ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยส่อร่วงยาวจนปลายมิ.ย. ประเมินต่างชาติยังมีเม็ดเงินรอขายอีกกว่า 2.5 หมื่นล้าน จากซื้อสะสมเมื่อปีก่อน 7.5 หมื่นล้านบาท โบรกฯเชื่อการปรับลดพอร์ต-โยกเงินกลับยังไม่จบ คาดจากนี้ดัชนีจะปรับตัวจากปัจจัยพื้นฐาน ไม่พุ่งแรงตามสภาพคล่องหรือวอลุ่มเทรด ประเมินไตรมาสหุ้น3มีลุ้นไต่ขึ้นมาบวก ภายใต้เงื่อนไขไม่มีเหตุการณ์รุนแรง มิเช่นนั้นเลื่อนไปต้นปีหน้า แนะลดพอร์ต ชะลอลงทุน ถือเงินสด
นับตั้งแต่ ผู้บริหารธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมาระบุ ว่าอาจลดวงเงินในการซื้อพันธบัตร หรือยุติมาตรการQE3 เร็วกว่ากำหนด ก็ส่งผลให้เกิดการเทขายทุกตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทย ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างประเทศที่หนักไม่น้อยหน้าชาติอื่นๆ
จากวันที่ 21 พ.ค.ที่ดัชนี 1,650 จุด มาจนถึงวานนี้ (11มิ.ย.)ที่ระดับ 1,452 จุด ดัชนีหลักทรัพย์ลดลงกว่า 197 จุด หรือ 13.58% การเทขายของนักลงทุนต่างชาติมีออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้บางวันจะได้เห็นการรีบาวด์ของดัชนีบ้าง แต่ยอดรวมตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯกว่า 4.9 หมื่นล้านบาท และเพียงมิถุนายน (1-11มิ.ย.) ขายสุทธิถึง 2.8 หมื่นล้านบาท
โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และภูมิภาค งวดล่าสุดจนดัชนีลดลง 75 จุด ยังหนีไม่พ้นข่าวการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เมื่อ S&P ปรับแนวโน้มเครดิต สหรัฐอเมริกาจาก “ลบ” เป็นมีเสถียรภาพ” ซึ่งเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าการยุติมาตรการQE อาจเกิดขึ้นโดยเร็ววันนี้ ขณะที่ การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ผ่านมาก็ไม่มีการออกมาตรใด เข้ากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นับเป็นปัจจัยลบด้านจิตวิทยาต่อนักลงทุนจนเกิดการเทขายหุ้น
โยกเงินกลับUSปัจจัยหลักกดหุ้นวูบ
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลท. กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยรอบนี้ เกิดจากการโยกเงินลงทุนที่มีผลกำไรกลับไปสหรัฐฯ หลังภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมา อย่างไรก็ตามในส่วนบริษัทจดทะเบียนที่เคยมีผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทช่วงก่อนหน้านี้ มองว่าผลกระทบดังกล่าวน่าจะลดลง และอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย โดยเร็วๆนี้ ตลท.จะพาบริษัทจดทะเบียนจำนวน 10 แห่งไปนำเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพปัจจัยพื้นทางของประเทศ และธุรกิจของภาคเอกชนยังอยู่ในทิศทางที่ดี
อย่าตื่นตระหนก-หาโอกาสเก็บของถูก
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า การขายของต่างชาติต่อจากนี้ เชื่อว่าจะมีเริ่มลดลง เพราะขณะนี้ตลาดหุ้นไทยเข้าเขต Oversold แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก ส่วนอนาคตเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในภูมิภาคหรือไม่นั้น ยังไม่แน่นอน เพราะตัวเลขเศรษฐกิจจีนก็ออกมาต่ำซึ่งจะกระทบการส่งออกของไทย เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่ แต่มั่นใจว่าไทยยังเป็นประเทศที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นตลาดหุ้นไทยจะไม่ปรับตัวลงมากกว่านี้ เพราะยังมีเม็ดเงินจากกองทุนทริกเกอร์ ฟันด์ช่วยพยุงตลาด
