วานนี้(3 มิ.ย.56) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (ไอโอดี) โดยคุณหญิง ชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการแนวร่วมปฎิบัติของภาคเอกชนไทย, ดร.บัณฑิต นิจถาวร เลขานุการและกรรมการ กรรมการผู้อำนวยการแนวร่วมปฎิบัติของภาคเอกชน และ นายระพี สุจริตกุล กรรมกาi ร่วมแถลงบรรยายสรุปผลการสำรวจและรายงานวิเคราะห์ผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ณ สำนักงาน ไอโอดี กรุงเทพฯ
นายบัณฑิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้นำภาคธุรกิจเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย จากผู้บริหารกรรมการบริษัท 1,066 แห่ง ครอบคลุมทุกธุรกิจ ทุกขนาด ช่วงเดือนมกราคม ถึง เมษายนที่ผ่านมา พบว่า ทั้งนี้ 93% มองปัญหาทุจริตในไทยยังอยู่ในระดับสูงและสูงมาก, 75% มองปัญหาทุจริตของไทย 2 ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกระบวนการที่มีโอกาสเกิดการทุจริตสูงสุด 3 อันดับคือ การจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐ, การจดทะเบียน ขออนุญาตต่างๆ และการจัดการประมูลโครงการของภาครัฐ
ในขณะที่ทางด้านอุตสาหกรรมพบแนวโน้มเกิดทุจริตมากสุด 5 อันดับ คือ โทรคมนาคม, พลังงานและสาธารณูปโภค, การเกษตร, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง
นอกจากเอกชนยังมองว่า การทุจริตส่งผลกับประเทศมากที่สุดในแง่ลดทอนประสิทธิภาพการแข่งขันในภูมิภาค นำประเทศไปสู่ความตกต่ำทางจริยธรรมของสังคม นำไปสู่ความไม่น่าเชื่อถือในการทำธุรกิจในไทย กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน และหากไม่ทุจริตการเจริญเติบโตของประเทศอาจสูงกว่าปัจจุบัน 50%
วันเดียวกัน "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต จัดทำดัชนีการเมืองไทย โดยมีตัวชี้วัด 25 ประเด็น ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดบอกว่าการเมืองไทยนั้นดีขึ้น แย่ลงหรือเหมือนเดิม โดยเปรียบเทียบเดือดต่อเดือน พบว่า ประชาชนให้คะแนนดัชนีการเมืองไทย โดยคะแนนเต็ม 10 ได้ 5.26 คะแนน โดยที่ผลงานของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีอยู่ที่ระดับ 6.04 คะแนน ขณะที่ภาพรวมผลงานของรัฐบาลอยู่ที่ 5.80 คะแนน
นอกจากนี้หากแยกตามภูมิภาคปรากฎว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ 5.76 คะแนนลดลงจากเมื่อเดือน มิ.ย.55 0.04 คะแนน ภาคเหนืออยู่ที่ 5.55 คะแนน ภาคกลางอยู่ที่ 4.18 คะแนน ภาคใต้ อยู่ที่ 4.43 คะแนน ขณะที่ กทม. อยู่ที่ 4.77 คะแนน
ส่วนดัชนีการเมืองไทยที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ คือ การแก้ปัญหาคอรัปชั่น อยู่ที่ 4.39 คะแนน การปฏิบัติตนของนักการเมือง 4.46 คะแนน การแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล 4.53 คะแนน การแก้ปัญหาราคาสินค้า 4.66 คะแนน การแก้ไขปัญหาความยากจน 4.81 คะแนน การแก้ปัญหาการว่างงาน 4.82 คะแนน และความสามัคคีในชาติ 4.97 คะแนน
นายบัณฑิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้นำภาคธุรกิจเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย จากผู้บริหารกรรมการบริษัท 1,066 แห่ง ครอบคลุมทุกธุรกิจ ทุกขนาด ช่วงเดือนมกราคม ถึง เมษายนที่ผ่านมา พบว่า ทั้งนี้ 93% มองปัญหาทุจริตในไทยยังอยู่ในระดับสูงและสูงมาก, 75% มองปัญหาทุจริตของไทย 2 ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกระบวนการที่มีโอกาสเกิดการทุจริตสูงสุด 3 อันดับคือ การจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐ, การจดทะเบียน ขออนุญาตต่างๆ และการจัดการประมูลโครงการของภาครัฐ
ในขณะที่ทางด้านอุตสาหกรรมพบแนวโน้มเกิดทุจริตมากสุด 5 อันดับ คือ โทรคมนาคม, พลังงานและสาธารณูปโภค, การเกษตร, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง
นอกจากเอกชนยังมองว่า การทุจริตส่งผลกับประเทศมากที่สุดในแง่ลดทอนประสิทธิภาพการแข่งขันในภูมิภาค นำประเทศไปสู่ความตกต่ำทางจริยธรรมของสังคม นำไปสู่ความไม่น่าเชื่อถือในการทำธุรกิจในไทย กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน และหากไม่ทุจริตการเจริญเติบโตของประเทศอาจสูงกว่าปัจจุบัน 50%
วันเดียวกัน "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต จัดทำดัชนีการเมืองไทย โดยมีตัวชี้วัด 25 ประเด็น ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดบอกว่าการเมืองไทยนั้นดีขึ้น แย่ลงหรือเหมือนเดิม โดยเปรียบเทียบเดือดต่อเดือน พบว่า ประชาชนให้คะแนนดัชนีการเมืองไทย โดยคะแนนเต็ม 10 ได้ 5.26 คะแนน โดยที่ผลงานของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีอยู่ที่ระดับ 6.04 คะแนน ขณะที่ภาพรวมผลงานของรัฐบาลอยู่ที่ 5.80 คะแนน
นอกจากนี้หากแยกตามภูมิภาคปรากฎว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ 5.76 คะแนนลดลงจากเมื่อเดือน มิ.ย.55 0.04 คะแนน ภาคเหนืออยู่ที่ 5.55 คะแนน ภาคกลางอยู่ที่ 4.18 คะแนน ภาคใต้ อยู่ที่ 4.43 คะแนน ขณะที่ กทม. อยู่ที่ 4.77 คะแนน
ส่วนดัชนีการเมืองไทยที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ คือ การแก้ปัญหาคอรัปชั่น อยู่ที่ 4.39 คะแนน การปฏิบัติตนของนักการเมือง 4.46 คะแนน การแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล 4.53 คะแนน การแก้ปัญหาราคาสินค้า 4.66 คะแนน การแก้ไขปัญหาความยากจน 4.81 คะแนน การแก้ปัญหาการว่างงาน 4.82 คะแนน และความสามัคคีในชาติ 4.97 คะแนน