สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
ผมไม่เคยคลอนแคลนในความเชื่อธรรมแห่งพระพุทธเจ้าที่ว่า..ทำดีได้-ทำชั่วได้ชั่ว!
คนไทยที่สติเต็มร้อยต้องยอมรับว่า วันนี้ชาติไทยถูกกลุ่ม“คนบ้าเงิน” ใช้เงินยึดครองเมืองเพื่อโกงเงินชาติอยู่!!
หากไม่มีการกำจัด “คนบ้าเงิน”กลุ่มนี้ หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงชาติไปในทางที่ดี เชื้อ “บ้าเงิน”จะแพร่พันธุ์ “คนบ้าเงิน”เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสังคมที่ไร้คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ฯลฯ!!!
เฮ้อ..ยิ่งไอ้ตัวหัวโจก “หน้าเหลี่ยม”นั้น มันบ้าครบเครื่องจริงๆ คือ ทั้งบ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าโกหกตอแหล บ้าโกงชาติ บ้าทำชั่วทุกรูปแบบ
“ไอ้บ้าเหลี่ยม”คนนี้เคยเป็น “หมาต๋า”เดินตามก้น “หมาต๋าใหญ่” แม้จะแอบฟาดลูกสาวนายมาทำเมีย ถาวร ทว่าชีวิตรับราชการ“หมาต๋า”ไม่ยักรุ่ง เพราะเป็นได้แค่ผู้พันแห่งวงการ “หมาต๋า”เท่านั้น จึงหันไปเปิดร้านขายของที่ระลึกในโรงแรมแห่งหนึ่งแทน
แต่ธุรกิจขายผ้าไหมและของที่ระลึกก็ไม่รุ่งอีก จึงมีหนี้สินล้นพ้นตัว เช็คสั่งจ่ายเงินแค่ 3 พันบาทยังเด้งดึ๋งดั๋ง จึงให้เมียรับหน้าเจ้าหนี้แทน ส่วนตัวเองหนีคดีเช็คเด้งหัวซุกหัวซุนไปทั่ว
ชีวิต“ไอ้บ้าเหลี่ยม”โชคดีที่มีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งอยู่ในวงการเมือง เป็นถึงเสนาบดีกระทรวงคมนาคม ซึ่งส่งผลให้“ไอ้บ้าเหลี่ยม”ได้สัมปทานผูกขาด ธุรกิจคมนาคมและโทรศัพท์มือถือในยุคแรกๆ
เมื่อมีการรัฐประหารล้มรัฐบาล “น้าชาติ”ที่มาจากการเลือกตั้ง “ไอ้บ้าเหลี่ยม”ก็ตีสนิทกับ “บิ๊กจ๊อด” ผู้ยิ่งใหญ่ยุค “เผด็จการทหารครองเมือง” จนได้สัมปทานยิงดาวเทียมขึ้นไปค้างฟ้า “ไอ้บ้าเหลี่ยม”จึงกลายเป็นเจ้าพ่อ ในวงการธุรกิจโทรคมนาคมร่ำรวยนับหมื่นล้านบาท
ด้วยความโลภที่ไม่รู้จักพอ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”ที่มีเงินเป็นหมื่นล้านบาทแล้ว ก็ยังละโมบอยากเป็นมหาเศรษฐีครองอันดับหนึ่งในไทยและเอเซีย จึงใช้ช่องทางลัดที่ได้เงินง่าย-เร็ว-มาก ฯลฯ นั่นคือ กระโจนสู่เกมการเมืองยึดอำนาจรัฐทันที
