xs
xsm
sm
md
lg

ปู แก้รัฐธรรมนูญ... ประชาชนเสียประโยชน์หนักยิ่งขึ้นซ้ำซาก

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนออกเดินทางไปเยือนประเทศมองโกเลียเพื่อเข้าร่วมการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 27-29 เมษายนนี้ ถึงกรณีการชุมนุมกดดันศาลรัฐธรรมนูญของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า “การเรียกร้องเรื่องใดของประชาชน ถ้าหากอยู่ภายใต้กฎหมาย ความสงบ ก็เป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาต้องการที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการนิติธรรม โดยให้ความเป็นธรรมทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง

“การสร้างสมดุลระหว่าง 3 สถาบัน ซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศ ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทำหน้าที่ของตัวเอง ทั้งนี้ 3 สถาบันเสาหลักจะต้องถ่วงดุลกัน เพื่อให้เกิดความสมดุล รวมทั้งเกิดการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสด้วย” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว

เราขอวิจารณ์คำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ใน 2 ประเด็น

ประเด็นแรก ท่านนายกรัฐมนตรีคนนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ปัญญาอ่อน บิดเบือนที่พูดว่า “...สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย”

ในประเด็นนี้ ประเทศไทยไม่เคยมีสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยเลย ในความเป็นจริง ที่มันดำรงอยู่จริงๆ ประเทศไทยเป็นประเทศระบอบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญมากว่า 80 ปี สิทธิที่มีอยู่ในการชุมนุมของประชาชน ไม่ใช่สิทธิในระบอบประชาธิปไตย หากมันเป็นสิทธิในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ นี่คือความจริงและถูกต้อง

สิทธิในระบอบประชาธิปไตย ย่อมเกิดจากหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย คือ หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แต่ในความเป็นจริงอำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุน นักกินเพียงหยิบมือเดียว มายาวนานกว่า 80 ปีแล้ว เราจึงเห็นชัดว่า ประชาชนไม่สามารถกำหนดทิศทางนักการเมืองได้เลย เพราะนักการเมืองซื้อเสียง ยึดอำนาจอธิปไตยไปเป็นของตนหรือเจ้านายตนคือหัวหน้าพรรคหรือนายทุนใหญ่ เช่นมี ทักษิณ เป็นต้น

หากว่ามีสิทธิระบอบประชาธิปไตยจริง ประชาชนที่นำโดย เสธ. อ้าย พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ชุมนุมที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ก็คงจะไม่ต้องถูกตำรวจทุบตี โดนระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่อย่างโหดร้าย บาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก

แต่การชุมนุมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ หลายวันแล้ว ตำรวจไม่เคยใส่ใจและมาอารักขาให้อย่างดี ซึ่งมีข้อแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 2 มาตรฐาน

ดังนั้นในความเป็นจริงประเทศไทยมีแต่สิทธิในระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ (เพราะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นตัวถือดุล)

หากมีหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือระบอบประชาธิปไตย จะต้องมีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้เป็นตัวยืนยันและเป็นตัวถือดุลเพื่อให้เกิดปัญญาแก่ประชาชนในทางการเมือง รู้เท่าทันนักการเมืองชั่วๆ ได้แก่

หนึ่ง หลักธรรมาธิปไตย

สอง หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ

สาม หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน

ทั้งสามหลักนี้เป็นแก่นแท้อุดมการณ์แห่งชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อจากนั้นการทำให้ประชาชนมีจิตใจเสียสละและรักชาติ จิตใจที่จะเสียสละทำคุณประโยชน์ให้กับชาติอย่างแท้จริงก็จะต้องให้ศักยภาพกับประชาชนอย่างเต็มร้อยด้วยหลักการต่อไปนี้อีก 6 ข้อสำคัญ

สี่ เมื่อมีหลักการสำคัญทั้งสามข้างต้นก็จะเป็นเหตุให้มีหลักเสรีภาพบริบูรณ์เป็นสิ่งที่สูงสุดเพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพในการคิด ต่อสู้ รักษาประเทศชาติของตน

ห้า เมื่อมีหลักการสำคัญทั้งสี่ข้างต้นก็จะเป็นเหตุให้มีหลักความเสมอภาคทางโอกาส (ไม่ใช่ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน) อุปมา ทุกคนมีโอกาสไปวัดพระแก้วได้ตามกำลังหรือศักยภาพของตน

