ใครอ่านก็จะรู้ว่าจอมมารตัวจริงคือใคร ใครกำลังจะแก้ไขจอมมาร ใครกำลังพิทักษ์จอมมาร ใครคือเสนาบดีมาร และใครกำลังจะโค่นเสนาบดีมาร สัปดาห์ที่แล้ว เรามีข้อสรุปว่ากาย (กายสังขาร) ก็แตกต่างหลากหลาย จิต (จิตตสังขาร) จิตปรุงแต่งก็แตกต่างหลากหลาย สิ่งใดมีความแตกต่างหลากหลาย สิ่งนั้นเป็นสังขาร หรือสังขตธรรม สิ่งใดเป็นสังขาร หรือสังขตธรรม สิ่งนั้นย่อมตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด มันเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น อวิตถตาความไม่แปลกไปจากความเป็นอย่างนั้น
อนัญญถตาความไม่เป็นโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น
ธัมมัฏฐิตตาเป็นการตั้งอยู่ตามธรรมดา
ธัมมนิยามตาเป็นกฎตายตัวของธรรมดา
อิทัปปัจจยตาความที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย
สุญญตาความว่างจากตัวตนในสิ่งทั้งปวง หาความเป็นตัวตนไม่ได้เพราะมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
หากว่าเรามีปัญญารู้ตามความเป็นจริงเช่นนี้ด้วยการลงมือปฏิบัติพิสูจน์ แจ่มชัด และไม่ยึดติดในสังขารทั้งปวง แต่ยอมว่าสังขารทั้งปวงมันเป็นเช่นนั้นเองตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็จะทำให้เรามีโอกาสพบองค์เอกภาพคือนิพพานหรือธรรมาธิปไตยหรืออักขรา ฯลฯ ที่มีอยู่ในตัวเรานี่เอง อันเป็นแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ทุกคน เราจึงเห็นสัมพันธภาพระหว่าง (1) องค์เอกภาพกับ (2) ความแตกต่างหลากหลาย และสัมพันธภาพระหว่างองค์เอกภาพ (3) มีลักษณะแผ่กระจาย ให้ก่อน โอบอุ้มคุ้มครองกับ(4) ลักษณะวิวัฒนาการมุ่งหน้า ก้าวหน้าเข้าศูนย์กลาง ทั้ง 4 ลักษณะนี้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด (5) ลักษณะดุลยภาพ จึงเป็นที่มาของ 3 มิติ 5 ลักษณะ อันเป็นลักษณะของกฎธรรมชาติ ซึ่งเราจะต้องร่วมกันพิสูจน์ต่อไป คุณหมอ จะมีความเห็นอะไรเพิ่มเติมบ้างจากข้อสรุปตรงนี้
หมอ : เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ท่าน ดร.ก็แสดงว่าคนที่จะเข้าถึงธรรมาธิปไตยได้ จะต้องมีองค์ความรู้เหล่านี้จะต้องเป็นผู้สนใจในธรรมมากพอสมควร จะว่ายากก็ไม่ยากนะค่ะ หมอเข้าใจดีนะค่ะ แต่ต้องถามความเห็นเพื่อนๆ ด้วยนะค่ะ
ครับคุณหมอ แล้วอย่างคนระดับนักการเมืองคุณหมอว่า พวกเขาจะสนใจไหม
หมอ: หมอว่าคงยากนะ เพราะพวกเขาตกอยู่ในความเห็นผิดมายาวนาน
วันนี้เราก็จะคุยกันต่อ ก็ขอเข้าเรื่องเลยนะซึ่งเชื่อมโยงจากคราวที่แล้วเกี่ยวกับกฎธรรมชาติที่มีอยู่ก่อนแล้ว “ธมฺโม หเว ปาตุรโหสิ ปพฺเพ” กฎธรรมชาติมันมี (ปรากฏ) อยู่ก่อนแล้ว “ตถาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุอันนั้น ความตั้งอยู่แห่งธรรมอันนั้น ทำนองคลองธรรมอันนั้นก็ตั้งอยู่แล้ว เพียงแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แจ่มแจ้ง แล้วนำมาบอกเล่าแสดงทำให้เข้าใจง่าย เช่น กฎไตรลักษณ์ คือความเป็นของไม่เที่ยงทนอยู่ไม่ได้และไม่ใช่ตัวตน”
มันมีอยู่ ปรากฏอยู่ ตั้งอยู่อย่างไร รู้ได้อย่างไร แล้วเราจะนำสิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อชาติอย่างไร
หมอ : นั่นซิค่ะ อยากรู้เหมือนกันค่ะ ว่าตรงกับที่หมอเรียนมาหรือเปล่า
งั้นก็จะถามคุณหมอว่า โลกเราเมื่อเกิดขึ้นใหม่ๆ มี พืชและสัตว์ ไหมครับ
หมอ : ตามความเข้าใจของหมอนะค่ะ เข้าใจว่า ยังไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีพืชและสัตว์ และเมื่อเวลา เงื่อนไขที่เหมาะสมเลยทำให้มีพืชและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้