ที่“ไอ้บ้าเหลี่ยม”คิดไม่ผิดครับ เพราะระบบการเลือกตั้งและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในชาติไทยนั้น ซื้อขายและโกงกันได้นานแล้ว ยิ่ง “ไอ้บ้าเหลี่ยม”มีเงินสกปรกของตนเองมากมาย ย่อมได้เปรียบนัก
การเมืองคนอื่นๆ ที่ต้องตะลอนๆ ขอเงินมาซื้อเสียง จากเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ ที่ต้องพึ่งพิงการเมือง เช่น
เจ้าของบริษัทยักษ์ค้าพืชผลทางการเกษตร และเป็นเจ้าของบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ในไทย แถมยังเป็นเจ้าของร้านค้าปลีกทั่วไทย ที่มีเลข 7 เป็นชื่อร้าน อีกรายเป็นยักษ์ค้าน้ำเมาใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ครองที่ดินผืนงามราคาแพงมากมายในชาติไทย
สองรายนี้นอกจากจะรวยอู้ฟู่แล้ว ตัวธุรกิจทำให้มีธนบัตรย่อย หรือแบงค์ 20-50-100 บาทเยอะมาก เมื่อธนบัตรเหล่านี้ใช้หนี้ได้ตามกฏหมาย ก็ย่อมใช้ซื้อเสียงเลือกตั้งได้เช่นกัน แต่อย่าซื้อให้ตำรวจและ กกต.จับได้ก็แล้วกัน เพราะมันผิดกฎหมายการเลือกตั้ง บางพรรคจึงโดนยุบเพราะการใช้เงินซื้อเสียงมาแล้ว
แต่ไอ้นักการเมืองชั่ววิชามารเยอะครับ ยิ่งมีตำรวจและ กกต.ชั่วแอบช่วยเหลือ การซื้อเสียงที่พวก “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ”แถวบุรีรัมย์ ถูกจับได้คาหนังคาเขาคาเงินคาบ้าน แต่ก็รอดตะรางไปได้อย่างเหลือเชื่อ!
ดังนั้น การเลือกตั้งในชาติไทยทุกครั้ง นักการเมืองแทบทุกคนจะแข่งกันซื้อเสียงอย่างดุเดือด โดยในอดีตนักการเมืองจะใช้เงินซื้อเสียง คนละ10-15 ล้านบาท
เมื่อ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”มหาเศรษฐีตัวเงินตัวทอง โผล่หัวบนเวทีการเมืองราคาซื้อเสียงต่อหัวจึงสูงปริ๊ดขึ้นแบบฉับพลัน เงินซื้อเสียงของ สส.ทั่วไปต่อหัวจึงสูงถึง 25-30 ล้านบาท แต่ในบางแห่งที่ขาใหญ่ทางการเมือง ซึ่งมีโอกาสจะได้เป็นรัฐมนตรีแข่งกัน จะมีการซื้อเสียงสู้กันสูงถึง 100 กว่าล้านบาทก็มีครับ
เรียกว่า..ชาวบ้านบางแห่งจะถูกซื้อคะแนนต่อหัว สูงถึง 1,500-2,500 บาทเลยนะจะบอกให้!