หก เมื่อมีหลักการสำคัญทั้งห้าข้างต้นก็จะเป็นเหตุให้มีหลักภราดรภาพ เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสโดยไม่มีข้อแม้เรื่องเชื่อชาติ ความเชื่อทางศาสนา ฯลฯ

เจ็ด เมื่อมีหลักการสำคัญทั้งหกข้างต้นก็จะเป็นเหตุให้มีหลักเอกภาพ “แตกต่างหลากหลายต่างไปสู่จุดหมายเดียวกันเพื่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” หรือแตกต่างหลากหลายต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9ปวงชนทุกคนสามารถเข้าถึงหลักการปกครองแห่งความยุติธรรมอย่างเสมอภาคทางโอกาส

แปด เมื่อมีหลักการสำคัญทั้งเจ็ดข้างต้นก็จะเป็นเหตุให้มีหลักดุลยภาพ คือมีความดุลยภาพในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เช่น

สัมพันธภาพแรก คือดุลยภาพระหว่างหลักการปกครองกับประชาชน

สัมพันธภาพที่สอง คือดุลยภาพระหว่างหลักการปกครองกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ

สัมพันธภาพที่สาม คือ ดุลยภาพระหว่างประชาชนกับหลักการปกครอง และกฎหมายรัฐธรรมนูญ

สัมพันธภาพดังกล่าวนี้ เฉกเช่นเดียวกับสัมพันธภาพดุลยภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์

เมื่อเราใช้รูปการปกครอง (Form of Government) ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หลักดุลยภาพก็จะเป็นหลักให้องค์กรดุลยอำนาจสามฝ่ายคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริการ ฝ่ายตุลาการ มีดุลยภาพกันอย่างมีหลัก มีกฎ มีเกณฑ์ มีที่มาที่ไปอย่างเป็นธรรม

หลักการเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้เกิดสมดุลในทุกๆ องค์การ องค์กรและเป็นแบบอย่างให้องค์กรต่างๆ ที่เล็กกว่า ได้ปฏิบัติตามโดยธรรมและเอาเป็นแบบอย่างได้ ทำให้ประชาชนมีปัญญาตรวจสอบนักการเมือง ข้าราชการได้ในทุกระดับได้

ด้วยเหตุปัจจัยสำคัญของหลักการปกครองทั้ง 8 อันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” “เมื่อมีเหตุดี ผลย่อมดีตาม” จึงได้ประมวลเอาหลักการปกครองทั้ง 8 ประการ เป็นหลักการปกครองหลักที่เก้าคือหลักนิติธรรม

หลักนิติธรรม จึงเป็นหลักธรรมและหลักความยุติธรรมที่ซ้อนกันอยู่ถึง 8 มิติ 8 ลักษณะ จึงเป็นหลักนิติธรรมที่เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งต่างหลักนิติธรรมที่พูดกันพร่ำเพรื่อให้สวยหรูแต่ไม่รู้ที่มาที่ไป หากยังไม่มีการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นทั้งการพูดและเขียนก็เป็นการหลอกลวงประชาชน และหลอกกันเองทั้งสิ้น

หลักการปกครองธรรมาธิปไตยทั้ง 9 จึง มีที่มาที่ไป ด้วยเหตุปัจจัยของเหตุและผลโดยธรรม

แต่ในปัจจุบันมันเป็นเพียงดุลยภาพหลอกๆ มันเป็นเพียงคำพูดสวยหรูของนายกรัฐมนตรีมาหลายท่านแล้วเท่านั้น ในความเป็นจริงอำนาจมันสุดโต่งไปทางฝ่ายบริหารในทุกเรื่อง

หากว่าหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ได้รับการสถาปนาโดยพระเจ้าแผ่นดิน ประเทศไทยก็จะมีระบอบประชาธิปไตยโดยธรรมขึ้นมาจริงๆ แต่เมื่อหลักการปกครองไม่มีหรือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่มี ไม่มีอยู่จริง มีแต่หลอกลวงกันยาวนานที่สุด ไม่มีโกหกใดๆ ในโลกที่ยาวนานที่สุดว่าเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ดังนั้นสิ่งที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ พูด ก็พูดให้ดูดี โดยไม่มีหลักการปกครอง เป็นสิ่งอ้างอิง เป็นการพูดพล่อยๆ เพื่อให้ดูดีเท่านั้น