ใช่ครับ คุณหมอ เดิมโลกเราไม่มีพืช ไม่มีสัตว์ แต่สิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วคือ ธาตุ หรือสภาวะธาตุ ทั้ง 7 ซึ่ง 6 ธาตุแรกเป็นสังขตธาตุ ซึ่งธาตุทั้ง 6 นี้จะอยู่อย่างเดี่ยวๆ โดดไม่ได้มันจะต้องผสมกับธาตุอื่นเกิดขึ้นด้วยมีเหตุปัจจัย และอีกหนึ่งธาตุเป็นอสังขตธาตุ ซึ่งเป็นธาตุบริสุทธิ์ผุดผ่องมันสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองมันจึงอิสระ มันจึงไม่เป็นสังขาร มันจึงไม่ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ มันจึงกลายเป็นเอกภาพของสรรพธาตุหรือสรรพสิ่ง ดังกล่าวนี้ได้แก่
1. ธาตุดิน 2. ธาตุน้ำ 3. ธาตุลม 4. ธาตุไฟ 5. อากาศธาตุ 6. วิญญาณธาตุ ธาตุทั้ง 6 นี้ คือ สังขตธาตุ หรือ สังขตธรรม ซึ่งอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์
7. อสังขตธาตุ คือ อสังขตธรรมนิโรธธาตุนิพพานธาตุ ธรรมาธิปไตยของสิ่งทั้งปวง หรือองค์เอกภาพของสิ่งทั้งปวงหรือสรรพสิ่ง อสังขตธาตุหรืออสังขตธรรม คือธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง คือ นิพพาน, ธรรมาธิปไตย เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดำรงอยู่ได้อย่างอิสระ มีอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองโดยไม่ต้องผสมกับใคร มันจึงอยู่เหนือกฎไตรลักษณะได้
สัง แปลว่า ร่วม, ประชุม, พร้อม, ผสม, ปรุง
ขร, ขย, ขต แปลว่า สิ้นไป
จึงแปลว่า สภาวธรรม, สภาวะธาตุ ที่มาผสมกันแล้วสิ้นไป มันเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลางและดับไปในที่สุดเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
(อนิจจตา ความไม่เที่ยง) (ทุกขตา ความเป็นทุกข์ ขัดแย้ง) (อนัตตตา ความไม่มีตัวตน เพราะมันเปลี่ยนแปลง แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา)
ด้วยเวลา ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมพอเหมาะ พอเหมาะ พอเจาะ พอดีการผสมของธาตุทั้ง 7 ก็เกิดขึ้น ในพระไตรปิฎก มีสัตว์ขันธ์เดียว 2, 3, 4, 5 ขันธ์ หรือขันธ์ 5
การเกิดขึ้นครั้งแรกของสิ่งมีชีวิต เกิดขึ้นในน้ำ เพราะน้ำเป็นที่รวมของธาตุทั้งหมดได้ดี จะเรียกว่าอะไรดี แต่ขอเรียกว่าสัตว์เซลล์เดียว เกิดขึ้นก่อนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วเพื่อความอยู่รอด อยากอยู่ดีมีสุขก้าวหน้าไปสู่สิ่งที่ดีกว่า จึงเกิดการวิวัฒนาการ2 ลักษณะคือ อย่างค่อยเป็นค่อยไปและก้าวกระโดด เป็นวิวัฒนาการของกระบวนการนามรูป และเติบโตขึ้นจากหนึ่งเซลล์เป็นล้านๆ เซลล์ เป็นสัตว์เดรัจฉานในชื่อต่างๆ ตามสมมติของแต่ละภาษา กระทั่งถึงความเป็นมนุษย์ ขยายตัวออกไปทุกทิศทุกทางแตกต่างหลากหลายต่างก็พยายามที่จะไปสู่จุดหมายเดียวกันคือสิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุด ซึ่งก็คือ นิพพาน (นิพฺพานํปรมํสุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง) จากรูป
รูปสามเหลี่ยม แสดงให้เห็นภูมิธรรมของสัตว์ทุกชนิดว่าภูมิธรรมต่ำอยู่ด้านล่างมีมาก ภูมิธรรมสูงมีน้อยอยู่ด้านบน (ลักษณะนามธรรมที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) รูปสี่เหลี่ยม ขยายความรูปสามเหลี่ยม แสดงให้เห็นว่า ความล้าหลังมีมากอยู่ด้านล่าง ความก้าวหน้ามากมีน้อยอยู่สูงๆ ก้าวหน้าเต็มร้อยก้าวกระโดดไปสู่ภพใหม่
รูปด้านล่างได้ขยายให้เห็นภาพรวมของสัตว์ทั้งหลายกำลังวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป (หมายเลข 1) และอย่างกระโดด (หมายเลข 2) ไปสู่จุดหมายเดียวกันเป็นสิ่งสูงสุดคือพระนิพพานหรือชื่ออย่างอื่น
หมายเลข 3 เป็นกระบวนการของวิวัฒนาการของนามรูปจากสัตว์เซลล์เดียว เป็นสัตว์เดรัจฉาน และสู่ความเป็นมนุษย์
หมายเลข 4 คือนามรูปที่ถูกสมมติว่าเป็นมนุษย์
หมายเลข 5 คือกระบวนการเวียนว่ายตายเกิด กิเลส กรรม วิบาก ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์
หมายเลข 6 คือ พระนิพพานอันเป็นจุดหมายสูงสูงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือเป็นองค์เอกภาพของสรรพสิ่ง เพราะอยู่เหนือกฎไตรลักษณ์นี่เอง
เส้นสีน้ำเงิน คือ ลักษณะของอสังขตธรรม หรือนิพพาน หรือ ธรรมาธิปไตย ฯลฯ มีลักษณะแผ่กระจาย ให้ก่อน ให้โอกาสก่อน แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง
เส้นสีแดง หมายถึงวิวัฒนาการของสรรพสัตว์มุ่งหน้าเข้าหาองค์เอกภาพ เมื่อไปยังไม่ถึงก็ต้องย้อนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อก้าวหน้าต่อไปหรือถอยหลังก็ได้ก็แล้วแต่การกระทำกรรรมของสัตว์นั้นๆ แต่โดยทั่วไปแล้วสัตว์ทุกชนิดอยากอยู่ดีมีสุขก้าวหน้า และต้องการอิสระ มีการทดลองขังสัตว์เซลล์เดียว มันก็ยังต้องการหาทางออก หาทางอิสระ นั่นก็หมายความสัตว์เซลล์เดียวก็มีอสังขตธาตอยู่นั่นเอง
หากเราเห็นภาพรวมทั้ง 360 องศา ก็จะเป็นลักษณะพระธรรมจักร นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ ขอถามคุณหมอว่า ระหว่างเส้นสีแดงกับเส้นสีน้ำเงิน เส้นไหนเกิดก่อนกัน
หมอ : เส้นสีน้ำเงินค่ะ หมอเข้าใจทุกอย่างเลย ที่ดร.อธิบายมานะค่ะ เพียงแต่ทางวิทยาศาสตร์อธิบายเรื่องนามธรรมไม่ได้เท่านั้นเองค่ะ ดีค่ะ เห็นด้วยมากๆ ค่ะ
ครับคุณหมอ ต่อไปนี้นะ หากว่าเรานำกฎธรรมชาตินี้ไปมองสัมพันธภาพต่างๆ อย่างเช่น สัมพันธภาพระหว่างโรงพยาบาลกับเจ้าหน้าที่และคนไข้ทั้งหมด คุณหมอก็จะรู้ชัดเจน
หมอ : ใช่ค่ะท่าน ดร.โรงพยาบาลคือเส้นสีน้ำเงิน ส่วนพนักงานทั้งหมดและคนป่วยคือเส้นสีแดง และทั้งหมอ พยาบาล พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะต้องทำตนอย่างเดียวกับเส้นสีน้ำเงินคือให้ก่อน เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ปรานีอย่างไม่มีประมาณ
ยอดเยี่ยมเลยครับคุณหมอ ต่อไปเรานำไปมองสัมพันธภาพอื่นบ้างตามสมควรนะครับ ดังเช่น
องค์เอกภาพแท้จริงคือสภาวะเดียวกันกับพระรัตนตรัย (เส้นสีน้ำเงิน) เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้ามีลักษณะแผ่เมตตาออกไปอย่างกว้างไกลแผ่ไพศาลอย่างไม่มีประมาณ ขณะเดียวกันชาวพุทธ (เส้นสีแดง) อันแตกต่างหลากหลายต่างก็มุ่งหน้าตรงต่อองค์พระรัตนตรัย มันกลายเป็นสัมพันธภาพระหว่างองค์เอกภาพกับความแตกต่างหลากหลาย กับสัมพันธภาพแผ่กระจายกับรวมศูนย์ จึงก่อให้เกิดดุลยภาพ ทรงไว้ ตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงถาวรยาวนานกว่า 2,600 ปี
สัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์ (เส้นสีน้ำเงิน) กับดาวเคราะห์ (เส้นสีแดง) สัมพันธภาพระหว่างชาติ
(เส้นสีน้ำเงิน) กับประชาชน (เส้นสีแดง) สัมพันธภาพระหว่างพระมหากษัตริย์ (เส้นสีน้ำเงิน) กับพสกนิกร (เส้นสีแดง) สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ (เส้นสีน้ำเงิน) กับลูกๆ (เส้นสีแดง)
สัมพันธภาพระหว่างห้องเรียน (เส้นสีน้ำเงิน) กับครูและนักเรียน (เส้นสีแดง)สัมพันธภาพระหว่างครู (เส้นสีน้ำเงิน) กับนักเรียน (เส้นสีแดง) ฯลฯ
จะสัมพันธภาพไหนๆ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันหมด หากว่าได้ปฏิบัติตามเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ก็จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้า ธรรมย่อมคุ้มครองปกป้องผู้ประพฤติธรรมแล้วคุณหมอว่า สัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองฯ หรือระบอบโดยธรรมกับประชาชนละครับ