สำหรับ “ไอ้บ้าเหลี่ยม”นอกจากจะมีเงินสกปรกมหาศาลแล้ว เขายังมีทีเด็ดเหนือเจ้าของพรรคคนอื่นอีกด้วย นั่นคือ “ไอ้บ้าเหลี่ยม”ยังมีหลักประกันพิเศษให้กับนักการเมืองที่เป็นขี้ข้าของตนว่า จะซื้อเสียงและโกงอย่างไรก็ได้ เพื่อเอาชนะคู่แข่งให้ได้ก่อนก็แล้วกัน ไม่ต้องกลัวโดนใบเหลือง-ใบแดงใดๆทั้งสิ้น เพราะ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”มี “ใบเทาปนน้ำตาล”ที่มี “เลข 1000”มากมาย ไว้จ่ายและจัดการกับปัญหา กกต.ท้องถิ่น และ กกต.ขาโจ๋ในส่วนกลาง ซึ่งเรื่องนี้“ไอ้บ้าเหลี่ยม”กับญาติพี่น้องจะเคลียร์ความผิดให้ครับ
เพราะตระกูล”โกงจนชิน”และเครือข่ายนั้น เป็นมืออาชีพในการแจก”ถุงขนม” ให้กับคนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทุกระดับประทับใจ ชนิดหน้าด้านๆ ไม่อายเทวดาฟ้าดินเลย ขนาดในศาลสถิตยุติธรรมแท้ๆ “ไอ้บ้าเหลี่ยม”ยังใช้คนของตน ทำ“ถุงขนม”ใส่เงินหล่นตุ๊บใส่ศาลฯ เลย แถมยังปูนบำเหน็จคนทำชั่ว ให้ได้ดิบได้ดีได้เป็นผู้แทนในสภาฯสารพัดสัตว์เลย
เงินสกปรกมากมายมหาศาล ทำให้”ไอ้บ้าเหลี่ยม”ซื้อขี้ข้า ที่เป็นทั้ง ส.ส.และสื่อมวลชนชั่วๆ ไว้ในกำมือได้อักโข แถมยังแจกเงินซื้อเสียงเลือกตั้งแบบไม่อั้นอีก “ไอ้บ้าเหลี่ยม”จึงชนะการเลือกตั้งท่วมท้น หรือได้เสียงในสภาสารพัดสัตว์กว่า 300 เสียง
งานนี้“ไอ้บ้าเหลี่ยม”เลยได้เป็น “อภิมหาอำมาตย์” หรือเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติไทย สมใจนึก“เจ๊เพิงหมาแหงน”แห่ง “บ้านจันทร์ส่องหล้าฟ้าเขียว”
อย่างว่าแหละ “สันดอนเปลี่ยนได้”แต่”สันดานเปลี่ยนไม่ได้” ที่สำคัญสรรพสัตว์ในโลกนี้ มีสัจจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ คือ “งาช้างไม่มีวันงอกออกจากปากหมา”ครับ
อำนาจนายกฯ นั้นใหญ่ท่วมดินท่วมฟ้า หากใช้อำนาจทำความดีให้กับประชาชนและชาติบ้านเมือง นายกฯ ที่แม้จะมีประวัติไม่งามในอดีตก็อาจกลายเป็นวีรบุรุษของชาติ เป็นที่รักของประชาชนคนไทยได้ แต่นาทีทองของการทำดีเยี่ยงวีรบุรุษเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูลกลับถูกใช้ไปกับการกระทำกรรมชั่วอันมหันต์แทน
“ไอ้บ้าเหลี่ยม”จึงกลายเป็นนายกฯ ที่โดนครหาว่า โคตรโกงและโกงทั้งโคตร ที่กล้าทำโครงการอภิมหึมาสารพัด เพื่อโกงเงินชาติคราวละมากๆ โดยไม่แยแสต่อเสียงต่อต้านคัดค้าน โดยเฉพาะโครงการสร้างสนามบินในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยงูเห่า วงเงินกว่า 80,000 ล้านบาท ที่มีการซื้อข้าวของราคาแพงกว่าความเป็นจริงมากมาย จนรัฐบาลถูกร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้เงินของรัฐ
