“เมื่อเหตุเลว ผลย่อมเลวตาม” เราได้แนะนำ ติติงตักเตือนคณะผู้ปกครองมาหลายคณะแล้วว่า “อย่าได้สร้างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยเป็นอันขาด” เพราะนี่คือแนวทางมิจฉาทิฐิ ไม่มีสิ่งใดที่จะเลวร้าย เป็นบาปใหญ่ เท่าที่ผู้ปกครองไทยหลายชุด หลายคณะหลงผิด คิดผิดเข้าใจผิดต่อแนวทาง ความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวงนัก มันทำลายประเทศชาติ และครอบงำประชาชนให้ติดอยู่ใต้ขบวนการโกหกอันยาวนานที่สุด
รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 เป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิซ้ำรอยเดิม ครั้งที่ 18 เพราะมาจากแนวคิดของพวกลัทธิรัฐธรรมนูญ ทั้งหลายที่มีแนวคิดมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวง คือ “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย” แนวทางนี้จะร่างสักร้อยครั้ง พันฉบับก็จะไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยอะไรเลย มีแต่ความล้มเหลว ระบอบเผด็จการยังคงครอบงำประชาชนต่อไป
แต่ที่มันร้ายที่สุดคือมันกลับกลายเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติ มันทำลายความดีงาม โอกาสของประเทศชาติและประชาชนให้เสื่อมถอยลงๆ นับถึงวันนี้เราถูกแนวทางมิจฉาทิฐิ “ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย” ผิดซ้ำรอยเดิมมาแล้วถึง 18 ครั้ง ครอบงำทำลายมาแล้วยาวนานกว่า 80 ปี มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากเกินไปแล้ว
บัดนี้เราจะเห็นได้ชัดว่าแม้แต่ประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ก้าวหน้า นำหน้าประเทศของเราไปหมดแล้ว ไทยเรายังย่ำต๊อก วนเวียนอยู่ในวังวนวงจรโคตรอุบาทว์ ทั้งนี้เป็นความเห็นผิด คิดผิด ทำผิด ของผู้ปกครองไทย อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมๆ ชนชั้นสูงถึงมองไม่เห็นภัยใหญ่ร้ายแรงนี้
สภาวการณ์ของประเทศไทยยังเป็นสภาวการณ์ระบอบเผด็จการสลับขั้วกันระหว่างเผด็จการรัฐประหารกับเผด็จการระบบรัฐสภา (รูปการปกครองเป็นระบบรัฐสภา ส่วนเนื้อหาเป็นเผด็จการ เพราะไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม แสดงให้เห็น) นี่คือสภาพการณ์ที่เป็นจริง ดังนี้
จะเห็นได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลคณะใดๆ ก็ตาม จะเป็นใครๆ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม เมื่อมาบริหารประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นไปทำนองต้นดี ปลายร้าย, ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา, ทุกรัฐบาลไป แรกเข้ามาประชาชนชื่นชม และจากไปประชาชนขับไล่, เข้ามาใหม่ๆ ได้รับดอกไม้ แต่จากไปได้รับก้อนอิฐ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุกรัฐบาล และทุกรัฐบาลมีแต่สร้างหนี้พอกพูนหนี้ให้กับประชาชน
นับแต่ ปู ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี คงเป็นอีกได้ไม่นาน จะขัดแข้งขัดขากันเอง และอาจจะถูกประชาชนขับไล่ เพราะเหตุคือ เป็นพรรคที่เกิดจากระบอบมิจฉาทิฐิ เป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบผิด และรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ในสถานการณ์นี้ ใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน ตายก่อนเสียผู้เสียคนก่อน
ทุกรัฐบาล ระยะแรกกระแสประชาชนชื่นชมพอเป็นรัฐบาลผ่านไปได้เพียง 2 ปี ก็เริ่มมีกระแสต่อต้าน อันเป็นไปกฎเกณฑ์ของระบอบเผด็จการ อันเป็นเหตุให้เกิดวงจรอุบาทว์ แท้จริงแล้วรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์นั้นตั้งอยู่บนสภาพการณ์ของระบอบลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนั่นเอง