หมอ : เส้นสีน้ำเงินเป็นเส้นหลักการปกครองค่ะ ส่วนเส้นสีแดงเป็นปวงชนทั้งหมดค่ะ
ถูกต้องครับคุณหมอ แล้วสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองฯ กับกฎหมายรัฐธรรมนูญละครับ
หมอ : เส้นสีน้ำเงินคือหลักการปกครองฯ ส่วนเส้นสีแดงเป็นเส้นกฎหมายรัฐธรรมนูญค่ะ หมอเข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญต้องขึ้นต่อหลักการปกครองโดยธรรมค่ะ ที่ ดร.เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นั่นแหละค่ะ
ก็ในเมื่อผู้ปกครองไทยเขาทำผิดตามๆ กันมาอย่างซ้ำซาก เอากฎหมายรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบเผด็จการ ทั้งๆ ที่มันเป็นการหลอกลวง โกหกยาวนานที่สุดว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย แล้วอย่างนี้คุณจะคิดทำอย่างไร ต่อบ้านเมืองละ ครับ
หมอ : หมอว่า ก็ต้องทำอย่างที่ ดร.ทำอยู่นี่แหละค่ะ หมอกับเพื่อนๆ จะเป็นกำลังสำคัญ ที่จะต้องร่วมมือช่วยกันให้ความรู้อย่างถูกต้องแท้จริงค่ะ
มาถึงตรงนี้ คุณหมอคงกระจ่างชัดแล้วซินะว่า ระบอบการเมืองการปกครองไทยช่างอัปรีย์จัญไรนัก (พูดแรง) เพราะมันเป็นความจริงที่เขานำเอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาก่อน ซึ่งเป็นเพียงวิธีการปกครอง นั่นก็หมายความว่ามันเป็นสัมพันธภาพที่ผิดอย่างร้ายแรงที่กระทำต่อชาติและประชาชนมายาวนานกว่า 80 ปี เพราะเขาสร้างเส้นแดงมาก่อน เส้นสีน้ำเงินไม่มี ก็เท่ากับว่าจุดหมายไม่มี หรืออุปมามีแต่ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ไม่มี แล้วมันจะดำรงอยู่ได้อย่างไร หรือมีแต่ประชาชนไม่มีชาติ หรือมีแต่พสกนิกรแต่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน หรือมีแต่นักเรียนแต่ไม่มีครู แล้วมันจะถูกต้องได้อย่างไร นักการเมืองผู้ปกครองมันก็โกงเอาๆ เพราะประชาชนไปขึ้นต่อนักการเมืองเห็นแก่ตัว กลายเป็นทาสนักการเมืองมายาวนานอย่างเป็นไปเองของระบอบเผด็จการ ทั้งนี้เพราะระบอบเผด็จการมันเป็นสัมพันธภาพที่ผิด มันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง แย่งชิงทั้งอำนาจและเงินตรา เป็นเหตุแห่งคอร์รัปชัน ปล้นชาติ โกงชาติ ฯลฯ แล้วทุกรัฐบาลก็บริหารบ้านเมืองล้มเหลว ขาดทุนย่อยยับ เป็นอย่างนี้มาทุกรัฐบาล 28 นายกรัฐมนตรี และที่เห็นอยู่ตำตาคือรัฐบาล ปู ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย
ดังนั้น จอมมารตัวจริงก็คือการจัดสัมพันธภาพที่ผิดอย่างร้ายแรงที่นำเอากฎหมายรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบอุปมาเอาสาวกไปสร้างพระพุทธเจ้า หรือเอาดาวเคราะห์ไปสร้างดวงอาทิตย์ เมื่อจอมมารคือสัมพันธภาพที่ผิดจะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญให้ดีเพียงใด มันก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย มันได้แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทุกครั้งไป เพราะมันทำผิด จะเอาลูกไปสร้างพ่อแม่ได้อย่างไรกัน เมื่อการเมืองตั้งอยู่บนสัมพันธภาพที่ผิดจะกี่รัฐบาลมันก็ต้องปกครองผิดๆ ทุกนายกรัฐมนตรีจึงกลายเป็นเสนาบดีมาร คือบริหารเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องแล้วก็อ้างว่าประชาชนต้องการ เพราะนักการเมืองหลงผิดอย่างร้ายแรงทำให้ประชาชนจึงหลงผิดตาม เพราะประชาชนเชื่อนักการเมือง
เว้นแต่ยังมีปัญญาชนที่จะร่วมกันศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดของชาติ ก็จะมีแต่เหล่าหมอ แพทย์ทั้งหลายที่มีสมองดีเข้ามาช่วยกันศึกษาเพื่อช่วยกันกอบกู้ชาติ โค่นจอมมารลงให้ได้ด้วยปัญญาอันยิ่งดังที่กล่าวมา
