ผู้หญิงผงาดแบงก์ชาติ! ดันก้นนั่งเก้าผู้ช่วยผู้ว่าฯ คุมสายงานหลักรวดเดียว 3 คน “จันทวรรณ สุจริตกุล” ดูแลบาท เงินทุนเคลื่อนย้าย ทุนสำรองประเทศ ขณะที่ “ฤชุกร สิริโยธิน” ดูแลกฎเกณฑ์และนโยบายของสถาบันการเงิน “นวพร มหารักขกะ” ดูแลตรวจสอบกิจการภายใน ด้านกรรมการบอร์ดแบงก์ชาติคาดเดือน ต.ค.จะได้ข้อสรุปแนวทางแก้ไขปัญหาขาดทุนของแบงก์ชาติ เผยทุนนอกลงทุนตราสารหนี้เพียบ
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี เลขานุการ คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กกธ.) หรือบอร์ดแบงก์ชาติ เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดแบงก์ชาติเมื่อวานนี้ (27 ก.ย.) มีมติแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.ที่ว่างอยู่ 3 สายงาน คือ นางจันทวรรณ สุจริตกุล ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน นางฤชุกร สิริโยธิน เป็นผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน และนางนวพร มหารักขกะ เป็นผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตรวจสอบกิจการภายใน ซึ่งการแต่งตั้งดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในปัจจุบันผู้บริหารทั้ง 3 คนอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสขยับขึ้นมานั่งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการ โดยนางจันทวรรณ อยู่ในฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มาแทนนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 ต.ค.นี้ เพราะรองผู้ว่าการคนเดิม คือ นางสุชาดา กิระกุล ได้เกษียณอายุราชการในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ขณะที่นางฤชุกร อยู่ในฝ่ายทรัพยากรบุคคล แทนนางทองอุไร ลิ้มปิติ ที่ได้ขยับมานั่งตำแหน่งรองผู้ว่าการ ด้านบริหาร แทนนายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ส่วนนางนวพร ในฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน แทนนายนิรุธ รักษาเสรี สายตรวจสอบกิจการภายในที่เกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนนี้เช่นกัน
**ต.ค.นี้ได้แนวทางแก้ขาดทุน**
ด้านนายศิริ การเจริญดี กรรมการบอร์ดแบงก์ชาติ กล่าวว่า นอกจากนี้ในที่ประชุมยังมีการเสนอรายงานความคืบหน้าของในการแก้ปัญหาขาดทุนของ ธปท. ภายใต้คณะทำงานจัดทำแผนปรับปรุงฐานะการเงินของธปท. ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป แต่บอร์ดแบงก์ชาติได้ฝากการบ้านให้ไปศึกษาถึงช่องทางใดบ้างที่จะขยายสินทรัพย์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อได้รับผลประโยชน์ที่ดีขึ้น ในกรอบบริหารจัดการความเสี่ยงได้ ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ใช้ในปัจจุบันอยู่ อย่างไรก็ตามคณะทำงานฯจะรายงานเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้งในเดือนต.ค.นี้ แต่ประธานบอร์ดแบงก์ชาติต้องการให้ศึกษาเร็วขึ้น
“ขณะนี้ยังคงศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาภายใต้กรอบกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่ในอนาคตจะมีการแก้ไขกฎหมายหรือไม่ก็ต้องศึกษาเรื่องนี้ให้ลึกกว่าที่เป็นอยู่ เพราะอย่าลืมว่าต้องคำนึงถึงเรื่องผลตอบแทนกลับคืนมา พร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังมากด้วย และต้องเข้าใจว่าทั่วโลกก็มีปัญหา อัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ Cost of fund ของประเทศไทยก็ย่อมสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ฉะนั้น หากดูกลยุทธ์ข้างในให้ดีได้ก็เป็นเรื่องที่ดี” กรรมการบอร์ดแบงก์ชาติกล่าว
***ทุนนอกลงตราสารหนี้คึกคัก
นายบัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนของต่างประเทศได้เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ไทยจำนวนมาก ส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น จากที่มีราคาความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น โดยส่วนตัวมองว่าจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และยุโรป มีการอัดฉีดเม็ดเงินเงินเข้าระบบนั้น ก็จะทำให้มีเม็ดเงินสภาพคล่องจำนวนมาก ทำให้มีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในเอเซีย และหากอัตราดอกเบี้ยของยุโรป สหรัฐฯอยู่ระดับต่ำก็จะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย และเอเซียมากขึ้น
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในตราสารหนี้ไทยปัจจุบันอยู่ที่ 8-13% ซึ่งถือว่ายังไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ 25% ทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ไทยมากขึ้น แต่จากการที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าในครั้งนี้ไม่เหมือนกับช่วงที่เกิดวิฤกตในช่วงที่ผ่านมา จากผลครั้งนี้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งโลก ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำเม้ดเงินที่จะเข้ามานั้นมีจำนวนมาก ดังนั้น ทางการก็จะต้องมีการติดตามและระมัดระวัง เพราะ หากเงินเข้ามาจำนวนมากก็จะมีปัญหาเรื่องราคาสินทรัพย์ต่างๆ จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เกิดฟองสบูได้ ดังนั้นทางการของประเทศในแถบเอเซีย ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี.
นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี เลขานุการ คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กกธ.) หรือบอร์ดแบงก์ชาติ เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดแบงก์ชาติเมื่อวานนี้ (27 ก.ย.) มีมติแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.ที่ว่างอยู่ 3 สายงาน คือ นางจันทวรรณ สุจริตกุล ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน นางฤชุกร สิริโยธิน เป็นผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน และนางนวพร มหารักขกะ เป็นผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตรวจสอบกิจการภายใน ซึ่งการแต่งตั้งดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในปัจจุบันผู้บริหารทั้ง 3 คนอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสขยับขึ้นมานั่งตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการ โดยนางจันทวรรณ อยู่ในฝ่ายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มาแทนนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 ต.ค.นี้ เพราะรองผู้ว่าการคนเดิม คือ นางสุชาดา กิระกุล ได้เกษียณอายุราชการในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ขณะที่นางฤชุกร อยู่ในฝ่ายทรัพยากรบุคคล แทนนางทองอุไร ลิ้มปิติ ที่ได้ขยับมานั่งตำแหน่งรองผู้ว่าการ ด้านบริหาร แทนนายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ส่วนนางนวพร ในฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน แทนนายนิรุธ รักษาเสรี สายตรวจสอบกิจการภายในที่เกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนนี้เช่นกัน
**ต.ค.นี้ได้แนวทางแก้ขาดทุน**
ด้านนายศิริ การเจริญดี กรรมการบอร์ดแบงก์ชาติ กล่าวว่า นอกจากนี้ในที่ประชุมยังมีการเสนอรายงานความคืบหน้าของในการแก้ปัญหาขาดทุนของ ธปท. ภายใต้คณะทำงานจัดทำแผนปรับปรุงฐานะการเงินของธปท. ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป แต่บอร์ดแบงก์ชาติได้ฝากการบ้านให้ไปศึกษาถึงช่องทางใดบ้างที่จะขยายสินทรัพย์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อได้รับผลประโยชน์ที่ดีขึ้น ในกรอบบริหารจัดการความเสี่ยงได้ ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ใช้ในปัจจุบันอยู่ อย่างไรก็ตามคณะทำงานฯจะรายงานเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้งในเดือนต.ค.นี้ แต่ประธานบอร์ดแบงก์ชาติต้องการให้ศึกษาเร็วขึ้น
“ขณะนี้ยังคงศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาภายใต้กรอบกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่ในอนาคตจะมีการแก้ไขกฎหมายหรือไม่ก็ต้องศึกษาเรื่องนี้ให้ลึกกว่าที่เป็นอยู่ เพราะอย่าลืมว่าต้องคำนึงถึงเรื่องผลตอบแทนกลับคืนมา พร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังมากด้วย และต้องเข้าใจว่าทั่วโลกก็มีปัญหา อัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ Cost of fund ของประเทศไทยก็ย่อมสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ฉะนั้น หากดูกลยุทธ์ข้างในให้ดีได้ก็เป็นเรื่องที่ดี” กรรมการบอร์ดแบงก์ชาติกล่าว
***ทุนนอกลงตราสารหนี้คึกคัก
นายบัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนของต่างประเทศได้เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ไทยจำนวนมาก ส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น จากที่มีราคาความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น โดยส่วนตัวมองว่าจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และยุโรป มีการอัดฉีดเม็ดเงินเงินเข้าระบบนั้น ก็จะทำให้มีเม็ดเงินสภาพคล่องจำนวนมาก ทำให้มีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในเอเซีย และหากอัตราดอกเบี้ยของยุโรป สหรัฐฯอยู่ระดับต่ำก็จะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย และเอเซียมากขึ้น
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในตราสารหนี้ไทยปัจจุบันอยู่ที่ 8-13% ซึ่งถือว่ายังไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ 25% ทำให้มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ไทยมากขึ้น แต่จากการที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าในครั้งนี้ไม่เหมือนกับช่วงที่เกิดวิฤกตในช่วงที่ผ่านมา จากผลครั้งนี้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งโลก ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำเม้ดเงินที่จะเข้ามานั้นมีจำนวนมาก ดังนั้น ทางการก็จะต้องมีการติดตามและระมัดระวัง เพราะ หากเงินเข้ามาจำนวนมากก็จะมีปัญหาเรื่องราคาสินทรัพย์ต่างๆ จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เกิดฟองสบูได้ ดังนั้นทางการของประเทศในแถบเอเซีย ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี.