับรายได้ในอนาคตที่ชัดเจนจากสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าระยะ
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานABPIF มูลค่า 6,500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายหน่วยลงทุนได้ในช่วงเดือน ก.ค.2556 โดยนำเงินที่ได้ไปสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้นจากเดิม 4 โรงเป็น 16 โรงในปี 2562 คิดเป็นกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 400 เมกะวัตต์เป็น 2 พันเมกะวัตต์
ใช้เงินลงทุนกว่า 7 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ABPIF จะเข้าไปลงทุนในสิทธิในการรับผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของบริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ในโรงไฟฟ้าบี.กริม 1 และบี.กริม 2 ที่จังหวัดชลบุรี มีกำลังการผลิตรวมกว่า 350 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลาประมาณ 9 ปี โดยนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุง โดยมีธ.กสิกรไทยเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
“ ในสัปดาห์หน้า บริษัทฯจะมีโรงไฟฟ้าSPP ขนาด 123 เมกะวัตต์ที่จ.ระยองจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ และเดือนถัดไป โรงไฟฟ้าขนาด 123เมกะวัตต์ที่ระยองอีกโรงจะจ่ายไฟเข้าระบบเช่นกัน ทำให้ในปลายปีนี้บริษัทฯมีโรงไฟฟ้าที่ผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว 6 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 700 กว่าเมกะวัตต์ “
ตามแผนการลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าSPP ที่เหลืออีก 10 โรงนั้น มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)แล้วโรงละ 90 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากในการพัฒนา ดังนั้นจึงตัดสินใจตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานABPIF ขึ้น หากกองทุนดังกล่าวได้รับการต้อนรับดีจากนักลงทุน
ก็อาจจะมีการขายรายได้ในอนาคตของโรงไฟฟ้าอื่นๆของกลุ่มบริษัทในอนาคตก็ได้
นางปรียนาถ กล่าวต่อไปว่า ทางกลุ่มบี.กริม เพาเวอร์ ยังได้เข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการมินิ ไฮโดร ที่สปป.ลาว คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้ ขณะเดียวกันก็ศึกษาการตั้งโรงไฟฟ้าในขอบชายแดนมาเลเซีย และการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นด้วย โดยปลายปีนี้น่าจะได้ข้อสรุปว่าจะลงทุนอะไรบ้าง
ปัจจุบันบริษัท อมตะ บี.กริม. เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว 4 โรงตั้งอยู่ในนิคมฯอมตนคร จ.ชลบุรี 3 โรงและเวียดนามอีก 1 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 493 เมกะวัตต์ โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้ 50%จ่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เหลือขายให้กับลูกค้าในนิคมฯมากกว่า 200 ราย
สำหรับภาพรวมการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดถึง 26,500 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 34,000 เมกะวัตต์ใน 3ปีข้างหน้า จำเป็นที่ภาครัฐต้องเร่งสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามาเสริมความมั่นคงในระบบ
ด้านนายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ABPIF ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุนที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากธุรกิจมีความเสี่ยงที่ต่ำ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าที่มีความชัดเจน ซึ่งต้นทุนส่วนใหญ่ที่ใช้จ่ายจะเป็นค่าก๊าซฯที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว และให้ผลตอบแทนดีกว่าการถือพันธบัตรรัฐบาล
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ABPIF อยู่ระหว่างการพิจารณาไฟลิ่งของ ก.ล.ต. ซึ่งคาดว่าจะจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับนักลงทุนได้ในช่วงต้นไตรมาส 3/2556 และผลตอบแทนจะไม่ต่ำกว่า 6% ต่อปี จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนอย่างในปัจจุบัน เพราะมีระดับรายได้ในอนาคตที่ชัดเจนจากสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าระยะ