หมอ : ค่ะ ก็เห็นด้วยอย่างมากกับท่านอาจารย์ ดร.ป. นะค่ะ ปลื้มใจมากๆ ค่ะ ก็อยากเชิญชวนเพื่อนหมอทั้งหลายช่วยกันลองศึกษาอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษนะค่ะ ประเทศชาติและประชาชนกำลังรออยู่ค่ะ
“ไล่รัฐบาล ปู ยกขึ้นสู่การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”
อนัญญถตาความไม่เป็นโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น
ธัมมัฏฐิตตาเป็นการตั้งอยู่ตามธรรมดา
ธัมมนิยามตาเป็นกฎตายตัวของธรรมดา
อิทัปปัจจยตาความที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย
สุญญตาความว่างจากตัวตนในสิ่งทั้งปวง หาความเป็นตัวตนไม่ได้เพราะมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
หากว่าเรามีปัญญารู้ตามความเป็นจริงเช่นนี้ด้วยการลงมือปฏิบัติพิสูจน์ แจ่มชัด และไม่ยึดติดในสังขารทั้งปวง แต่ยอมว่าสังขารทั้งปวงมันเป็นเช่นนั้นเองตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็จะทำให้เรามีโอกาสพบองค์เอกภาพคือนิพพานหรือธรรมาธิปไตยหรืออักขรา ฯลฯ ที่มีอยู่ในตัวเรานี่เอง อันเป็นแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ทุกคน เราจึงเห็นสัมพันธภาพระหว่าง (1) องค์เอกภาพกับ (2) ความแตกต่างหลากหลาย และสัมพันธภาพระหว่างองค์เอกภาพ (3) มีลักษณะแผ่กระจาย ให้ก่อน โอบอุ้มคุ้มครองกับ(4) ลักษณะวิวัฒนาการมุ่งหน้า ก้าวหน้าเข้าศูนย์กลาง ทั้ง 4 ลักษณะนี้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด (5) ลักษณะดุลยภาพ จึงเป็นที่มาของ 3 มิติ 5 ลักษณะ อันเป็นลักษณะของกฎธรรมชาติ ซึ่งเราจะต้องร่วมกันพิสูจน์ต่อไป คุณหมอ จะมีความเห็นอะไรเพิ่มเติมบ้างจากข้อสรุปตรงนี้
หมอ : เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ท่าน ดร.ก็แสดงว่าคนที่จะเข้าถึงธรรมาธิปไตยได้ จะต้องมีองค์ความรู้เหล่านี้จะต้องเป็นผู้สนใจในธรรมมากพอสมควร จะว่ายากก็ไม่ยากนะค่ะ หมอเข้าใจดีนะค่ะ แต่ต้องถามความเห็นเพื่อนๆ ด้วยนะค่ะ
ครับคุณหมอ แล้วอย่างคนระดับนักการเมืองคุณหมอว่า พวกเขาจะสนใจไหม
หมอ: หมอว่าคงยากนะ เพราะพวกเขาตกอยู่ในความเห็นผิดมายาวนาน
วันนี้เราก็จะคุยกันต่อ ก็ขอเข้าเรื่องเลยนะซึ่งเชื่อมโยงจากคราวที่แล้วเกี่ยวกับกฎธรรมชาติที่มีอยู่ก่อนแล้ว “ธมฺโม หเว ปาตุรโหสิ ปพฺเพ” กฎธรรมชาติมันมี (ปรากฏ) อยู่ก่อนแล้ว “ตถาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุอันนั้น ความตั้งอยู่แห่งธรรมอันนั้น ทำนองคลองธรรมอันนั้นก็ตั้งอยู่แล้ว เพียงแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แจ่มแจ้ง แล้วนำมาบอกเล่าแสดงทำให้เข้าใจง่าย เช่น กฎไตรลักษณ์ คือความเป็นของไม่เที่ยงทนอยู่ไม่ได้และไม่ใช่ตัวตน”
มันมีอยู่ ปรากฏอยู่ ตั้งอยู่อย่างไร รู้ได้อย่างไร แล้วเราจะนำสิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อชาติอย่างไร
หมอ : นั่นซิค่ะ อยากรู้เหมือนกันค่ะ ว่าตรงกับที่หมอเรียนมาหรือเปล่า
งั้นก็จะถามคุณหมอว่า โลกเราเมื่อเกิดขึ้นใหม่ๆ มี พืชและสัตว์ ไหมครับ
หมอ : ตามความเข้าใจของหมอนะค่ะ เข้าใจว่า ยังไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีพืชและสัตว์ และเมื่อเวลา เงื่อนไขที่เหมาะสมเลยทำให้มีพืชและสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้
ใช่ครับ คุณหมอ เดิมโลกเราไม่มีพืช ไม่มีสัตว์ แต่สิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วคือ ธาตุ หรือสภาวะธาตุ ทั้ง 7 ซึ่ง 6 ธาตุแรกเป็นสังขตธาตุ ซึ่งธาตุทั้ง 6 นี้จะอยู่อย่างเดี่ยวๆ โดดไม่ได้มันจะต้องผสมกับธาตุอื่นเกิดขึ้นด้วยมีเหตุปัจจัย และอีกหนึ่งธาตุเป็นอสังขตธาตุ ซึ่งเป็นธาตุบริสุทธิ์ผุดผ่องมันสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองมันจึงอิสระ มันจึงไม่เป็นสังขาร มันจึงไม่ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ มันจึงกลายเป็นเอกภาพของสรรพธาตุหรือสรรพสิ่ง ดังกล่าวนี้ได้แก่
