ใครเป็นร่างคำปาฐกถาให้แม่นางโพยปูโพรกเน่าในไปจ้อปนแหลที่มองโกเลียในเวทีซึ่งเปรียบเหมือนสมาคมผลัดยกก้นกันดม! ถ้อยคำสารพัดที่ออกจากปากแบะเยิ้มล้วนเป็นพิษพ่นใส่แผ่นดินเกิดซึ่งเป็นแหล่งพักพิงของโคตรเหง้าตระกูลกังฉิน สร้างความมั่งคั่งจากสารพัดอาชีพ ทั้งมืดและสว่าง จนได้ฉายาว่า “โกงทั้งโคตร”
สงสัยว่าแม่นางโพยพ่นออกมาแต่ละคำเป็นภาษาอังกฤษแบบเด็กมัธยมหัดอ่านนั้น หล่อนรู้เรื่อง เข้าใจความหมายหรือไม่ว่าหล่อนได้ประจานตัวเองและองค์กรอาชญากรรมที่หล่อนเป็นหัวขบวนกุมอำนาจรัฐแบบถ่อยเถื่อนในขณะนี้
หล่อนอ้างสารพัดว่าไทยไม่ใช่ประชาธิปไตย ยกย่องบรรยากาศเปี่ยมล้นประชาธิปไตยในมองโกเลีย เมื่อพูดแบบนี้ได้ เท่ากับว่าเป็นการโชว์โง่อีกรอบ คนไทยหน้าไม่หนาต้องทนอดสู รอให้หล่อนเดินทางครบประเทศที่ต้องการเสียก่อนจึงจะลงจากอำนาจ เมื่อไม่ต้องการไปเยือนแผ่นดินที่ตัวเองไม่ปรารถนา
การไปเยือนมองโกเลีย ก็คงอยากไปเที่ยวอูลัน บาทอร์ ยกขบวนพวกขี้ข้าบักเหลี่ยมไปผลาญเงินภาษีชาวบ้านที่เหลือจากการโกงกินก่อนกู้ก้อนใหญ่รอบใหม่เอามาเติมให้เต็มเพื่อให้สมความอยากของตระกูลเครือญาติโกงทั้งโคตร
ปัดโธ่! อ้างว่าจะไปแสวงหาลู่ทางการลงทุน ทำเอาชาวบ้านสงสัยว่าน่าจะหาช่องทางการลงแรงมากกว่า อยู่เมืองไทยต้องตอบคำถามท้าทายสติปัญญา ความสามารถ เมื่อมีความรู้ คำพูดจำกัด ถนัดแต่เดินแอ่นระแน้เด้งหน้าเด้งหลังตรวจพลต้อนรับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาไม่ต้องโชว์โง่ เพียงแต่ยิ้มเยิ้มเป็นแม่ยั่วเมือง
คำพูดใส่ร้ายป้ายสีประณามแผ่นดินเกิด เท่ากับประจานตัวเอง เป็นหัวหน้ารัฐบาลไม่มีผลงานมาตอแหลให้ชาวบ้านฟังจนเกือบครบ 2 ปี ถือว่าเป็นความด้านสุดๆ คนร่างคำปาฐกถาน่าจะถูกมองว่าเป็นความหวังดีแต่ประสงค์ร้ายมากกว่า
พูดไปแบบกลวง เหมาะกับสภาพหลวม ความโพรกของสภาวะผู้นำ ไร้ความน่าเชื่อถือ เท่ากับเป็นตัวตลก ตุ๊กตาหน้าใสไม่ต่างจากพวกพริตตี้ แต่ห่างชั้นเรื่องมันสมอง เมื่อพริตตี้ไม่หลบหลีกคำถาม ตอบเท่าที่มีสติปัญญา ความกล้า
แม่นางโพยปูโพรกเน่าในยังไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์นอกจากคำร่างที่ผู้อื่นเขียนให้ แต่อ่านไปแล้วจะเข้าใจสักกี่คำ ถ้าคนร่างเป็นตัวผูกหูกระต่ายหน้าเดิม ใช้คำสูงเกินสติปัญญาของคนอ่าน! ถ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็คงรู้สึก แต่คนไทยบอกว่าเมื่อประจานบ้านเกิดเมืองนอนเหมือนบักเหลี่ยมหนีคุกแล้ว ก็ไม่น่ากลับมาอีก
ถ้ามองโกเลียเป็นประชาธิปไตยพึงปรารถนา ก็ปักหลักอยู่ที่นั่นไปเลย!
มีช่วงหนึ่งแม่นางโพยพูดถึงอาหรับสปริง! แม่เจ้าโวย! ในใจอาจจินตนาการอยากเห็นความแตกต่างระหว่างอาหรับสปริงกับเตียงสปริงบนชั้น 7 โฟร์ซีซั่นหรือเปล่า คนเขียนปาฐกถาน่าจะอธิบายให้เข้าใจ เดี๋ยวจะไปถามว่าในกระโจมที่นอนต้อนรับช่วงที่อยู่มองโกเลียนั้นมีเตียงสปริง หรือนอนบนฟูกหนาเท่านั้น!