แต่คุณปู ยิ่งลักษณ์กลับหายใจเป็นระบอบประชาธิปไตย โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขามีจุดยืนและคิดผิดไปจากสภาพการณ์ที่เป็นจริง“เขาเห็นถนนลูกรัง เป็นถนนคอนกรีต” เขาฉลาดเพื่อตนเองเสมอ แต่เขากลับโง่เขลาทางการเมืองโดยธรรมหรือไม่
เราได้แนะนำ ติติง ตักเตือนรัฐบาลด้วยความเมตตาๆ หลายครั้ง หลายคราพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล แต่ต้องระวังให้ดีนะ เมื่อคุณเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก่อนอื่นคุณต้องมีนโยบาย และโปรแกรมอันสำคัญยิ่งใหญ่ ที่จะดำเนินการแก้ไขแนวทางและระบอบเผด็จการอันใหญ่หลวง โดยให้มีหลักการปกครองโดยธรรมคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
หลักการนี้ได้ผ่านการวิปัสสนา พิสูจน์ วิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว คุณเอาไปพิจารณาทำให้เป็นรูปธรรม คุณจะเป็นนายกฯ ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ เราจึงได้พูดกับคนใกล้ชิดเสมอว่า ยังไงๆ รัฐบาลปู จะไปไม่รอด ไม่ประทับใจประชาชน สร้างหนี้ท่วมประเทศ หากไม่ถูกประชาชนขับไล่ ก็ต้องถูกรัฐประหารอีกแน่นอน
กระแสความนิยมในตัวคุณปู ก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ และมีอุปสรรคขวางอยู่ข้างหน้ามากมายเหลือเกิน เกินกว่าปัญญาของคุณปู ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย จะมีความสามารถแก้ไขได้ ไหนจะบริหารคนที่ด้อยคุณภาพในพรรค และพรรคร่วมรัฐบาล ที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งขาดปัญญาทั้งนั้น ว่าโดยรวมขบวนการของรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ หรือภาพรวมของรัฐบาล
ถ้าพวกท่านทั้งหลายยังมองไม่ออกว่าอะไรคือ เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง และการจัดความสัมพันธ์ภายในชาติให้ถูกต้องโดยธรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีนโยบายและโปรแกรมแก้ไขเหตุวิกฤติชาติ หากคิดแต่แก้ปัญหาปลายเหตุ เช่น ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อายุรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ ก็จะต้องลาโรง เพราะปัญหาต่างๆ ตามมาอย่างมากมายทับถมทวีคูณ
ผู้เขียน ยืนยันตามกฎอิทัปปัจจยตาอันเป็นทางสายกลาง คือพิจารณาไปตามเหตุปัจจัย และปัจจัยผล จึงไม่ได้มองปัญหาบุคคลหรือรัฐบาลเป็นเหตุเพียงอย่างเดียว คือพิจารณาความสัมพันธ์ทั้งองค์รวมตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในประเทศของเรา
เราได้แนะนำว่า การจะทำบ้านเมืองให้เกิดความถูกต้อง สิ่งแรกคือต้องสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน (สร้างระบอบก่อน) จากนั้น จึงดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง ดังเช่น วัดพระแก้วถูกสร้างขึ้นมาก่อน ส่วนวิธีการไปเกิดภายหลังอันหลากหลาย เช่น เดิน วิ่ง รถจักรยาน รถยนต์ เป็นต้น ดุจเดียวกับสัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ หรือดุจเดียวกับสัมพันธภาพระหว่างสภาวะนิพพานกับ 84,000 พระธรรมขันธ์
สัตตบุรุษ ย่อมแนะนำให้ผู้ปกครองจะชุดไหนๆ ก็ตาม รับฟังและคิดแก้ปัญญาที่เป็นต้นเหตุ หรือเหตุแห่งปัญหาของชาติจริงๆ ส่วนรัฐบาลจะได้รับฟัง รับรู้หรือไม่ตาม
เราขอเชิญชวนมาร่วมกันพิสูจน์กฎอิทัปปัจจยตาอันเป็นกฎความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล คือ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, (เมื่อเหตุดีเกิดขึ้น ผลดีย่อมเกิดขึ้น, เมื่อเหตุไม่ดีเกิดขึ้น ผลไม่ดีย่อมเกิดขึ้น)
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)