เพราะฉะนั้นนักลงทุนไทยที่ควรพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ และควรถือโอกาสในจังหวะที่หุ้นลง เข้าซื้อสะสม เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ ไม่ควรตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก ในส่วนกรณีไซฟ่อนเงินของ บมจ.แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ หรือ CAWOW ทาง ตลท.ได้ประสานงานข้อมูลให้ความร่วมมือกับ ปปง.โดยอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเร็วๆ นี้
ต่างชาติยังมีหุ้นรอขายขนเงินออก
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพมองว่า ทิศทางตลาดหุ้นต่อจากนี้ยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลกับปัจจัยต่างๆ จึงยังมีกรอบที่จะทำให้เงินทุนไหลออกอยู่ โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ 700 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดือน เม.ย.56 และเพิ่มมาอยู่ที่ราว 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับยอดซื้อสุทธิเมื่อรอบปี 2555 อยู่ที่ราว 7.5 หมื่นล้านบาท มองว่ายังเหลือบางส่วนที่จะถูกนักลงทุนต่างประเทศทยอยขายออกไปอีก
วอลุ่มเทรดหด-ดัชนียากที่จะพุ่งแรง
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวถึงสถานการณ์หุ้นไทย ในขณะนี้ว่า การที่หุ้นไทยร่วงลงแรง มาจากนักลงทุนวิตกกังวลในสภาพคล่องของตลาดหุ้น ทำให้เกิดแรงเทขายตลอดทั้งวัน ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยตลอดทั้งสัปดาห์นี้ คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในแนวลบ อาจดีดกลับขึ้นมาบ้างเป็นระยะ แต่ไม่มากนัก โดยแนวโน้มการซื้อขายของตลาดอาจเปลี่ยนไปจากเดิมที่ดัชนีเคยขึ้นด้วยสภาพคล่อง ก็จะเปลี่ยนมาเป็นขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานแทน ซึ่งโอกาสที่หุ้นจะพุ่งขึ้นแรง เหมือนที่ผ่านมาเป็นไปได้ยากขึ้น และหากบรรยากาศการลงทุนยังเป็นเช่นนี้อยู่ คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโตขึ้นในปีนี้ที่ 20% และ 15%ในปี 2557
“แนวโน้มที่ตลาดหุ้นจะยังยืนอยู่ได้ในขาขึ้นมีเพียงระยะสั้นถึงระยะกลาง แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,400 จุด ในค่า P/E ที่ 12 เท่า นักลงทุนควรเลือกลงทุนกลุ่มหุ้นที่มีค่า P/E ไม่สูงมากนัก ในระดับไม่เกิน 10 เท่า อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity Ratio หรือ ROE) ที่ 20% และผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ 5%”
หากQ3ไม่ฟื้นต้องไปรอต้นปีหน้า
ทั้งนี้ นี้หากไม่มีปัจจัยกระทบความเชื่อมั่นการลงทุน ตลาดหุ้นไทยก็จะเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาในไตรมาสที่ 3 แต่ถ้าหากมีปัญหาที่กระทบตลาดทุนเช่นปัญหาการเมืองที่รุนแรง การฟื้นตัวก็อาจจะเลื่อนไปถึงไตรมาสที่ 1/2557 ดังนั้นนักลงทุนควรระมัดระวังในเรื่องการลงทุน ตลอดถึงทบทวนพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และเตรียมเงินสดไว้สำหรับระยะสั้น
ลุ้น วินโดว์ เดรสซิ่งกู้วิกฤตมิ.ย.