การทำผิดกฏหมายหรือการฉ้อฉลของ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”นั้น บางเรื่องถึงกับใช้มือมากกว่า ในสภาขี้ข้า“โกงจนชิน” แก้กฎหมายเปลี่ยนการจ่ายผลประโยชน์ค่าสัมปทานให้รัฐมาเป็นการจ่ายเงินในรูปภาษีสรรพ
สามิตแทน ทำให้บริษัท“โกงจนชิน”ประหยัดการจ่ายเงินให้กับรัฐอย่างมากมายในทันทีเลยล่ะ
เท่านั้นไม่พอสภาขี้ข้า“โกงจนชิน” ยังแก้กฎหมายให้ต่างชาติ ที่ถือหุ้นธุรกิจโทรคมนาคม ได้จาก 25% เป็น 50% ก่อนที่“ไอ้บ้าเหลี่ยม”จะขายธุรกิจคมนาคมของตนให้ต่างชาติในราคากว่า 7 หมื่นล้านบาท ทำกำไรเข้ากระเป๋าตนเองหลายหมื่นล้านบาทอีกด้วย
แถมการซื้อที่ดินรัชดาฯ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”กับ “คุณนายเพิงหมาแหงน” ยังเผยสันดาน“เค็ม”จน“ทะเลเรียกแม่กับพ่อ”อีก ด้วยการประกาศให้วันหยุดส่งท้ายปีเก่าหรือวันที่ 31 ธันวาคมของปี 2546 ซึ่งทุกรัฐบาลถือเป็นวันหยุดราชการให้กลายเป็นวันทำงานตามปกติแบบหน้าด้านๆ เสียงั้นแหละ
การใช้อำนาจรัฐแบบบ้าๆ และอธรรม ประกาศยกเลิกวันหยุดประจำปีของคนไทยทั้งชาติ เพียงเพื่อ“ผัวเมียมหาภัยบรรลัยจักร”คู่นี้ จะได้จ่ายเงินค่าภาษีที่ดินให้รัฐในราคาปีเก่าที่ต่ำกว่าปีใหม่เท่านั้นครับ
ที่ดินรัชดาฯ นี่แหละ ทำให้“ไอ้บ้าเหลี่ยม”ที่เป็นนายกฯ แต่ดันไปทำผิดกฎหมาย มาตรา 100 ของ ป.ป.ช. พ.ศ.2542 จนถูกศาลฯ พิพากษาสั่งจำคุก 2 ปี จึงต้องเร่ร่อนหนีไปอยู่ต่างแดนจนทุกวันนี้ไงล่ะ
เฮ้อ..เรียกว่า“ไอ้บ้าเหลี่ยม”เนี่ย มันชั่วได้ถ้วย “ส้นตีนทองคำ”จริงๆครับ!
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
ผมไม่เคยคลอนแคลนในความเชื่อธรรมแห่งพระพุทธเจ้าที่ว่า..ทำดีได้-ทำชั่วได้ชั่ว!
คนไทยที่สติเต็มร้อยต้องยอมรับว่า วันนี้ชาติไทยถูกกลุ่ม“คนบ้าเงิน” ใช้เงินยึดครองเมืองเพื่อโกงเงินชาติอยู่!!
หากไม่มีการกำจัด “คนบ้าเงิน”กลุ่มนี้ หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงชาติไปในทางที่ดี เชื้อ “บ้าเงิน”จะแพร่พันธุ์ “คนบ้าเงิน”เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสังคมที่ไร้คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ฯลฯ!!!
เฮ้อ..ยิ่งไอ้ตัวหัวโจก “หน้าเหลี่ยม”นั้น มันบ้าครบเครื่องจริงๆ คือ ทั้งบ้าเงิน บ้าอำนาจ บ้าโกหกตอแหล บ้าโกงชาติ บ้าทำชั่วทุกรูปแบบ
“ไอ้บ้าเหลี่ยม”คนนี้เคยเป็น “หมาต๋า”เดินตามก้น “หมาต๋าใหญ่” แม้จะแอบฟาดลูกสาวนายมาทำเมีย ถาวร ทว่าชีวิตรับราชการ“หมาต๋า”ไม่ยักรุ่ง เพราะเป็นได้แค่ผู้พันแห่งวงการ “หมาต๋า”เท่านั้น จึงหันไปเปิดร้านขายของที่ระลึกในโรงแรมแห่งหนึ่งแทน