ช่วงแหลเข้าลึกถึงกระดูกดำ ซึมเข้าดีเอ็นเอ ก็คือตอนหล่อนพร่ำเพ้อ!
“ขอยกเรื่องของตนเองเป็นอุทาหรณ์ ในปี 2540 ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งร่างขึ้นโดยที่ประชาชนมีส่วนร่วม เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้ว และจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหารแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น”
“รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2549 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่พูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
“หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉัน อาจบอกว่าเธอจะบ่นไปทำไม เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไป ซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้น จากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป”
แม่นางโพยเจื้อยแจ้วเพลิดเพลินตาไม่กะพริบ นึกว่าตัวเองเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่พฤติกรรมส่วนใหญ่คนไทยจำได้ล้วนแต่เป็นรายการโชว์โง่ทั้งนั้น พูดไปยังไม่อายปากว่าขบวนการเสื้อแดงถ่อยเถื่อนชุมนุมคุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการฟ้องชัดเจนว่าหล่อนสนับสนุนกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย
ถ้าคนเบื่อหน่าย ชังน้ำหน้าหล่อนไปชุมนุมหน้าทำเนียบฯ หรือหน้าบ้านของหล่อนซอยโยธินพัฒนา อ้างสิทธิเดียวกันที่หล่อนให้ท้ายเสื้อแดงถ่อยเถื่อน หล่อนจะยอมมั้ย! คงสั่งตำรวจแตงโม มะเขือเทศ ทุเรศไม่เป็นสับปะรดไปไล่ทุบตีแน่!
ทำไมไม่บอกเค้าด้วยว่ารัฐบาลของหล่อนถูกบงการโดยคนหนีคุก เป็นอภิมหาโคตรโกง นโยบายข้าวเน่า 3 ธนาคารใกล้เจ๊ง หัวคิวโกง 40 เปอร์เซ็นต์ ตัดสิทธิประชาชน หล่อนป้ำๆ เป๋อๆ เอ๋อๆ ทำบ้านเมืองจะมีกลียุคเกือบล่มจมแล้ว!
สงสัยว่าแม่นางโพยพ่นออกมาแต่ละคำเป็นภาษาอังกฤษแบบเด็กมัธยมหัดอ่านนั้น หล่อนรู้เรื่อง เข้าใจความหมายหรือไม่ว่าหล่อนได้ประจานตัวเองและองค์กรอาชญากรรมที่หล่อนเป็นหัวขบวนกุมอำนาจรัฐแบบถ่อยเถื่อนในขณะนี้
หล่อนอ้างสารพัดว่าไทยไม่ใช่ประชาธิปไตย ยกย่องบรรยากาศเปี่ยมล้นประชาธิปไตยในมองโกเลีย เมื่อพูดแบบนี้ได้ เท่ากับว่าเป็นการโชว์โง่อีกรอบ คนไทยหน้าไม่หนาต้องทนอดสู รอให้หล่อนเดินทางครบประเทศที่ต้องการเสียก่อนจึงจะลงจากอำนาจ เมื่อไม่ต้องการไปเยือนแผ่นดินที่ตัวเองไม่ปรารถนา
การไปเยือนมองโกเลีย ก็คงอยากไปเที่ยวอูลัน บาทอร์ ยกขบวนพวกขี้ข้าบักเหลี่ยมไปผลาญเงินภาษีชาวบ้านที่เหลือจากการโกงกินก่อนกู้ก้อนใหญ่รอบใหม่เอามาเติมให้เต็มเพื่อให้สมความอยากของตระกูลเครือญาติโกงทั้งโคตร
ปัดโธ่! อ้างว่าจะไปแสวงหาลู่ทางการลงทุน ทำเอาชาวบ้านสงสัยว่าน่าจะหาช่องทางการลงแรงมากกว่า อยู่เมืองไทยต้องตอบคำถามท้าทายสติปัญญา ความสามารถ เมื่อมีความรู้ คำพูดจำกัด ถนัดแต่เดินแอ่นระแน้เด้งหน้าเด้งหลังตรวจพลต้อนรับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาไม่ต้องโชว์โง่ เพียงแต่ยิ้มเยิ้มเป็นแม่ยั่วเมือง
คำพูดใส่ร้ายป้ายสีประณามแผ่นดินเกิด เท่ากับประจานตัวเอง เป็นหัวหน้ารัฐบาลไม่มีผลงานมาตอแหลให้ชาวบ้านฟังจนเกือบครบ 2 ปี ถือว่าเป็นความด้านสุดๆ คนร่างคำปาฐกถาน่าจะถูกมองว่าเป็นความหวังดีแต่ประสงค์ร้ายมากกว่า
พูดไปแบบกลวง เหมาะกับสภาพหลวม ความโพรกของสภาวะผู้นำ ไร้ความน่าเชื่อถือ เท่ากับเป็นตัวตลก ตุ๊กตาหน้าใสไม่ต่างจากพวกพริตตี้ แต่ห่างชั้นเรื่องมันสมอง เมื่อพริตตี้ไม่หลบหลีกคำถาม ตอบเท่าที่มีสติปัญญา ความกล้า
แม่นางโพยปูโพรกเน่าในยังไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์นอกจากคำร่างที่ผู้อื่นเขียนให้ แต่อ่านไปแล้วจะเข้าใจสักกี่คำ ถ้าคนร่างเป็นตัวผูกหูกระต่ายหน้าเดิม ใช้คำสูงเกินสติปัญญาของคนอ่าน! ถ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็คงรู้สึก แต่คนไทยบอกว่าเมื่อประจานบ้านเกิดเมืองนอนเหมือนบักเหลี่ยมหนีคุกแล้ว ก็ไม่น่ากลับมาอีก
ถ้ามองโกเลียเป็นประชาธิปไตยพึงปรารถนา ก็ปักหลักอยู่ที่นั่นไปเลย!