ก็จะเห็นได้ว่า ในจักรวาลนี้ โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะพ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตานี้ได้ สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นไป ดำเนินไปตามกฎอิทัปปัจจยตานี้ทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติ แล้วนำมาสอน บัญญัติ ก็ล้วนแล้วเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น
การคิดแก้ปัญหาประเทศชาติ และเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด คือปัญหาทุกข์ของแผ่นดิน หรือทุกข์ร่วมของปวงชนในแผ่นดิน เราต้องสืบสาวไปหาเหตุแห่งความทุกข์ของแผ่นดิน เมื่อพิจารณาทั้งองค์รวม ทั้งกระบวนการก็คือ
หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง
รัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง เป็นปัจจัยให้มีการปกครอง (รัฐบาล)
รัฐบาลเป็นเหตุปัจจัยต่อ กระทรวง, กระทรวงเป็นปัจจัยต่อกรม, กรมเป็นปัจจัยต่อจังหวัด... เป็นลำดับไปจนถึงบุคคล
นัยหนึ่งคือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เมื่อจะแก้ปัญหาก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุ คือ ระบอบหรือหลักการปกครอง
แต่ปรากฏว่า 80 ปี ประเทศไทยเราไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรม เมื่อไม่มีหลักการปกครองมันก็บอกให้เรารู้ว่า มันไม่มีระบอบ มันจึงเป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ผิดไปจากคลองธรรม จึงเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการนั่นเอง
ผู้ปกครองฯ เอาการเลือกตั้งมาบังหน้า เอามาเป็นเครื่องมือขึ้นสู่อำนาจ เอาระบบรัฐสภาอันเป็นรูปการปกครองชนิดหนึ่ง มาใช้เป็นรูปแบบการปกครอง แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อว่าคือระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วก็ล้มเหลวทุกทีไปอย่างซ้ำซาก มันโกหกกันมายาวนานที่สุด เป็นการโกหกกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ก็เช่นเดียวกันไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียวนัยหนึ่งมีแต่วิธีการปกครอง
เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ การเลือกตั้งย่อมเป็นมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมมิจฉาทิฐิ การบริหารราชการ กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล... จนถึงประชาชน ย่อมเป็นไปตามกลไกรัฐ จึงถูกกระแสมิจฉาทิฐิครอบงำตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ผิด ผิด แผ่กระจายครอบงำไปทั้งประเทศ
อีกนัยหนึ่งเมื่อการปกครองมิจฉาทิฐิ ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม การศึกษา สังคม การดำเนินชีวิตของประชาชนก็พลอยไหลตามไปกระแสแห่งมิจฉาทิฐิ ตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด
บางคนก็บอกว่ามันอยู่ที่คน ถ้ามองที่ตัวบุคคล คนเก่าไป คนใหม่มาน่าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยกลับหนักขึ้นๆ หนักขึ้นทุกวัน มีภาพพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วในหัวใจของสาธุชนคนไทยทั้งหลาย
“ในหลวงคือภาพของความดีงามและสูงส่งดุจสวรรค์ แต่ภาพของการเมืองไทยไยกลับกลายเป็นนรกเล่า”นักการเมืองหลายคนดุจดังสัตว์นรกในอบายภูมิ ก็เพราะพวกเขาอยู่ใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภานั่นเอง
แต่พวกเขาบิดเบือนไปว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ มันก็หลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย พวกเขาเป็นพรรคการเมืองที่รักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาไว้อย่างเหนียวแน่นและยาวนาน
ปัญญาชนทั้งหลายต้องร่วมกันพิสูจน์ให้ชัดว่า มันคือระบอบเผด็จการ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย จะมีไหมองค์การไต่สวนในเรื่องนี้ ศาลออกมาทำหน้าที่หน่อยเถอะ หรือไทยเราจะยอมตกอยู่ภายใต้ขบวนการโกหกยาวนานนี้ออกไปเป็นร้อยปีหรือไร
ดูไปๆ เพื่อนกรรมกร สหภาพแรงงานฯ ทั้งหลาย นำไปศึกษา พวกท่านเท่านั้นคือพลังจะปราบปรามการเมืองจอมมารนี้ได้
รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 50 เป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิซ้ำรอยเดิม ครั้งที่ 18 เพราะมาจากแนวคิดของพวกลัทธิรัฐธรรมนูญ ทั้งหลายที่มีแนวคิดมิจฉาทิฐิอย่างใหญ่หลวง คือ “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย” แนวทางนี้จะร่างสักร้อยครั้ง พันฉบับก็จะไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยอะไรเลย มีแต่ความล้มเหลว ระบอบเผด็จการยังคงครอบงำประชาชนต่อไป
แต่ที่มันร้ายที่สุดคือมันกลับกลายเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติ มันทำลายความดีงาม โอกาสของประเทศชาติและประชาชนให้เสื่อมถอยลงๆ นับถึงวันนี้เราถูกแนวทางมิจฉาทิฐิ “ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย” ผิดซ้ำรอยเดิมมาแล้วถึง 18 ครั้ง ครอบงำทำลายมาแล้วยาวนานกว่า 80 ปี มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากเกินไปแล้ว
บัดนี้เราจะเห็นได้ชัดว่าแม้แต่ประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ก้าวหน้า นำหน้าประเทศของเราไปหมดแล้ว ไทยเรายังย่ำต๊อก วนเวียนอยู่ในวังวนวงจรโคตรอุบาทว์ ทั้งนี้เป็นความเห็นผิด คิดผิด ทำผิด ของผู้ปกครองไทย อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทำไมๆ ชนชั้นสูงถึงมองไม่เห็นภัยใหญ่ร้ายแรงนี้
สภาวการณ์ของประเทศไทยยังเป็นสภาวการณ์ระบอบเผด็จการสลับขั้วกันระหว่างเผด็จการรัฐประหารกับเผด็จการระบบรัฐสภา (รูปการปกครองเป็นระบบรัฐสภา ส่วนเนื้อหาเป็นเผด็จการ เพราะไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม แสดงให้เห็น) นี่คือสภาพการณ์ที่เป็นจริง ดังนี้
จะเห็นได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลคณะใดๆ ก็ตาม จะเป็นใครๆ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม เมื่อมาบริหารประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นไปทำนองต้นดี ปลายร้าย, ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา, ทุกรัฐบาลไป แรกเข้ามาประชาชนชื่นชม และจากไปประชาชนขับไล่, เข้ามาใหม่ๆ ได้รับดอกไม้ แต่จากไปได้รับก้อนอิฐ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุกรัฐบาล และทุกรัฐบาลมีแต่สร้างหนี้พอกพูนหนี้ให้กับประชาชน
นับแต่ ปู ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี คงเป็นอีกได้ไม่นาน จะขัดแข้งขัดขากันเอง และอาจจะถูกประชาชนขับไล่ เพราะเหตุคือ เป็นพรรคที่เกิดจากระบอบมิจฉาทิฐิ เป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบผิด และรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ในสถานการณ์นี้ ใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน ตายก่อนเสียผู้เสียคนก่อน
ทุกรัฐบาล ระยะแรกกระแสประชาชนชื่นชมพอเป็นรัฐบาลผ่านไปได้เพียง 2 ปี ก็เริ่มมีกระแสต่อต้าน อันเป็นไปกฎเกณฑ์ของระบอบเผด็จการ อันเป็นเหตุให้เกิดวงจรอุบาทว์ แท้จริงแล้วรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์นั้นตั้งอยู่บนสภาพการณ์ของระบอบลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญนั่นเอง
แต่คุณปู ยิ่งลักษณ์กลับหายใจเป็นระบอบประชาธิปไตย โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขามีจุดยืนและคิดผิดไปจากสภาพการณ์ที่เป็นจริง“เขาเห็นถนนลูกรัง เป็นถนนคอนกรีต” เขาฉลาดเพื่อตนเองเสมอ แต่เขากลับโง่เขลาทางการเมืองโดยธรรมหรือไม่