ประการที่สอง ที่ว่า “...การสร้างสมดุลระหว่าง 3 สถาบัน ซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศได้แก่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ... นายกฯ ยิ่งลักษณ์ พูดออกมาอย่างไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย

ดังนั้นในการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพวกแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางมาตรา เราก็รู้ชัดว่าหลอกประชาชน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเหล่านักการเมืองมีจอมมาร เสนาบดีมาร และเสนามาร ได้ประโยชน์ในการปล้นชาติ ดังเช่น

มาตรา 68 รัฐบาลเสนอแก้ไขเห็นได้ชัดเป็นการตัดสิทธิประชาชนในการตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะสิทธิในการยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ

มาตรา 117 การแก้ไขที่มา ส.ว. ให้มีแต่ ส.ว.เลือกตั้งทั้ง 200 คน ก็เป็นการทำลายการตรวจสอบถ่วงดุลกันระหว่าง ส.ว.เลือกตั้ง และส.ว.สรรหา

รู้ไว้เถิดว่า ส.ว.จะมาจากเลือกตั้ง (ซื้อเอา) หรือมาจากสรรหา ก็ไม่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย พวกมึงจะโกหกประชาชนไปถึงไหนกัน ในเมื่อหลักการปกครองหรือระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ยังไม่มี พวกนักโกงเมืองมันจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจทางการเมืองและถอนทุนคืน เอาประเทศเป็นที่ทำมาหากินของพวกนักกินเมืองเลวๆ เท่านั้น ส.ว.ประเทศอังกฤษ เมื่อพ่อตาย ลูกสืบทอดได้ การเลือก การสรรหา การสืบทอด มันเป็นเพียงวิธีการทั้งสิ้นเพื่อความเหมาะสมของประเทศนั้นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือไม่เป็น ประเทศไทยหากให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง มันก็ได้แต่คนรวย คนมีอิทธิพล คนจัญไร แต่ไม่ได้คนดีมีความรู้ความสามารถที่แท้จริง

มาตรา 190 การแก้ไขก็ตัดสิทธิประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารการดำเนินงานของรัฐบาล ที่รัฐบาลผลักดันให้แก้มาตรานี้คงต้องการกลบเกลื่อนการบริหารที่ผิดพลาด เช่นโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุด นักการเมืองเพียงแต่ไปขอใบประทวน ก็ไปขึ้นเงินได้แล้ว

มาตรา 237 วรรคสองว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมือง 5 ปี หากเขาแก้สำเร็จ ประโยชน์มันตกอยู่ในมือนักกินเมืองเท่านั้น พวกมันโกงกินกันแล้ว โกงกินกันอีกหนักยิ่งกว่าเดิม

ทั้งหมดนี้ เราจะเห็นแนวคิดของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ พวกมันคิดได้แค่ร่างรัฐธรรมใหม่ กับแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราเท่านั้น

ถามว่าคราวก่อน รัฐบาลอภิสิทธิ์ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ในสองประเด็น ประชาชนได้อะไรบ้าง มันก็ได้แต่นักกินเมืองพรรคประชาธิปัตย์

ก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็ไม่ได้อะไรเช่นเดิม ถูกกดขี่หนักกว่าเดิม คุณของเงินบาทลดน้อยถอยลงทุกวัน มันก็ได้แต่นักกินเมืองพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น

ขอย้ำว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิดปิดหลักการ (ระบอบ) แต่เปิดวิธีการปฏิบัติคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ระบอบเผด็จการมันเอาวิธีการปกครองคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ มันเอาวิธีการ คือการเลือกตั้ง มันเอารูปการปกครอง (Form of Government) คือระบบรัฐสภา (Parliamentary System) ซึ่งมีองค์กรอำนาจอธิปไตยทั้งสามคือ ฝ่ายนิติบัญญิติ ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) และ ฝ่ายตุลาการ (ศาล) แล้วมาบอกว่า นี่คือ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

นี่คือการหลอกลวงอย่างร้ายแรงที่สุด รุนแรงที่สุด ยาวนานที่สุดต่อประชาชนไทยทุกผู้ทุกนาม
กำลังโหลดความคิดเห็น