มีช่วงหนึ่งแม่นางโพยพูดถึงอาหรับสปริง! แม่เจ้าโวย! ในใจอาจจินตนาการอยากเห็นความแตกต่างระหว่างอาหรับสปริงกับเตียงสปริงบนชั้น 7 โฟร์ซีซั่นหรือเปล่า คนเขียนปาฐกถาน่าจะอธิบายให้เข้าใจ เดี๋ยวจะไปถามว่าในกระโจมที่นอนต้อนรับช่วงที่อยู่มองโกเลียนั้นมีเตียงสปริง หรือนอนบนฟูกหนาเท่านั้น!
ช่วงแหลเข้าลึกถึงกระดูกดำ ซึมเข้าดีเอ็นเอ ก็คือตอนหล่อนพร่ำเพ้อ!
“ขอยกเรื่องของตนเองเป็นอุทาหรณ์ ในปี 2540 ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งร่างขึ้นโดยที่ประชาชนมีส่วนร่วม เราทุกคนคิดว่ายุคใหม่ของประชาธิปไตยไทยมาถึงแล้ว และจะเป็นยุคสมัยที่ไร้การรัฐประหารแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น”
“รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งถึงสองครั้งสองหนด้วยเสียงส่วนใหญ่ถูกล้มลงในปี 2549 ประเทศไทยเสมือนรถไฟตกรางและประชาชนคนไทยใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าที่จะได้เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยกลับคืนมา หลายคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้รู้ว่ารัฐบาลที่พูดถึงคือรัฐบาลที่พี่ชายคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
“หลายคนที่ไม่รู้จักดิฉัน อาจบอกว่าเธอจะบ่นไปทำไม เป็นเรื่องปกติในกระบวนการการเมืองที่รัฐบาลมาแล้วก็ไป ซึ่งหากตัวดิฉันและครอบครัวของดิฉันต้องเจ็บปวดแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันก็คงจะปล่อยวาง แต่นั่นก็ไม่ใช่ความเป็นไปที่เกิดขึ้น จากการรัฐประหารประเทศไทยต้องถอยหลังและสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อนานาชาติ หลักนิติธรรมและกระบวนการกฎหมายถูกทำลาย โครงการและแผนงานที่พี่ชายของดิฉันริเริ่มตามที่ประชาชนต้องการถูกยกเลิก ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพของเขาถูกปล้นไป”
แม่นางโพยเจื้อยแจ้วเพลิดเพลินตาไม่กะพริบ นึกว่าตัวเองเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่พฤติกรรมส่วนใหญ่คนไทยจำได้ล้วนแต่เป็นรายการโชว์โง่ทั้งนั้น พูดไปยังไม่อายปากว่าขบวนการเสื้อแดงถ่อยเถื่อนชุมนุมคุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการฟ้องชัดเจนว่าหล่อนสนับสนุนกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย
ถ้าคนเบื่อหน่าย ชังน้ำหน้าหล่อนไปชุมนุมหน้าทำเนียบฯ หรือหน้าบ้านของหล่อนซอยโยธินพัฒนา อ้างสิทธิเดียวกันที่หล่อนให้ท้ายเสื้อแดงถ่อยเถื่อน หล่อนจะยอมมั้ย! คงสั่งตำรวจแตงโม มะเขือเทศ ทุเรศไม่เป็นสับปะรดไปไล่ทุบตีแน่!
ทำไมไม่บอกเค้าด้วยว่ารัฐบาลของหล่อนถูกบงการโดยคนหนีคุก เป็นอภิมหาโคตรโกง นโยบายข้าวเน่า 3 ธนาคารใกล้เจ๊ง หัวคิวโกง 40 เปอร์เซ็นต์ ตัดสิทธิประชาชน หล่อนป้ำๆ เป๋อๆ เอ๋อๆ ทำบ้านเมืองจะมีกลียุคเกือบล่มจมแล้ว!