เราได้แนะนำ ติติง ตักเตือนรัฐบาลด้วยความเมตตาๆ หลายครั้ง หลายคราพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล แต่ต้องระวังให้ดีนะ เมื่อคุณเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก่อนอื่นคุณต้องมีนโยบาย และโปรแกรมอันสำคัญยิ่งใหญ่ ที่จะดำเนินการแก้ไขแนวทางและระบอบเผด็จการอันใหญ่หลวง โดยให้มีหลักการปกครองโดยธรรมคือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
หลักการนี้ได้ผ่านการวิปัสสนา พิสูจน์ วิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว คุณเอาไปพิจารณาทำให้เป็นรูปธรรม คุณจะเป็นนายกฯ ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ เราจึงได้พูดกับคนใกล้ชิดเสมอว่า ยังไงๆ รัฐบาลปู จะไปไม่รอด ไม่ประทับใจประชาชน สร้างหนี้ท่วมประเทศ หากไม่ถูกประชาชนขับไล่ ก็ต้องถูกรัฐประหารอีกแน่นอน
กระแสความนิยมในตัวคุณปู ก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ และมีอุปสรรคขวางอยู่ข้างหน้ามากมายเหลือเกิน เกินกว่าปัญญาของคุณปู ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย จะมีความสามารถแก้ไขได้ ไหนจะบริหารคนที่ด้อยคุณภาพในพรรค และพรรคร่วมรัฐบาล ที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งขาดปัญญาทั้งนั้น ว่าโดยรวมขบวนการของรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ หรือภาพรวมของรัฐบาล
ถ้าพวกท่านทั้งหลายยังมองไม่ออกว่าอะไรคือ เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง และการจัดความสัมพันธ์ภายในชาติให้ถูกต้องโดยธรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีนโยบายและโปรแกรมแก้ไขเหตุวิกฤติชาติ หากคิดแต่แก้ปัญหาปลายเหตุ เช่น ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อายุรัฐบาลปู ยิ่งลักษณ์ ก็จะต้องลาโรง เพราะปัญหาต่างๆ ตามมาอย่างมากมายทับถมทวีคูณ
ผู้เขียน ยืนยันตามกฎอิทัปปัจจยตาอันเป็นทางสายกลาง คือพิจารณาไปตามเหตุปัจจัย และปัจจัยผล จึงไม่ได้มองปัญหาบุคคลหรือรัฐบาลเป็นเหตุเพียงอย่างเดียว คือพิจารณาความสัมพันธ์ทั้งองค์รวมตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดภายในประเทศของเรา
เราได้แนะนำว่า การจะทำบ้านเมืองให้เกิดความถูกต้อง สิ่งแรกคือต้องสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน (สร้างระบอบก่อน) จากนั้น จึงดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง ดังเช่น วัดพระแก้วถูกสร้างขึ้นมาก่อน ส่วนวิธีการไปเกิดภายหลังอันหลากหลาย เช่น เดิน วิ่ง รถจักรยาน รถยนต์ เป็นต้น ดุจเดียวกับสัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ หรือดุจเดียวกับสัมพันธภาพระหว่างสภาวะนิพพานกับ 84,000 พระธรรมขันธ์
สัตตบุรุษ ย่อมแนะนำให้ผู้ปกครองจะชุดไหนๆ ก็ตาม รับฟังและคิดแก้ปัญญาที่เป็นต้นเหตุ หรือเหตุแห่งปัญหาของชาติจริงๆ ส่วนรัฐบาลจะได้รับฟัง รับรู้หรือไม่ตาม
เราขอเชิญชวนมาร่วมกันพิสูจน์กฎอิทัปปัจจยตาอันเป็นกฎความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล คือ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, (เมื่อเหตุดีเกิดขึ้น ผลดีย่อมเกิดขึ้น, เมื่อเหตุไม่ดีเกิดขึ้น ผลไม่ดีย่อมเกิดขึ้น)
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)
ก็จะเห็นได้ว่า ในจักรวาลนี้ โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะพ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตานี้ได้ สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นไป ดำเนินไปตามกฎอิทัปปัจจยตานี้ทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติ แล้วนำมาสอน บัญญัติ ก็ล้วนแล้วเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น