1. ธาตุดิน 2. ธาตุน้ำ 3. ธาตุลม 4. ธาตุไฟ 5. อากาศธาตุ 6. วิญญาณธาตุ ธาตุทั้ง 6 นี้ คือ สังขตธาตุ หรือ สังขตธรรม ซึ่งอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์
7. อสังขตธาตุ คือ อสังขตธรรมนิโรธธาตุนิพพานธาตุ ธรรมาธิปไตยของสิ่งทั้งปวง หรือองค์เอกภาพของสิ่งทั้งปวงหรือสรรพสิ่ง อสังขตธาตุหรืออสังขตธรรม คือธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง คือ นิพพาน, ธรรมาธิปไตย เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดำรงอยู่ได้อย่างอิสระ มีอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองโดยไม่ต้องผสมกับใคร มันจึงอยู่เหนือกฎไตรลักษณะได้
สัง แปลว่า ร่วม, ประชุม, พร้อม, ผสม, ปรุง
ขร, ขย, ขต แปลว่า สิ้นไป
จึงแปลว่า สภาวธรรม, สภาวะธาตุ ที่มาผสมกันแล้วสิ้นไป มันเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลางและดับไปในที่สุดเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์
(อนิจจตา ความไม่เที่ยง) (ทุกขตา ความเป็นทุกข์ ขัดแย้ง) (อนัตตตา ความไม่มีตัวตน เพราะมันเปลี่ยนแปลง แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา)
ด้วยเวลา ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมพอเหมาะ พอเหมาะ พอเจาะ พอดีการผสมของธาตุทั้ง 7 ก็เกิดขึ้น ในพระไตรปิฎก มีสัตว์ขันธ์เดียว 2, 3, 4, 5 ขันธ์ หรือขันธ์ 5
การเกิดขึ้นครั้งแรกของสิ่งมีชีวิต เกิดขึ้นในน้ำ เพราะน้ำเป็นที่รวมของธาตุทั้งหมดได้ดี จะเรียกว่าอะไรดี แต่ขอเรียกว่าสัตว์เซลล์เดียว เกิดขึ้นก่อนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วเพื่อความอยู่รอด อยากอยู่ดีมีสุขก้าวหน้าไปสู่สิ่งที่ดีกว่า จึงเกิดการวิวัฒนาการ2 ลักษณะคือ อย่างค่อยเป็นค่อยไปและก้าวกระโดด เป็นวิวัฒนาการของกระบวนการนามรูป และเติบโตขึ้นจากหนึ่งเซลล์เป็นล้านๆ เซลล์ เป็นสัตว์เดรัจฉานในชื่อต่างๆ ตามสมมติของแต่ละภาษา กระทั่งถึงความเป็นมนุษย์ ขยายตัวออกไปทุกทิศทุกทางแตกต่างหลากหลายต่างก็พยายามที่จะไปสู่จุดหมายเดียวกันคือสิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุด ซึ่งก็คือ นิพพาน (นิพฺพานํปรมํสุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง) จากรูป
รูปสามเหลี่ยม แสดงให้เห็นภูมิธรรมของสัตว์ทุกชนิดว่าภูมิธรรมต่ำอยู่ด้านล่างมีมาก ภูมิธรรมสูงมีน้อยอยู่ด้านบน (ลักษณะนามธรรมที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) รูปสี่เหลี่ยม ขยายความรูปสามเหลี่ยม แสดงให้เห็นว่า ความล้าหลังมีมากอยู่ด้านล่าง ความก้าวหน้ามากมีน้อยอยู่สูงๆ ก้าวหน้าเต็มร้อยก้าวกระโดดไปสู่ภพใหม่
รูปด้านล่างได้ขยายให้เห็นภาพรวมของสัตว์ทั้งหลายกำลังวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป (หมายเลข 1) และอย่างกระโดด (หมายเลข 2) ไปสู่จุดหมายเดียวกันเป็นสิ่งสูงสุดคือพระนิพพานหรือชื่ออย่างอื่น
หมายเลข 3 เป็นกระบวนการของวิวัฒนาการของนามรูปจากสัตว์เซลล์เดียว เป็นสัตว์เดรัจฉาน และสู่ความเป็นมนุษย์
หมายเลข 4 คือนามรูปที่ถูกสมมติว่าเป็นมนุษย์
หมายเลข 5 คือกระบวนการเวียนว่ายตายเกิด กิเลส กรรม วิบาก ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์