นายธวัชชัย อัศวพรชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจนถึงช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกในด้านใดเข้ามา ทำให้ทางบล.โกลเบล็ก ให้แนวรับไว้ที่ระดับ 1,450 - 1,436 จุด ตามลำดับ ขณะที่แนวต้านให้ไว้ที่ 1,485 จุด ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน เพื่อรอดูปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับสนุน เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง หรือหากจะเลือกลงทุนระยะสั้น แนะนำให้รอจังหวะเข้าไปทยอยสะสม ที่แนวรับ1,436 จุด
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.นี้ เนื่องจากอาจจะมีปัจจัยหนุน กรณี วินโดว์ เดรสซิ่ง รวมถึง ทริกเกอร์ ฟันด์ ที่คาดว่าจะสามารถพยุงหุ้นไทยให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนักลงทุนควรที่จะหาจังหวะการลงทุน และป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้น”
นับตั้งแต่ ผู้บริหารธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมาระบุ ว่าอาจลดวงเงินในการซื้อพันธบัตร หรือยุติมาตรการQE3 เร็วกว่ากำหนด ก็ส่งผลให้เกิดการเทขายทุกตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทย ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างประเทศที่หนักไม่น้อยหน้าชาติอื่นๆ
จากวันที่ 21 พ.ค.ที่ดัชนี 1,650 จุด มาจนถึงวานนี้ (11มิ.ย.)ที่ระดับ 1,452 จุด ดัชนีหลักทรัพย์ลดลงกว่า 197 จุด หรือ 13.58% การเทขายของนักลงทุนต่างชาติมีออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้บางวันจะได้เห็นการรีบาวด์ของดัชนีบ้าง แต่ยอดรวมตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯกว่า 4.9 หมื่นล้านบาท และเพียงมิถุนายน (1-11มิ.ย.) ขายสุทธิถึง 2.8 หมื่นล้านบาท
โดยปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และภูมิภาค งวดล่าสุดจนดัชนีลดลง 75 จุด ยังหนีไม่พ้นข่าวการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เมื่อ S&P ปรับแนวโน้มเครดิต สหรัฐอเมริกาจาก “ลบ” เป็นมีเสถียรภาพ” ซึ่งเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าการยุติมาตรการQE อาจเกิดขึ้นโดยเร็ววันนี้ ขณะที่ การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ผ่านมาก็ไม่มีการออกมาตรใด เข้ากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นับเป็นปัจจัยลบด้านจิตวิทยาต่อนักลงทุนจนเกิดการเทขายหุ้น
โยกเงินกลับUSปัจจัยหลักกดหุ้นวูบ
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลท. กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยรอบนี้ เกิดจากการโยกเงินลงทุนที่มีผลกำไรกลับไปสหรัฐฯ หลังภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมา อย่างไรก็ตามในส่วนบริษัทจดทะเบียนที่เคยมีผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทช่วงก่อนหน้านี้ มองว่าผลกระทบดังกล่าวน่าจะลดลง และอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย โดยเร็วๆนี้ ตลท.จะพาบริษัทจดทะเบียนจำนวน 10 แห่งไปนำเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพปัจจัยพื้นทางของประเทศ และธุรกิจของภาคเอกชนยังอยู่ในทิศทางที่ดี
อย่าตื่นตระหนก-หาโอกาสเก็บของถูก
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า การขายของต่างชาติต่อจากนี้ เชื่อว่าจะมีเริ่มลดลง เพราะขณะนี้ตลาดหุ้นไทยเข้าเขต Oversold แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก ส่วนอนาคตเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในภูมิภาคหรือไม่นั้น ยังไม่แน่นอน เพราะตัวเลขเศรษฐกิจจีนก็ออกมาต่ำซึ่งจะกระทบการส่งออกของไทย เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่ แต่มั่นใจว่าไทยยังเป็นประเทศที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นตลาดหุ้นไทยจะไม่ปรับตัวลงมากกว่านี้ เพราะยังมีเม็ดเงินจากกองทุนทริกเกอร์ ฟันด์ช่วยพยุงตลาด
