หุ้นไทยโดนถล่มติดลบ 75.92 จุด ต่างชาติขายหนัก 5.4 พันล้าน มาร์เกตแคปรูดเหลือ 12.5 ล้านล้าน “จรัมพร” แจงหุ้นร่วง 4.97% ยังไม่ต้องใช้มาตรการพิเศษ แต่มีการดูแลใกล้ชิด แนะอย่าไปตื่นตระหนก นายกสมาคมโบรกฯ ยอมรับหุ้นไทยดิ่งหนักกว่าเพื่อน โดนทุบลงไปติดลบหนักถึง 80 จุด ก่อนมีแรงซื้อเข้ามาพยุง คาดยังมีกรอบเงินไหลออกได้อีก เพราะความไม่แน่นอนในเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ยังไม่สิ้นสุด
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (11 มิ.ย.) ดัชนีปิดที่ระดับ 1,452.63 จุด ลดลง 75.92 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -4.97% มูลค่าการซื้อขาย 64,942.69 ล้านบาท โดยมีแรงขายหนักในหุ้นพื้นฐาน ทั้งกลุ่มสื่อสาร ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงานตัวใหญ่ ด้านสัดส่วนการลงทุน นักลงต่างชาติขาย 5.4 พันล้าน รายย่อยซื้อ 7 พันล้าน สถาบันซื้อ 2.1 พันล้าน บัญชีบล.ขาย 3.6 พันล้าน ขณะที่มูลค่ามาร์เกตแคปลดลงเหลือ 12.5 ล้านล้านบาท จากเดิมกว่า 13 ล้านล้านบาท
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การที่หุ้นร่วงแรงในวันนี้ ตลท.ได้หารืออย่างใกล้ชิดกับทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย และก็แนะนำว่า นักลงทุนก็ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่าไปตื่นตระหนก ทั้งนี้ ยืนยันว่าทาง ตลท. ยังไม่มีมาตรการพิเศษออกมาดูแลสถานการณ์ในขณะนี้
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (สมาคมโบรกเกอร์) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ถูกขายอย่างถล่มทลายกดดัชนีให้ดิ่งลงลึกสุดถึง 80 จุด เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาคในกลุ่ม TIP คือ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่ปรับลงแรงทั้ง 3 ตลาด แต่ที่น่ากังวลคือ ตลาดหุ้นไทยโดนขายหนักที่สุด เพราะตัวเลขต่างชาติขายสุทธิ เริ่มตั้งแต่ เม.ย.-พ.ค. ถึงปัจจุบัน
สำหรับปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย และภูมิภาคในขณะนี้มาจากความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจจะชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) หรืออาจจะยุติลงก่อนกำหนด ดังนั้น เมื่อความเสี่ยงเพิ่มขึ้นนักลงทุนจึงตัดสินใจขายลดพอร์ตลงมาเรื่อยๆ
ส่วนประเด็นในประเทศเกิดความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลด้านตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็อาจจะพิจารณาปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ส่วนตัวเลขส่งออกก็เกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในระดับมหภาค จำเป็นต้องต้องได้รับการแก้ไข
ทั้งนี้ มองว่าทิศทางตลาดหุ้นต่อจากนี้ยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลกับปัจจัยต่างๆ จึงยังมีกรอบที่จะทำให้เงินทุนไหลออกอยู่ โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิตั้งแต่ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเดือน เม.ย.56 เพิ่มมาอยู่ที่ราว 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับยอดซื้อสุทธิของต่างชาติรอบปี 2555 อยู่ที่ราว 7.5 หมื่นล้านบาท เพราะฉะนั้นยังเหลือที่มีโอกาสจะขายต่อไปได้อยู่
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดหุ้นวันพรุ่งนี้ ดัชนีมีโอกาสรีบาวนด์ขึ้นได้ หลังจากสัญญาณวันนี้ดัชนีหลุด 1,450 จุด ลงไปลึกถึง 80 จุด แต่ก็มีแรงซื้อเข้ามารับ อย่างไรก็ตาม แรงเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ก็อาจฉุดให้ดัชนีสามารถรีบาวนด์ และปรับตัวลงได้ต่อ โดยมองแนวรับ 1,400-1,420 จุด
ตอนนี้มองว่าราคาหุ้นไทยถือว่าถูกมากในรอบ 10 เดือน พี/อี ประมาณ 13 เท่า โดยปัจจัยพื้นฐานหุ้นไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม จากความไม่แน่นอนในเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ยังไม่สิ้นสุด จึงแนะนำให้ถือเงินสด เพื่อรอดูต่างชาติชะลอการขายลงก่อนจึงทยอยเข้าซื้อหุ้น
สำหรับหลักทรัพย์ 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 3,495.61 ล้านบาท ปิดที่ 251 บาท -16 บาท หรือ -5.99%
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,035.57 ล้านบาท ปิดที่ 181.50 บาท -12 บาท หรือ -6.20%
KTB มูลค่าการซื้อขาย 2,882.86 ล้านบาท ปิดที่ 19.70 บาท -1.10 บาท หรือ -5.29%
SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,875.56 ล้านบาท ปิดที่ 165 บาท -11 บาท หรือ -6.25%
INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 2,486.91 ล้านบาท ปิดที่ 82 บาท -3.50 บาท หรือ -4.09%