ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถ้าจะบอกว่า นี่เป็นเป้าหมายสูงสุดก็ไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปนักกับภารกิจถอนลากถอนโคน “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่ขณะนี้กำลังถูกนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรแอนด์เดอะแก๊ง แยกกันเดินรวมกันตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรง
ชนิดที่ว่าจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญที่เสมือนเป็นก้างขวางคอนายใหญ่ ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องสะเทือนและสั่นคลอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ทั้งจากโทษฐานที่เป็นก้างขวางคอนายใหญ่ของคนเสื้อแดงมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำให้พรรคการเมืองของคนเสื้อแดงในอดีตและพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งจากโทษฐานที่ศาลรัฐธรรมนูยมีมติรับคำร้อง ตามที่มีมีกรณีให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในมาตรา 68 และ237 เพราะฝ่ายผู้ร้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญขีดเจตนารมณ์ในการตัดสิทธิของประชาชนและมีวาระซ่อนเร้น ซึ่งทำเอาเครือข่ายนายใหญ่ดิ้นพล่านกันยกใหญ่เลยทีเดียว
ทั้งนี้ แนวรบแรกของนช.ทักษิณ ก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากมวลชนเสื้อแดง ที่ได้เวลาสำแดงอาการเถื่อนถ่อย โดยที่คนเสื้อแดงกว่า 200 คนยกขบวนไปปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อกดดันให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนลาออกยุติการทำหน้าที่โดยเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะมีการยกระดับการชุมนุมต่อไปโดยตัวแทนของทางกลุ่มจะไปยื่นหนังสือที่สำนักงบประมาณ เพื่อขอให้ยุติการจ่ายเงินเดือนให้แก่ตุลาการทั้ง 9 คน และจะมีการล่ารายชื่อประชาชนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นรายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนตุลาการฯ ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป. ช.) โดยกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศชัดเจนว่าจะชุมนุมต่อเนื่องไปไม่มีกำหนดจนกว่าข้อเรียกร้องจะเป็นผลหรือมีวิธีทางออกที่สามารถตกลงกันได้
นายสมหวัง อัสราษี เจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อมิตซูชิต้า ในฐานะรองประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถึงกับเปิดหน้าชกโดยประกาศว่าเป็นสิทธิของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะแสดงออกในฐานะประชาชนที่จะทวงถามความเป็นธรรม ความยุติธรรมจากศาลรัฐธรรมนูญ ที่พวกเขาเห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจโดยมิชอบ ก้าวก่ายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ พร้อมระบุชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน
“ศาลรัฐธรรมนูญคือตัวปัญหาและอุปสรรคของระบอบประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่เราต้องกำจัดคนพวกนี้ไห้พ้นจากเส้นทางประชาธิปไตยเสียที ทนกันมานานแล้ว และเชื่อว่าถึงวันนี้ฝ่ายนิติบัญญัติในสภาจะเดินหน้าชนกับศาลรัฐธรรมนูญแบบถึงไหนถึงกัน พวกตุลาการฯ กลัวเสียอำนาจก็ต้องแสดงอำนาจเพื่อให้อำนาจตัวเองคงอยู่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 นั้นจะทำให้พวกเขาหมดอำนาจ ดังนั้นเขาจะต้องรับเรื่องแก้ไขมาตรา 68 ไว้เพื่อยับยั้งไม่ไห้แก้ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองไม่มีอำนาจ”
ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องแปลความหมายมากมายถึงความเกลียดชังที่บรรดาเครือข่ายคนเสื้อแดงมีต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ตามติดมาด้วย นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 12 พ.ค. กลุ่มคนรักประชาธิปไตยที่อยู่ในหมู่คนเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย และภาคส่วนอื่นๆ จะจัดชุมนุมใหญ่ ภายใต้หัวข้อ “ต้านอำนาจนอกระบบ ปกป้องรัฐบาล เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ณ บริเวณ อบต.บางปลา จ.สมุทรปราการ โดยจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ในฝ่ายประชาธิปไตยมาร่วมด้วยหลายคน และคาดว่าจะมีประชาชนมาร่วมไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคน โดยจะเชิญชวนคนทุกกลุ่มให้ออกมาแสดงพลังคัดค้านอำนาจนอกระบบ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ที่วันนี้เข้ามาก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติมากเกินไป และต้องการแสดงให้รู้ว่าวันนี้ประชาชนคิดอย่างไร
เรียกว่าเป็นการระดมพลพรรคครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงได้เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อดูจากปฏิกิริยาและการปลูกฝังอารมณ์แล้ว ก็ต้องบอกว่าเอาจริงเอาจัง เตรียมเผด็จศึกล้มศาลรัฐธรรมนูญให้จงได้ตามบัญชาการของนายใหญ่
นี่ยังไม่นับรวมแม้แต่นักวิชาหัวใจสีแดงก็ยังร่วมขย่มแม้แต่นายวรพล ธรรมมิกบุตร นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ที่กองปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีกับตุลาการชุดปัจจุบัน กรณีใช้อำนาจวินิจฉัยข้อร้องเรียนตามมาตรา 68 โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
นอกจากนั้น ส.ส.และ ส.ว.รวม 312 คน ก็รับคำบัญชาด้วยการเตรียมยื่นหนังสือเปิดผนึกปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ โดยงานนี้เป็นหน้าที่ของนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ที่บอกว่า อย่างช้าต้นสัปดาห์หน้า จะยื่นหนังสือเปิดผนึกอย่างเป็นทางการต่อศาลรัฐธรรมนูญในนาม ส.ส.และ ส.ว. 312 คน
แถมยังส่งสัญญาณต่อเนื่อง โดยคนระดับรัฐมนตรีอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวโจกตัวเอ้ของคนเสื้อแดง ที่ส่งสัญญาณไฟเขียวปลุกระดมมวลชนไม่เว้นวันในการบุกรุกศาลรัฐธรรมนูญ และข่มขู่คุกคาม เหน็บแนมผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อโดยระบุว่า ...
“เห็นข่าวคุณจรัล ตลก.รธน.บอกว่าบ้านเมืองยุคนี้ไม่รู้เป็นอะไร "เหมือนนักมวยไล่ต่อยกรรมการ" โอ๊ะ!แม่เจ้า...จริงหรือครับนี่? เคยเห็นนักมวยไล่ต่อยกรรมการมีแต่เวทีมวยปล้ำที่กรรมการเข้าข้างฝ่ายหนึ่งอย่างออกนอกหน้าไม่แคร์สายตาใคร
“บางแห่งไปตรวจสอบแล้วพบว่าทั้งกรรมการกับนักมวยอภิสิทธิ์รายนั้นมาจากค่ายเดียวกันซึ่งมีรถถัง เอ๊ย! อิทธิพลล้นเหลือซะด้วย หนักเข้ากรรมการบุกไปขู่นักมวยอีกฝ่ายถึงในบ้าน ห้ามทำโน่นนั่นนี่
“ถ้าเวทีมาตรฐานกรรมการปกติ ไม่มีที่ไหนเขามีปัญหานี่ครับ”
แน่นอน เป้าหมายที่ขบวนการนายใหญ่ต้องการก็คือ ยุทธการทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ซึ่งถูกดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดมา ยกตัวอย่างเช่น ทนายความทีมงานกฎหมายของฝ่าย นช.ทักษิณ ชินวัตร ทำลืมถุงขนมไว้ที่สำนักงานศาลฎีกา ข้างในถุงมีเงินสด 2 ล้านบาท เป็นต้น
ที่น่าตกใจเสียยิ่งกว่าก็คือ ระบอบทักษิณโดยคนเสื้อแดงยื่นคำขาดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกทั้งคณะ ถ้าไม่ทำตามจะยกพวกบุกปิดล้อมศาลกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ไม่น่าแปลกใจอะไรที่คนเสื้อแดงเป็นเดือดเป็นแค้นสถาบันศาล ยิ่งศาลรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว ยิ่งสามารถกล่าวได้ว่า เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งเลยก็ว่าได้
เพราะในพิจารณาและตัดสินคดีต่างๆ ของ นช.ทักษิณ ตั้งแต่เรื่องคดีที่ดินถนนรัชดาฯ, คดียึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินกว่า 46000 ล้านบาท , คดียุบพรรคไทยรักไทย-พรรคพลังประชาชน โทษฐานทุจริตการเลือกตั้ง, คดีศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามความต้องการ รวมถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เบรกเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่ระบอบทักษิณจะรื้อแก้ทั้งฉบับ ล้วนแล้วแต่เป็นด่านปราการที่คอยขัดหูขัดตาระบอบทักษิณอยู่ร่ำไป ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก็ดันโผล่ออกมาได้จังหวะบังเอิญแบบร้ายกาจพอดิบพอดีเช่นกันนั้นก็คือ เอกสารของนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.)