หมายเลข 6 คือ พระนิพพานอันเป็นจุดหมายสูงสูงของสรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือเป็นองค์เอกภาพของสรรพสิ่ง เพราะอยู่เหนือกฎไตรลักษณ์นี่เอง
เส้นสีน้ำเงิน คือ ลักษณะของอสังขตธรรม หรือนิพพาน หรือ ธรรมาธิปไตย ฯลฯ มีลักษณะแผ่กระจาย ให้ก่อน ให้โอกาสก่อน แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง
เส้นสีแดง หมายถึงวิวัฒนาการของสรรพสัตว์มุ่งหน้าเข้าหาองค์เอกภาพ เมื่อไปยังไม่ถึงก็ต้องย้อนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อก้าวหน้าต่อไปหรือถอยหลังก็ได้ก็แล้วแต่การกระทำกรรรมของสัตว์นั้นๆ แต่โดยทั่วไปแล้วสัตว์ทุกชนิดอยากอยู่ดีมีสุขก้าวหน้า และต้องการอิสระ มีการทดลองขังสัตว์เซลล์เดียว มันก็ยังต้องการหาทางออก หาทางอิสระ นั่นก็หมายความสัตว์เซลล์เดียวก็มีอสังขตธาตอยู่นั่นเอง
หากเราเห็นภาพรวมทั้ง 360 องศา ก็จะเป็นลักษณะพระธรรมจักร นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ ขอถามคุณหมอว่า ระหว่างเส้นสีแดงกับเส้นสีน้ำเงิน เส้นไหนเกิดก่อนกัน
หมอ : เส้นสีน้ำเงินค่ะ หมอเข้าใจทุกอย่างเลย ที่ดร.อธิบายมานะค่ะ เพียงแต่ทางวิทยาศาสตร์อธิบายเรื่องนามธรรมไม่ได้เท่านั้นเองค่ะ ดีค่ะ เห็นด้วยมากๆ ค่ะ
ครับคุณหมอ ต่อไปนี้นะ หากว่าเรานำกฎธรรมชาตินี้ไปมองสัมพันธภาพต่างๆ อย่างเช่น สัมพันธภาพระหว่างโรงพยาบาลกับเจ้าหน้าที่และคนไข้ทั้งหมด คุณหมอก็จะรู้ชัดเจน
หมอ : ใช่ค่ะท่าน ดร.โรงพยาบาลคือเส้นสีน้ำเงิน ส่วนพนักงานทั้งหมดและคนป่วยคือเส้นสีแดง และทั้งหมอ พยาบาล พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จะต้องทำตนอย่างเดียวกับเส้นสีน้ำเงินคือให้ก่อน เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ปรานีอย่างไม่มีประมาณ
ยอดเยี่ยมเลยครับคุณหมอ ต่อไปเรานำไปมองสัมพันธภาพอื่นบ้างตามสมควรนะครับ ดังเช่น
องค์เอกภาพแท้จริงคือสภาวะเดียวกันกับพระรัตนตรัย (เส้นสีน้ำเงิน) เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้ามีลักษณะแผ่เมตตาออกไปอย่างกว้างไกลแผ่ไพศาลอย่างไม่มีประมาณ ขณะเดียวกันชาวพุทธ (เส้นสีแดง) อันแตกต่างหลากหลายต่างก็มุ่งหน้าตรงต่อองค์พระรัตนตรัย มันกลายเป็นสัมพันธภาพระหว่างองค์เอกภาพกับความแตกต่างหลากหลาย กับสัมพันธภาพแผ่กระจายกับรวมศูนย์ จึงก่อให้เกิดดุลยภาพ ทรงไว้ ตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงถาวรยาวนานกว่า 2,600 ปี
สัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์ (เส้นสีน้ำเงิน) กับดาวเคราะห์ (เส้นสีแดง) สัมพันธภาพระหว่างชาติ
(เส้นสีน้ำเงิน) กับประชาชน (เส้นสีแดง) สัมพันธภาพระหว่างพระมหากษัตริย์ (เส้นสีน้ำเงิน) กับพสกนิกร (เส้นสีแดง) สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ (เส้นสีน้ำเงิน) กับลูกๆ (เส้นสีแดง)
สัมพันธภาพระหว่างห้องเรียน (เส้นสีน้ำเงิน) กับครูและนักเรียน (เส้นสีแดง)สัมพันธภาพระหว่างครู (เส้นสีน้ำเงิน) กับนักเรียน (เส้นสีแดง) ฯลฯ
จะสัมพันธภาพไหนๆ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันหมด หากว่าได้ปฏิบัติตามเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ก็จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้า ธรรมย่อมคุ้มครองปกป้องผู้ประพฤติธรรมแล้วคุณหมอว่า สัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองฯ หรือระบอบโดยธรรมกับประชาชนละครับ
หมอ : เส้นสีน้ำเงินเป็นเส้นหลักการปกครองค่ะ ส่วนเส้นสีแดงเป็นปวงชนทั้งหมดค่ะ
ถูกต้องครับคุณหมอ แล้วสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองฯ กับกฎหมายรัฐธรรมนูญละครับ
