บ้านเมืองทุกวันนี้ยุ่งวุ่นวายเพราะคนคนเดียวที่ไม่ยอมรับกติกาของสังคม จากที่คิดว่าตัวเองกำลังนั่งรถขึ้นภูเขา กลายเป็นว่ายังลอยคออยู่ในทะเล แล้วก็ส่งสัญญาณมาให้ลิ่วล้อสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในประเทศ
หลังทักษิณถูกตัดสินให้จำคุก 2 ปีในความผิดฐาน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ” ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ไม่ใช่ความผิดที่ฝ่ายทักษิณพยายามสร้างวาทกรรมว่า เมียซื้อที่ดินแต่ผัวผิด
วาทกรรมทำนองเดียวกันนี้ถูกนำมาใช้บิดเบือนข้อเท็จจริงในคดีของนายสมัคร สุนทรเวช ที่กล่าวหาศาลตัดสินให้ผิดเพราะทำกับข้าว
ทั้งที่จริงแล้วนายสมัครมีความผิดเพราะหลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังคงได้รับค่าตอบแทนที่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ดังนั้น ถือเป็นการรับจ้างทำงานตามความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ตามนัยแห่งมาตรา 267 ของรัฐธรรมนูญ อันส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัครสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) แห่งรัฐธรรมนูญ
จากความผิดในคดีนี้นี่เองที่ทำให้ทักษิณหันมาโจมตีศาลต่างๆ นานาหลังหลบหนีความผิดไปต่างประเทศ มีการโฟนอินมากล่าวหาศาลว่า เป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม
และจากคดีนี้นี่เองที่มีทีมทนายความนำถุงขนมใส่เงิน จำนวน 2 ล้านบาทไปให้แก่เจ้าหน้าที่ศาล กระทั่งศาลฎีกามีคำสั่งให้จำคุกนายพิชิต ชื่นบาน กับพวกคนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล จนพ้นโทษเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2551 และปัจจุบันนายพิชิตคนเดียวกันนี้กลายมาเป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
แต่ทักษิณก็แปลก หรือถ้าจะพูดไปแล้วศาลก็แปลก ในขณะที่ทักษิณกล่าวหาศาลไทยว่ายุติความเป็นธรรมทักษิณก็ตั้งตัวแทนมาฟ้องใครต่อใครในศาลไทยหลายต่อหลายคดี แต่ศาลก็รับฟ้องคดีของทักษิณเอาไว้ ทั้งๆ ที่ทักษิณหลบหนีคำพิพากษาของศาลเป็นนักโทษหนีคดี
ผมจะไม่แปลกใจเลยนะครับ ถ้าทักษิณอยู่ในคุกแล้วแต่งตั้งทนายมาฟ้องคนอื่น แต่นี่ทักษิณแสดงตัวชัดเจนว่าเขาไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของเมืองไทย เขาควรเป็นบุคคลที่ต้องสาบสูญไปในทางนิตินัย แต่เขากลับใช้กระดาษแค่ใบเดียวเซ็นมอบอำนาจให้คนอื่นมาเป็นตัวแทนฟ้องร้องในศาล โดยที่คู่กรณีไม่มีโอกาสเข้าถึงโจกท์ที่ฟ้องร้องตัวเองได้เลย
ที่สำคัญเราต้องรู้ว่าที่ทักษิณเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศตอนนี้เพราะทักษิณหนีศาล ไม่ได้เป็นผลมาจากรัฐประหาร เพราะหลังรัฐประหารทักษิณกลับมาจูบแผ่นดินแล้วครั้งหนึ่ง
วันนี้ขบวนการของทักษิณที่อ้างว่ามาจากประชาธิปไตยก็กำลังคุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบาลชุดนี้ให้ท้ายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นสิทธิในระบอบประชาธิปไตย และผู้ชุมนุมประกาศจะใช้ศาลเตี้ยจับตัวตุลาการรัฐธรรมนูญมาลงโทษ
ยิ่งลักษณ์ถึงกับโจมตีองค์กรอิสระต่อที่ประชุมนานาชาติที่มองโกเลียว่า กลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง เป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม
องค์กรอิสระที่ยิ่งลักษณ์กล่าวหานั้นก็หมายถึงศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง
วันนี้ทักษิณอยากกลับบ้านแล้วหลังสไกป์ตัดพ้อมาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยว่า “ผมบางทีก็แปลก ให้ข้อคิด คำแนะนำปรึกษาอะไรกับเขาได้ แต่ตัวเองกลับเหมือนต้องลอยคออยู่กลางมหาสมุทร บางครั้งก็ถามตัวเอง ไปผลักดันคนโน้นไปอยู่ตำแหน่งโน้น ตำแหน่งนี้ แล้วตัวผมเองหละจะกลับบ้านยังไง คนก็มีหลายประเภท บางคนก็อยากช่วยให้ได้กลับ บางคนก็บอกว่ารักผมนะ แต่อย่าเพิ่งให้ผมรีบกลับมาเลย เพราะเดี๋ยวตัวเองจะไม่สำคัญ”
การสไกป์ครั้งนั้นทำให้ขบวนการเอาใจนายพากันเดินหน้าอย่างหนักด้วยการยื่นร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งฉบับของนายวรชัย เหมะ และของเฉลิม อยู่บำรุงที่จะยื่นหลังจากเปิดสมัยประชุมสภาฯ ครั้งหน้า เพื่อเปิดทางให้ทักษิณกลับบ้านโดยไม่มีความผิด รวมทั้งเป้าหมายสำคัญคือ การกำจัดศัตรูของทักษิณนั่นคือฝ่ายตุลาการ
ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่า วันนี้ทักษิณยึดอำนาจอธิปไตยไว้แล้ว 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ อีกฝ่ายเดียวที่ยังยึดไม่ได้ก็คือ ฝ่ายตุลาการ แม้ว่าเราจะเห็นตุลาการหลายคนมาขึ้นเวทีเสื้อแดงหลังเกษียณ แต่ว่ากันว่า ทักษิณสามารถแทรกซึมได้เป็นคนคนเท่านั้น ยังไม่สามารถแทรกแซงในระดับองค์กรได้
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทักษิณส่งสัญญาณให้ลิ่วล้อลุยศาลรัฐธรรมนูญ และการคาดการณ์กันว่า ถ้าการแก้รัฐธรรมนูญตามเป้าหมายสำเร็จ ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองจะเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ถูกยุบ เพราะทั้งสองศาลเป็นอุปสรรคของการขับเคลื่อนระบอบทักษิณอย่างชัดเจน ส่วนศาลยุติธรรม ประธานศาลฎีกาต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน
นักวิชาการ ปัญญาชนที่สนับสนุนทักษิณพากันเรียกตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ยืนเคียงข้างประชาชน และต่อต้านเผด็จการ แต่ระบอบทักษิณเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือเป็นระบอบเผด็จการทุนนิยมกันแน่ เพราะเมื่อทักษิณมีอำนาจเขาใช้เงินซื้อพรรค ซื้อ ส.ส. หรือ ส.ว.จนเกิดเป็นเผด็จการรัฐสภาขึ้นมา รวมทั้งแทรกแซงองค์กรอิสระให้ไม่สามารถทำงานได้
คนที่นิยามระบอบทักษิณขึ้นมาก็คือ เกษียร เตชะพีระ ที่วันนี้กลายมาเป็นหางเครื่องของระบอบทักษิณเสียเอง
เรารู้กันอยู่นะครับว่า ตอนที่ทักษิณมีอำนาจนั้นได้ใช้อำนาจอย่างชอบธรรมตามบรรทัดฐานของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ นักวิชาการหลายคนที่พากันอุ้มชูทักษิณในตอนนี้ หลายคนเคยโจมตีทักษิณมาก่อนเมื่อตอนที่ทักษิณมีอำนาจ แปลกดีที่วันนี้เมื่อเขามายืนข้างนักโทษชายทักษิณที่หนีคดีและหลบหนีอยู่ต่างประเทศ พวกเขากลับเรียกฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณว่าฝ่ายประชาธิปไตย
ฝ่ายประชาธิปไตยขี้หมาอะไรครับ ที่เริ่มต้นสร้างอำนาจด้วยการซื้อพรรคซื้อ ส.ส.ซื้อ ส.ว.แล้วเมื่อได้อำนาจก็มีการคอร์รัปชันเชิงนโยบายด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน ใช้อำนาจรัฐกำจัดฝ่ายตรงข้าม ปิดกั้นสื่อมวลชน ฝ่ายประชาธิปไตยที่ใช้ศาลเตี้ยในการวิสามัญคดียาเสพติดทั้งคนบริสุทธิ์และนักค้ายาโดยที่ไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมกว่า 2 พันศพ ฝ่ายประชาธิปไตยที่ประกาศว่าจะดูแลเฉพาะคนที่เลือกพรรคตัวเอง
การไปปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลียอาศัยสถานภาพนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อแก้ต่างให้พี่ชายซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีจึงเป็นความจริงเพียงเสี้ยวเดียว
ไม่แปลกหรอกครับปาฐกถาของยิ่งลักษณ์คนเขาถึงว่า เป็นแค่เรื่องตอแหล Slutty Moron ระดับชาติเท่านั้นเอง
