ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-อยู่ดีๆ สถาบันจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำระดับโลก ก็ออกมารายงานข่าวแสดงความกังวลต่อการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลไทย โดยระบุว่า ตัวเลขการขาดทุนน่าจะมีสูงถึง 2 แสนล้านบาท สูงกว่าที่ธนาคารโลกประเมินไว้ที่ 1.15 แสนล้านบาท และสูงกว่าที่กระทรวงการคลังประเมินไว้ที่ 7-8 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1.7% ของจีดีพี หรือคิดเป็น 7.8% ของรายจ่ายทั้งหมดในปี 2555
ไม่เพียงแค่การขาดทุนสูง มูดี้ส์ยังระบุอีกว่า มีแนวโน้มที่รัฐบาลไทยจะต้องใช้เงินเพิ่มเติมในโครงการจำนำข้าว และทำให้การบรรลุเป้าหมายงบประมาณสมดุลในปี 2560 จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
ส่อแนวโน้มหั่นเครดิตประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ Baaa1 คือ แนวโน้มมีเสถียรภาพด้วย ซึ่งหมายถึง หายนะกำลังจะมาสู่ประเทศไทย หากความเชื่อมั่นลดลง
ตัวเลขการขาดทุนจากการจำนำข้าวดังกล่าว สอดคล้องกับที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตั้งคำถามไว้ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ว่า โครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตเกิดขึ้นมาก รัฐบาลก็ยังจะดึงดันเดินหน้าต่อ
ข้อกล่าวหามีทั้ง จำนำแพง เอาไปขายถูกๆ ให้พวกพ้อง คนใกล้ชิดรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังการทุจริตโกงกินข้าว เป็นต้น
เมื่อก่อน หมอวรงค์พูด ไม่ค่อยมีใครเชื่อ แต่พอพูดบ่อยๆ เข้า คนที่ถูกกล่าวหา ก็ชี้แจงไม่เคลียร์ คนก็หันมาฟังและเชื่อกันมากขึ้น
อย่างครั้งนี้ หมอวรงค์ได้ชี้ให้เห็นว่า สมัยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ทำการขายข้าวถูกๆ ให้กับโรงสีโชควรลักษณ์ จ.กำแพงเพชร ราคาตันละ 5,700 จำนวน 8 แสนกิโลกรัม พอโรงสีได้ข้าวก็เอาไปขายต่อตันละ 12,000 บาท ฟันกำไรตันละ 6,300 บาท ก็ไม่รู้เงินส่วนเกินไปเข้ากระเป๋าใคร
นอกจากนี้ ยังได้แฉอีกว่า พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นจอมบงการในเรื่องข้าว แถมมีตำแหน่งเป็นกรรมการในโครงการจำนำข้าวทุกชุด ถือเป็นตัวจริงเสียงจริงที่อยู่เบื้องหลังการทุจริตข้าวที่เกิดขึ้น
ไม่เพียงแค่นั้น นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ออกมาให้ข้อมูลว่า การรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลชุดนี้ ขาดทุนไปแล้ว 2.6 แสนล้านบาท พร้อมกับระบุว่า เป็นคำถามที่คาใจ เพราะไม่มีใครในรัฐบาลออกมาเคลียร์ให้หายข้องใจ
จะมีก็แต่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาแก้ต่างแทนรัฐบาลแบบข้างๆ คูๆ ว่า จะไปขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทได้ยังไง เพราะตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา และใช้โครงการจำนำข้าว ได้ตั้งวงเงินไว้ 5 แสนล้านบาท วงเงินนี้ก็ยังคงเหลือ และยังมีเงินจากการขายข้าวคืนมาแล้วประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ที่สำคัญยังมีข้าวเหลืออยู่ในโกดังอีกเป็นจำนวนมาก ยอดขาดทุน 2.6 แสนล้าน จึงเป็นไปไม่ได้
แต่นายณัฐวุฒิก็ไม่สามารถอธิบายรายละเอียดอะไรได้มากกว่านี้ จึงเสมือนยังไม่มีคำตอบว่า จำนำข้าวขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทจริงหรือไม่
แม้กระทั่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2556 ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ได้ย้ำให้นายบุญทรงไปตรวจสอบและให้ชี้แจงโดยด่วน เพราะก่อนหน้านี้ ก็เคยสั่งการไปแล้ว แต่กระทรวงพาณิชย์ก็ยังเฉย หรือกระทั่งมติพรรคเพื่อไทย ได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงในเรื่องนี้ ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
ล่าสุด นายบุญทรงได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ติดต่อกระทรวงการคลัง เพื่อขอข้อมูลตัวเลขการรับจำนำและการสรุปบัญชีแล้ว เพื่อมาตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่ที่น่าจะชัดเจน ก็คือ หากมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลง จากการที่รัฐบาลขาดทุนจำนำข้าวสูงถึง 2.6 แสนล้านบาทในระยะเวลาดำเนินโครงการแค่เพียง 2 ปีนั้น ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยอย่างมหาศาล โดยเฉพาะจะกระทบต่อต้นทุนในการระดมทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน เนื่องจากต้องให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
วันนี้ แม้มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส จะยังไม่ปรับลดเครดิตประเทศไทย แต่ชื่อเสียงของไทยในสายตาชาวโลก ก็ย่ำแย่ไปแล้ว แย่เพราะมีรัฐบาลที่จ้องแต่จะหาประโยชน์เข้าตัวและพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับคนไทยและประเทศไทย
คงจะประมาณได้ว่า ขอข้ารวยไว้ก่อน ใครจะเจ๊งช่างมัน