แต่ธุรกิจขายผ้าไหมและของที่ระลึกก็ไม่รุ่งอีก จึงมีหนี้สินล้นพ้นตัว เช็คสั่งจ่ายเงินแค่ 3 พันบาทยังเด้งดึ๋งดั๋ง จึงให้เมียรับหน้าเจ้าหนี้แทน ส่วนตัวเองหนีคดีเช็คเด้งหัวซุกหัวซุนไปทั่ว
ชีวิต“ไอ้บ้าเหลี่ยม”โชคดีที่มีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งอยู่ในวงการเมือง เป็นถึงเสนาบดีกระทรวงคมนาคม ซึ่งส่งผลให้“ไอ้บ้าเหลี่ยม”ได้สัมปทานผูกขาด ธุรกิจคมนาคมและโทรศัพท์มือถือในยุคแรกๆ
เมื่อมีการรัฐประหารล้มรัฐบาล “น้าชาติ”ที่มาจากการเลือกตั้ง “ไอ้บ้าเหลี่ยม”ก็ตีสนิทกับ “บิ๊กจ๊อด” ผู้ยิ่งใหญ่ยุค “เผด็จการทหารครองเมือง” จนได้สัมปทานยิงดาวเทียมขึ้นไปค้างฟ้า “ไอ้บ้าเหลี่ยม”จึงกลายเป็นเจ้าพ่อ ในวงการธุรกิจโทรคมนาคมร่ำรวยนับหมื่นล้านบาท
ด้วยความโลภที่ไม่รู้จักพอ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”ที่มีเงินเป็นหมื่นล้านบาทแล้ว ก็ยังละโมบอยากเป็นมหาเศรษฐีครองอันดับหนึ่งในไทยและเอเซีย จึงใช้ช่องทางลัดที่ได้เงินง่าย-เร็ว-มาก ฯลฯ นั่นคือ กระโจนสู่เกมการเมืองยึดอำนาจรัฐทันที
ที่“ไอ้บ้าเหลี่ยม”คิดไม่ผิดครับ เพราะระบบการเลือกตั้งและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในชาติไทยนั้น ซื้อขายและโกงกันได้นานแล้ว ยิ่ง “ไอ้บ้าเหลี่ยม”มีเงินสกปรกของตนเองมากมาย ย่อมได้เปรียบนัก
การเมืองคนอื่นๆ ที่ต้องตะลอนๆ ขอเงินมาซื้อเสียง จากเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ ที่ต้องพึ่งพิงการเมือง เช่น
เจ้าของบริษัทยักษ์ค้าพืชผลทางการเกษตร และเป็นเจ้าของบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ในไทย แถมยังเป็นเจ้าของร้านค้าปลีกทั่วไทย ที่มีเลข 7 เป็นชื่อร้าน อีกรายเป็นยักษ์ค้าน้ำเมาใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ครองที่ดินผืนงามราคาแพงมากมายในชาติไทย
สองรายนี้นอกจากจะรวยอู้ฟู่แล้ว ตัวธุรกิจทำให้มีธนบัตรย่อย หรือแบงค์ 20-50-100 บาทเยอะมาก เมื่อธนบัตรเหล่านี้ใช้หนี้ได้ตามกฏหมาย ก็ย่อมใช้ซื้อเสียงเลือกตั้งได้เช่นกัน แต่อย่าซื้อให้ตำรวจและ กกต.จับได้ก็แล้วกัน เพราะมันผิดกฎหมายการเลือกตั้ง บางพรรคจึงโดนยุบเพราะการใช้เงินซื้อเสียงมาแล้ว
แต่ไอ้นักการเมืองชั่ววิชามารเยอะครับ ยิ่งมีตำรวจและ กกต.ชั่วแอบช่วยเหลือ การซื้อเสียงที่พวก “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ”แถวบุรีรัมย์ ถูกจับได้คาหนังคาเขาคาเงินคาบ้าน แต่ก็รอดตะรางไปได้อย่างเหลือเชื่อ!