หลังทักษิณถูกตัดสินให้จำคุก 2 ปีในความผิดฐาน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ” ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ไม่ใช่ความผิดที่ฝ่ายทักษิณพยายามสร้างวาทกรรมว่า เมียซื้อที่ดินแต่ผัวผิด
วาทกรรมทำนองเดียวกันนี้ถูกนำมาใช้บิดเบือนข้อเท็จจริงในคดีของนายสมัคร สุนทรเวช ที่กล่าวหาศาลตัดสินให้ผิดเพราะทำกับข้าว
ทั้งที่จริงแล้วนายสมัครมีความผิดเพราะหลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังคงได้รับค่าตอบแทนที่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินจากบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด ดังนั้น ถือเป็นการรับจ้างทำงานตามความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ตามนัยแห่งมาตรา 267 ของรัฐธรรมนูญ อันส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัครสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) แห่งรัฐธรรมนูญ
จากความผิดในคดีนี้นี่เองที่ทำให้ทักษิณหันมาโจมตีศาลต่างๆ นานาหลังหลบหนีความผิดไปต่างประเทศ มีการโฟนอินมากล่าวหาศาลว่า เป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม
และจากคดีนี้นี่เองที่มีทีมทนายความนำถุงขนมใส่เงิน จำนวน 2 ล้านบาทไปให้แก่เจ้าหน้าที่ศาล กระทั่งศาลฎีกามีคำสั่งให้จำคุกนายพิชิต ชื่นบาน กับพวกคนละ 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล จนพ้นโทษเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2551 และปัจจุบันนายพิชิตคนเดียวกันนี้กลายมาเป็น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
แต่ทักษิณก็แปลก หรือถ้าจะพูดไปแล้วศาลก็แปลก ในขณะที่ทักษิณกล่าวหาศาลไทยว่ายุติความเป็นธรรมทักษิณก็ตั้งตัวแทนมาฟ้องใครต่อใครในศาลไทยหลายต่อหลายคดี แต่ศาลก็รับฟ้องคดีของทักษิณเอาไว้ ทั้งๆ ที่ทักษิณหลบหนีคำพิพากษาของศาลเป็นนักโทษหนีคดี
ผมจะไม่แปลกใจเลยนะครับ ถ้าทักษิณอยู่ในคุกแล้วแต่งตั้งทนายมาฟ้องคนอื่น แต่นี่ทักษิณแสดงตัวชัดเจนว่าเขาไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของเมืองไทย เขาควรเป็นบุคคลที่ต้องสาบสูญไปในทางนิตินัย แต่เขากลับใช้กระดาษแค่ใบเดียวเซ็นมอบอำนาจให้คนอื่นมาเป็นตัวแทนฟ้องร้องในศาล โดยที่คู่กรณีไม่มีโอกาสเข้าถึงโจกท์ที่ฟ้องร้องตัวเองได้เลย
ที่สำคัญเราต้องรู้ว่าที่ทักษิณเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศตอนนี้เพราะทักษิณหนีศาล ไม่ได้เป็นผลมาจากรัฐประหาร เพราะหลังรัฐประหารทักษิณกลับมาจูบแผ่นดินแล้วครั้งหนึ่ง
วันนี้ขบวนการของทักษิณที่อ้างว่ามาจากประชาธิปไตยก็กำลังคุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบาลชุดนี้ให้ท้ายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นสิทธิในระบอบประชาธิปไตย และผู้ชุมนุมประกาศจะใช้ศาลเตี้ยจับตัวตุลาการรัฐธรรมนูญมาลงโทษ
ยิ่งลักษณ์ถึงกับโจมตีองค์กรอิสระต่อที่ประชุมนานาชาติที่มองโกเลียว่า กลไกที่เรียกว่าองค์กรอิสระได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตแทนประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริง เป็นการดำเนินการเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าเพื่อคนส่วนใหญ่ของสังคม
องค์กรอิสระที่ยิ่งลักษณ์กล่าวหานั้นก็หมายถึงศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง
วันนี้ทักษิณอยากกลับบ้านแล้วหลังสไกป์ตัดพ้อมาในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยว่า “ผมบางทีก็แปลก ให้ข้อคิด คำแนะนำปรึกษาอะไรกับเขาได้ แต่ตัวเองกลับเหมือนต้องลอยคออยู่กลางมหาสมุทร บางครั้งก็ถามตัวเอง ไปผลักดันคนโน้นไปอยู่ตำแหน่งโน้น ตำแหน่งนี้ แล้วตัวผมเองหละจะกลับบ้านยังไง คนก็มีหลายประเภท บางคนก็อยากช่วยให้ได้กลับ บางคนก็บอกว่ารักผมนะ แต่อย่าเพิ่งให้ผมรีบกลับมาเลย เพราะเดี๋ยวตัวเองจะไม่สำคัญ”
การสไกป์ครั้งนั้นทำให้ขบวนการเอาใจนายพากันเดินหน้าอย่างหนักด้วยการยื่นร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งฉบับของนายวรชัย เหมะ และของเฉลิม อยู่บำรุงที่จะยื่นหลังจากเปิดสมัยประชุมสภาฯ ครั้งหน้า เพื่อเปิดทางให้ทักษิณกลับบ้านโดยไม่มีความผิด รวมทั้งเป้าหมายสำคัญคือ การกำจัดศัตรูของทักษิณนั่นคือฝ่ายตุลาการ
ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่า วันนี้ทักษิณยึดอำนาจอธิปไตยไว้แล้ว 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ อีกฝ่ายเดียวที่ยังยึดไม่ได้ก็คือ ฝ่ายตุลาการ แม้ว่าเราจะเห็นตุลาการหลายคนมาขึ้นเวทีเสื้อแดงหลังเกษียณ แต่ว่ากันว่า ทักษิณสามารถแทรกซึมได้เป็นคนคนเท่านั้น ยังไม่สามารถแทรกแซงในระดับองค์กรได้
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทักษิณส่งสัญญาณให้ลิ่วล้อลุยศาลรัฐธรรมนูญ และการคาดการณ์กันว่า ถ้าการแก้รัฐธรรมนูญตามเป้าหมายสำเร็จ ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองจะเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ถูกยุบ เพราะทั้งสองศาลเป็นอุปสรรคของการขับเคลื่อนระบอบทักษิณอย่างชัดเจน ส่วนศาลยุติธรรม ประธานศาลฎีกาต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน
นักวิชาการ ปัญญาชนที่สนับสนุนทักษิณพากันเรียกตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ยืนเคียงข้างประชาชน และต่อต้านเผด็จการ แต่ระบอบทักษิณเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือเป็นระบอบเผด็จการทุนนิยมกันแน่ เพราะเมื่อทักษิณมีอำนาจเขาใช้เงินซื้อพรรค ซื้อ ส.ส. หรือ ส.ว.จนเกิดเป็นเผด็จการรัฐสภาขึ้นมา รวมทั้งแทรกแซงองค์กรอิสระให้ไม่สามารถทำงานได้
คนที่นิยามระบอบทักษิณขึ้นมาก็คือ เกษียร เตชะพีระ ที่วันนี้กลายมาเป็นหางเครื่องของระบอบทักษิณเสียเอง
เรารู้กันอยู่นะครับว่า ตอนที่ทักษิณมีอำนาจนั้นได้ใช้อำนาจอย่างชอบธรรมตามบรรทัดฐานของระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ นักวิชาการหลายคนที่พากันอุ้มชูทักษิณในตอนนี้ หลายคนเคยโจมตีทักษิณมาก่อนเมื่อตอนที่ทักษิณมีอำนาจ แปลกดีที่วันนี้เมื่อเขามายืนข้างนักโทษชายทักษิณที่หนีคดีและหลบหนีอยู่ต่างประเทศ พวกเขากลับเรียกฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณว่าฝ่ายประชาธิปไตย
ฝ่ายประชาธิปไตยขี้หมาอะไรครับ ที่เริ่มต้นสร้างอำนาจด้วยการซื้อพรรคซื้อ ส.ส.ซื้อ ส.ว.แล้วเมื่อได้อำนาจก็มีการคอร์รัปชันเชิงนโยบายด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน ใช้อำนาจรัฐกำจัดฝ่ายตรงข้าม ปิดกั้นสื่อมวลชน ฝ่ายประชาธิปไตยที่ใช้ศาลเตี้ยในการวิสามัญคดียาเสพติดทั้งคนบริสุทธิ์และนักค้ายาโดยที่ไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมกว่า 2 พันศพ ฝ่ายประชาธิปไตยที่ประกาศว่าจะดูแลเฉพาะคนที่เลือกพรรคตัวเอง
การไปปาฐกถาของยิ่งลักษณ์ที่มองโกเลียอาศัยสถานภาพนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อแก้ต่างให้พี่ชายซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีจึงเป็นความจริงเพียงเสี้ยวเดียว
ไม่แปลกหรอกครับปาฐกถาของยิ่งลักษณ์คนเขาถึงว่า เป็นแค่เรื่องตอแหล Slutty Moron ระดับชาติเท่านั้นเอง