การคิดแก้ปัญหาประเทศชาติ และเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด คือปัญหาทุกข์ของแผ่นดิน หรือทุกข์ร่วมของปวงชนในแผ่นดิน เราต้องสืบสาวไปหาเหตุแห่งความทุกข์ของแผ่นดิน เมื่อพิจารณาทั้งองค์รวม ทั้งกระบวนการก็คือ
หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง
รัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง เป็นปัจจัยให้มีการปกครอง (รัฐบาล)
รัฐบาลเป็นเหตุปัจจัยต่อ กระทรวง, กระทรวงเป็นปัจจัยต่อกรม, กรมเป็นปัจจัยต่อจังหวัด... เป็นลำดับไปจนถึงบุคคล
นัยหนึ่งคือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เมื่อจะแก้ปัญหาก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุ คือ ระบอบหรือหลักการปกครอง
แต่ปรากฏว่า 80 ปี ประเทศไทยเราไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรม เมื่อไม่มีหลักการปกครองมันก็บอกให้เรารู้ว่า มันไม่มีระบอบ มันจึงเป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ผิดไปจากคลองธรรม จึงเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการนั่นเอง
ผู้ปกครองฯ เอาการเลือกตั้งมาบังหน้า เอามาเป็นเครื่องมือขึ้นสู่อำนาจ เอาระบบรัฐสภาอันเป็นรูปการปกครองชนิดหนึ่ง มาใช้เป็นรูปแบบการปกครอง แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อว่าคือระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วก็ล้มเหลวทุกทีไปอย่างซ้ำซาก มันโกหกกันมายาวนานที่สุด เป็นการโกหกกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ก็เช่นเดียวกันไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียวนัยหนึ่งมีแต่วิธีการปกครอง
เมื่อเหตุเป็นมิจฉาทิฐิ การเลือกตั้งย่อมเป็นมิจฉาทิฐิ รัฐบาลย่อมมิจฉาทิฐิ การบริหารราชการ กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล... จนถึงประชาชน ย่อมเป็นไปตามกลไกรัฐ จึงถูกกระแสมิจฉาทิฐิครอบงำตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ผิด ผิด แผ่กระจายครอบงำไปทั้งประเทศ
อีกนัยหนึ่งเมื่อการปกครองมิจฉาทิฐิ ระบบเศรษฐกิจในภาพรวม การศึกษา สังคม การดำเนินชีวิตของประชาชนก็พลอยไหลตามไปกระแสแห่งมิจฉาทิฐิ ตามเหตุปัจจัยที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด
บางคนก็บอกว่ามันอยู่ที่คน ถ้ามองที่ตัวบุคคล คนเก่าไป คนใหม่มาน่าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยกลับหนักขึ้นๆ หนักขึ้นทุกวัน มีภาพพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วในหัวใจของสาธุชนคนไทยทั้งหลาย
“ในหลวงคือภาพของความดีงามและสูงส่งดุจสวรรค์ แต่ภาพของการเมืองไทยไยกลับกลายเป็นนรกเล่า”นักการเมืองหลายคนดุจดังสัตว์นรกในอบายภูมิ ก็เพราะพวกเขาอยู่ใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภานั่นเอง
แต่พวกเขาบิดเบือนไปว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ มันก็หลอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย พวกเขาเป็นพรรคการเมืองที่รักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาไว้อย่างเหนียวแน่นและยาวนาน
ปัญญาชนทั้งหลายต้องร่วมกันพิสูจน์ให้ชัดว่า มันคือระบอบเผด็จการ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย จะมีไหมองค์การไต่สวนในเรื่องนี้ ศาลออกมาทำหน้าที่หน่อยเถอะ หรือไทยเราจะยอมตกอยู่ภายใต้ขบวนการโกหกยาวนานนี้ออกไปเป็นร้อยปีหรือไร
ดูไปๆ เพื่อนกรรมกร สหภาพแรงงานฯ ทั้งหลาย นำไปศึกษา พวกท่านเท่านั้นคือพลังจะปราบปรามการเมืองจอมมารนี้ได้