ดังนั้น การเลือกตั้งในชาติไทยทุกครั้ง นักการเมืองแทบทุกคนจะแข่งกันซื้อเสียงอย่างดุเดือด โดยในอดีตนักการเมืองจะใช้เงินซื้อเสียง คนละ10-15 ล้านบาท
เมื่อ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”มหาเศรษฐีตัวเงินตัวทอง โผล่หัวบนเวทีการเมืองราคาซื้อเสียงต่อหัวจึงสูงปริ๊ดขึ้นแบบฉับพลัน เงินซื้อเสียงของ สส.ทั่วไปต่อหัวจึงสูงถึง 25-30 ล้านบาท แต่ในบางแห่งที่ขาใหญ่ทางการเมือง ซึ่งมีโอกาสจะได้เป็นรัฐมนตรีแข่งกัน จะมีการซื้อเสียงสู้กันสูงถึง 100 กว่าล้านบาทก็มีครับ
เรียกว่า..ชาวบ้านบางแห่งจะถูกซื้อคะแนนต่อหัว สูงถึง 1,500-2,500 บาทเลยนะจะบอกให้!
สำหรับ “ไอ้บ้าเหลี่ยม”นอกจากจะมีเงินสกปรกมหาศาลแล้ว เขายังมีทีเด็ดเหนือเจ้าของพรรคคนอื่นอีกด้วย นั่นคือ “ไอ้บ้าเหลี่ยม”ยังมีหลักประกันพิเศษให้กับนักการเมืองที่เป็นขี้ข้าของตนว่า จะซื้อเสียงและโกงอย่างไรก็ได้ เพื่อเอาชนะคู่แข่งให้ได้ก่อนก็แล้วกัน ไม่ต้องกลัวโดนใบเหลือง-ใบแดงใดๆทั้งสิ้น เพราะ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”มี “ใบเทาปนน้ำตาล”ที่มี “เลข 1000”มากมาย ไว้จ่ายและจัดการกับปัญหา กกต.ท้องถิ่น และ กกต.ขาโจ๋ในส่วนกลาง ซึ่งเรื่องนี้“ไอ้บ้าเหลี่ยม”กับญาติพี่น้องจะเคลียร์ความผิดให้ครับ
เพราะตระกูล”โกงจนชิน”และเครือข่ายนั้น เป็นมืออาชีพในการแจก”ถุงขนม” ให้กับคนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทุกระดับประทับใจ ชนิดหน้าด้านๆ ไม่อายเทวดาฟ้าดินเลย ขนาดในศาลสถิตยุติธรรมแท้ๆ “ไอ้บ้าเหลี่ยม”ยังใช้คนของตน ทำ“ถุงขนม”ใส่เงินหล่นตุ๊บใส่ศาลฯ เลย แถมยังปูนบำเหน็จคนทำชั่ว ให้ได้ดิบได้ดีได้เป็นผู้แทนในสภาฯสารพัดสัตว์เลย
เงินสกปรกมากมายมหาศาล ทำให้”ไอ้บ้าเหลี่ยม”ซื้อขี้ข้า ที่เป็นทั้ง ส.ส.และสื่อมวลชนชั่วๆ ไว้ในกำมือได้อักโข แถมยังแจกเงินซื้อเสียงเลือกตั้งแบบไม่อั้นอีก “ไอ้บ้าเหลี่ยม”จึงชนะการเลือกตั้งท่วมท้น หรือได้เสียงในสภาสารพัดสัตว์กว่า 300 เสียง
งานนี้“ไอ้บ้าเหลี่ยม”เลยได้เป็น “อภิมหาอำมาตย์” หรือเป็นนายกรัฐมนตรีของชาติไทย สมใจนึก“เจ๊เพิงหมาแหงน”แห่ง “บ้านจันทร์ส่องหล้าฟ้าเขียว”
อย่างว่าแหละ “สันดอนเปลี่ยนได้”แต่”สันดานเปลี่ยนไม่ได้” ที่สำคัญสรรพสัตว์ในโลกนี้ มีสัจจธรรมที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ คือ “งาช้างไม่มีวันงอกออกจากปากหมา”ครับ
