ปธ.ตลาดตราสารหนี้ แนะเตรียทพร้อมรับเม็ดเงินไหลเข้าออกเร็ว เพราะอาจส่งผลต่อค่าเงินบาทแข็ง พร้อมคาดปัญหาเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งจากค่าแรง 300 บาท และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น พร้อมคาด Q2/56 หรือ H2/56 อาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อกระทบค่าครองชีพ
นายบัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า เงินทุนเคลื่อนย้ายจากนักลงทุนต่างชาติเป็นประเด็นที่ต้องจับตาในปีนี้ เพราะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นยังไม่ชัดเจน ยังต้องมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่วนจะแข็งค่ามากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้า
นอกจากนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ผลจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง แรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งจากค่าแรง 300 บาท และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรให้ความสำคัญกับความเสี่ยงเงินเฟ้อมากกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ ให้ความสนใจเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ หรือครึ่งปีหลัง ธปท.จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดูแลไม่ให้เงินเฟ้อมากระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) คาดว่า ในปีนี้ ภาคเอกชนจะออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 350,000 ล้านบาท ต่ำกว่าปี 2555 ที่มีมูลค่ารวม 500,000 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้คาดว่าธนาคารพาณิชย์จะไม่ออกหุ้นกู้มากเหมือนปีที่แล้วที่เสนอขายไปสูงถึง 180,000 ล้านบาท เพื่อสำรองสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องตามเกณฑ์บาเซิล 3
ขณะที่การถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติในปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีมูลค่า 280,000 ล้านบาท เป็นเพราะในปีนี้ปัญหาในยูโรโซน และสหรัฐฯ คลี่คลาย จึงทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในตราสารหนี้ไทยน้อยลง