หมอ : เส้นสีน้ำเงินคือหลักการปกครองฯ ส่วนเส้นสีแดงเป็นเส้นกฎหมายรัฐธรรมนูญค่ะ หมอเข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญต้องขึ้นต่อหลักการปกครองโดยธรรมค่ะ ที่ ดร.เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นั่นแหละค่ะ
ก็ในเมื่อผู้ปกครองไทยเขาทำผิดตามๆ กันมาอย่างซ้ำซาก เอากฎหมายรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบเผด็จการ ทั้งๆ ที่มันเป็นการหลอกลวง โกหกยาวนานที่สุดว่า เป็นระบอบประชาธิปไตย แล้วอย่างนี้คุณจะคิดทำอย่างไร ต่อบ้านเมืองละ ครับ
หมอ : หมอว่า ก็ต้องทำอย่างที่ ดร.ทำอยู่นี่แหละค่ะ หมอกับเพื่อนๆ จะเป็นกำลังสำคัญ ที่จะต้องร่วมมือช่วยกันให้ความรู้อย่างถูกต้องแท้จริงค่ะ
มาถึงตรงนี้ คุณหมอคงกระจ่างชัดแล้วซินะว่า ระบอบการเมืองการปกครองไทยช่างอัปรีย์จัญไรนัก (พูดแรง) เพราะมันเป็นความจริงที่เขานำเอากฎหมายรัฐธรรมนูญมาก่อน ซึ่งเป็นเพียงวิธีการปกครอง นั่นก็หมายความว่ามันเป็นสัมพันธภาพที่ผิดอย่างร้ายแรงที่กระทำต่อชาติและประชาชนมายาวนานกว่า 80 ปี เพราะเขาสร้างเส้นแดงมาก่อน เส้นสีน้ำเงินไม่มี ก็เท่ากับว่าจุดหมายไม่มี หรืออุปมามีแต่ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ไม่มี แล้วมันจะดำรงอยู่ได้อย่างไร หรือมีแต่ประชาชนไม่มีชาติ หรือมีแต่พสกนิกรแต่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน หรือมีแต่นักเรียนแต่ไม่มีครู แล้วมันจะถูกต้องได้อย่างไร นักการเมืองผู้ปกครองมันก็โกงเอาๆ เพราะประชาชนไปขึ้นต่อนักการเมืองเห็นแก่ตัว กลายเป็นทาสนักการเมืองมายาวนานอย่างเป็นไปเองของระบอบเผด็จการ ทั้งนี้เพราะระบอบเผด็จการมันเป็นสัมพันธภาพที่ผิด มันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง แย่งชิงทั้งอำนาจและเงินตรา เป็นเหตุแห่งคอร์รัปชัน ปล้นชาติ โกงชาติ ฯลฯ แล้วทุกรัฐบาลก็บริหารบ้านเมืองล้มเหลว ขาดทุนย่อยยับ เป็นอย่างนี้มาทุกรัฐบาล 28 นายกรัฐมนตรี และที่เห็นอยู่ตำตาคือรัฐบาล ปู ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย
ดังนั้น จอมมารตัวจริงก็คือการจัดสัมพันธภาพที่ผิดอย่างร้ายแรงที่นำเอากฎหมายรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบอุปมาเอาสาวกไปสร้างพระพุทธเจ้า หรือเอาดาวเคราะห์ไปสร้างดวงอาทิตย์ เมื่อจอมมารคือสัมพันธภาพที่ผิดจะร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญให้ดีเพียงใด มันก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตย มันได้แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทุกครั้งไป เพราะมันทำผิด จะเอาลูกไปสร้างพ่อแม่ได้อย่างไรกัน เมื่อการเมืองตั้งอยู่บนสัมพันธภาพที่ผิดจะกี่รัฐบาลมันก็ต้องปกครองผิดๆ ทุกนายกรัฐมนตรีจึงกลายเป็นเสนาบดีมาร คือบริหารเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องแล้วก็อ้างว่าประชาชนต้องการ เพราะนักการเมืองหลงผิดอย่างร้ายแรงทำให้ประชาชนจึงหลงผิดตาม เพราะประชาชนเชื่อนักการเมือง
เว้นแต่ยังมีปัญญาชนที่จะร่วมกันศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวดของชาติ ก็จะมีแต่เหล่าหมอ แพทย์ทั้งหลายที่มีสมองดีเข้ามาช่วยกันศึกษาเพื่อช่วยกันกอบกู้ชาติ โค่นจอมมารลงให้ได้ด้วยปัญญาอันยิ่งดังที่กล่าวมา
หมอ : ค่ะ ก็เห็นด้วยอย่างมากกับท่านอาจารย์ ดร.ป. นะค่ะ ปลื้มใจมากๆ ค่ะ ก็อยากเชิญชวนเพื่อนหมอทั้งหลายช่วยกันลองศึกษาอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษนะค่ะ ประเทศชาติและประชาชนกำลังรออยู่ค่ะ
“ไล่รัฐบาล ปู ยกขึ้นสู่การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”