อำนาจนายกฯ นั้นใหญ่ท่วมดินท่วมฟ้า หากใช้อำนาจทำความดีให้กับประชาชนและชาติบ้านเมือง นายกฯ ที่แม้จะมีประวัติไม่งามในอดีตก็อาจกลายเป็นวีรบุรุษของชาติ เป็นที่รักของประชาชนคนไทยได้ แต่นาทีทองของการทำดีเยี่ยงวีรบุรุษเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูลกลับถูกใช้ไปกับการกระทำกรรมชั่วอันมหันต์แทน
“ไอ้บ้าเหลี่ยม”จึงกลายเป็นนายกฯ ที่โดนครหาว่า โคตรโกงและโกงทั้งโคตร ที่กล้าทำโครงการอภิมหึมาสารพัด เพื่อโกงเงินชาติคราวละมากๆ โดยไม่แยแสต่อเสียงต่อต้านคัดค้าน โดยเฉพาะโครงการสร้างสนามบินในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยงูเห่า วงเงินกว่า 80,000 ล้านบาท ที่มีการซื้อข้าวของราคาแพงกว่าความเป็นจริงมากมาย จนรัฐบาลถูกร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการใช้เงินของรัฐ
การทำผิดกฏหมายหรือการฉ้อฉลของ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”นั้น บางเรื่องถึงกับใช้มือมากกว่า ในสภาขี้ข้า“โกงจนชิน” แก้กฎหมายเปลี่ยนการจ่ายผลประโยชน์ค่าสัมปทานให้รัฐมาเป็นการจ่ายเงินในรูปภาษีสรรพ
สามิตแทน ทำให้บริษัท“โกงจนชิน”ประหยัดการจ่ายเงินให้กับรัฐอย่างมากมายในทันทีเลยล่ะ
เท่านั้นไม่พอสภาขี้ข้า“โกงจนชิน” ยังแก้กฎหมายให้ต่างชาติ ที่ถือหุ้นธุรกิจโทรคมนาคม ได้จาก 25% เป็น 50% ก่อนที่“ไอ้บ้าเหลี่ยม”จะขายธุรกิจคมนาคมของตนให้ต่างชาติในราคากว่า 7 หมื่นล้านบาท ทำกำไรเข้ากระเป๋าตนเองหลายหมื่นล้านบาทอีกด้วย
แถมการซื้อที่ดินรัชดาฯ“ไอ้บ้าเหลี่ยม”กับ “คุณนายเพิงหมาแหงน” ยังเผยสันดาน“เค็ม”จน“ทะเลเรียกแม่กับพ่อ”อีก ด้วยการประกาศให้วันหยุดส่งท้ายปีเก่าหรือวันที่ 31 ธันวาคมของปี 2546 ซึ่งทุกรัฐบาลถือเป็นวันหยุดราชการให้กลายเป็นวันทำงานตามปกติแบบหน้าด้านๆ เสียงั้นแหละ
การใช้อำนาจรัฐแบบบ้าๆ และอธรรม ประกาศยกเลิกวันหยุดประจำปีของคนไทยทั้งชาติ เพียงเพื่อ“ผัวเมียมหาภัยบรรลัยจักร”คู่นี้ จะได้จ่ายเงินค่าภาษีที่ดินให้รัฐในราคาปีเก่าที่ต่ำกว่าปีใหม่เท่านั้นครับ
ที่ดินรัชดาฯ นี่แหละ ทำให้“ไอ้บ้าเหลี่ยม”ที่เป็นนายกฯ แต่ดันไปทำผิดกฎหมาย มาตรา 100 ของ ป.ป.ช. พ.ศ.2542 จนถูกศาลฯ พิพากษาสั่งจำคุก 2 ปี จึงต้องเร่ร่อนหนีไปอยู่ต่างแดนจนทุกวันนี้ไงล่ะ
เฮ้อ..เรียกว่า“ไอ้บ้าเหลี่ยม”เนี่ย มันชั่วได้ถ้วย “ส้นตีนทองคำ”จริงๆครับ!