เพราะฉะนั้นนักลงทุนไทยที่ควรพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ และควรถือโอกาสในจังหวะที่หุ้นลง เข้าซื้อสะสม เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ ไม่ควรตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก ในส่วนกรณีไซฟ่อนเงินของ บมจ.แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ หรือ CAWOW ทาง ตลท.ได้ประสานงานข้อมูลให้ความร่วมมือกับ ปปง.โดยอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเร็วๆ นี้
ต่างชาติยังมีหุ้นรอขายขนเงินออก
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพมองว่า ทิศทางตลาดหุ้นต่อจากนี้ยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลกับปัจจัยต่างๆ จึงยังมีกรอบที่จะทำให้เงินทุนไหลออกอยู่ โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ 700 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดือน เม.ย.56 และเพิ่มมาอยู่ที่ราว 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับยอดซื้อสุทธิเมื่อรอบปี 2555 อยู่ที่ราว 7.5 หมื่นล้านบาท มองว่ายังเหลือบางส่วนที่จะถูกนักลงทุนต่างประเทศทยอยขายออกไปอีก
วอลุ่มเทรดหด-ดัชนียากที่จะพุ่งแรง
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวถึงสถานการณ์หุ้นไทย ในขณะนี้ว่า การที่หุ้นไทยร่วงลงแรง มาจากนักลงทุนวิตกกังวลในสภาพคล่องของตลาดหุ้น ทำให้เกิดแรงเทขายตลอดทั้งวัน ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยตลอดทั้งสัปดาห์นี้ คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในแนวลบ อาจดีดกลับขึ้นมาบ้างเป็นระยะ แต่ไม่มากนัก โดยแนวโน้มการซื้อขายของตลาดอาจเปลี่ยนไปจากเดิมที่ดัชนีเคยขึ้นด้วยสภาพคล่อง ก็จะเปลี่ยนมาเป็นขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานแทน ซึ่งโอกาสที่หุ้นจะพุ่งขึ้นแรง เหมือนที่ผ่านมาเป็นไปได้ยากขึ้น และหากบรรยากาศการลงทุนยังเป็นเช่นนี้อยู่ คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโตขึ้นในปีนี้ที่ 20% และ 15%ในปี 2557
“แนวโน้มที่ตลาดหุ้นจะยังยืนอยู่ได้ในขาขึ้นมีเพียงระยะสั้นถึงระยะกลาง แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,400 จุด ในค่า P/E ที่ 12 เท่า นักลงทุนควรเลือกลงทุนกลุ่มหุ้นที่มีค่า P/E ไม่สูงมากนัก ในระดับไม่เกิน 10 เท่า อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity Ratio หรือ ROE) ที่ 20% และผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ 5%”
หากQ3ไม่ฟื้นต้องไปรอต้นปีหน้า
ทั้งนี้ นี้หากไม่มีปัจจัยกระทบความเชื่อมั่นการลงทุน ตลาดหุ้นไทยก็จะเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาในไตรมาสที่ 3 แต่ถ้าหากมีปัญหาที่กระทบตลาดทุนเช่นปัญหาการเมืองที่รุนแรง การฟื้นตัวก็อาจจะเลื่อนไปถึงไตรมาสที่ 1/2557 ดังนั้นนักลงทุนควรระมัดระวังในเรื่องการลงทุน ตลอดถึงทบทวนพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม และเตรียมเงินสดไว้สำหรับระยะสั้น
ลุ้น วินโดว์ เดรสซิ่งกู้วิกฤตมิ.ย.
นายธวัชชัย อัศวพรชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจนถึงช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกในด้านใดเข้ามา ทำให้ทางบล.โกลเบล็ก ให้แนวรับไว้ที่ระดับ 1,450 - 1,436 จุด ตามลำดับ ขณะที่แนวต้านให้ไว้ที่ 1,485 จุด ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน เพื่อรอดูปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับสนุน เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง หรือหากจะเลือกลงทุนระยะสั้น แนะนำให้รอจังหวะเข้าไปทยอยสะสม ที่แนวรับ1,436 จุด
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.นี้ เนื่องจากอาจจะมีปัจจัยหนุน กรณี วินโดว์ เดรสซิ่ง รวมถึง ทริกเกอร์ ฟันด์ ที่คาดว่าจะสามารถพยุงหุ้นไทยให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนักลงทุนควรที่จะหาจังหวะการลงทุน และป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้น”