เป็นเอกสารที่นายอุกฤษนำเสนอบทความ เรื่อง“ข้อเสนอปรับปรุงศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า จากปัญหาการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ตนมีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาของศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ดังนี้
หั่นอำนาจวินิจฉัย-ยกให้สภาฯทำ
1. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ได้เฉพาะแต่กรณีที่เป็นร่างกฎหมายที่รัฐสภาเห็นชอบแล้ว และก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เท่านั้น ส่วนวิธีการที่จะทำให้บทบัญญัติใดของกฎหมายตกไป หรือเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ เฉพาะแต่ฝ่ายนิติบัญญัติ ในฐานะผู้แทนปวงชนเท่านั้นที่จะปรับปรุง หรือทำการแก้ไขเพิ่มเติม
เพิ่มตุลาการฯเป็น15คน-วาระ4ปี
2. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่ง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนอื่นอีก 14 คน รวมเป็น 15 คน และองค์คณะนั่งพิจารณาและในการทำคดีวินิจฉัย ต้องประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่า 10 คน สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนตุลาการทั้งหมด
3. ควรกำหนดให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีวาระการดำรงตำแหน่งเพียง 4 ปี และให้ดำรงตำแหน่งเพียงวาระเดียว ขณะที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญควรมีที่มายึดโยงกับประชาชน
ออกกม.กำหนดวิธีพิจารณาคดี
4. แก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเร่งดำเนินการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะต้องมีการกำหนดระยะเวลาในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญใน แต่ละประเภทคดีไว้อย่างชัดเจน และจะต้องมีการกำหนดเวลาในการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลาง และความเห็นในการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนในราชกิจานุเบกษา ภายใน 30 วัน
ทั้งนี้ นายอุกฤษ ยังกล่าวด้วยว่า มีข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์คณะ ทุกคนมีการทำความเห็นการวินิจฉัยในส่วนตนและแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุม ก่อนการลงมติหรือไม่เพียงใด อีกทั้งการพิจารณาและวินิจฉัยบางคดียังรีบเร่งผิดปกติ ไม่รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการละเลยกระบวนการหรือวิธีพิจารณาคดีที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ คำวินิจฉัยคดีนั้นอาจจะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายเสียเอง และอาจทำให้คำวินิจฉัยดังกล่าวตกไปทั้งฉบับได้
ทั้งนี้ กล่าวโดยสรุปแล้ว เป้าหมายของระบอบทักษิณคือ 1.การประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและ สว.บางส่วน เพื่อต่อต้านจากกรณีที่ศาลรับคำร้องตามมาตรา 68 ว่าด้วยการกระทำที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา
2.พรรคเพื่อไทยเดินหน้ารวบรวมรายชื่อ สส.และ สว. เพื่อถอดถอนองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกจากตำแหน่ง
3.ความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เตรียมชุมนุมต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 12 พ.ค. โดยใช้พื้นที่ จ.สมุทรปราการ เป็นยุทธศาสตร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีมวลชนบางส่วนได้ไปปักหลักบริเวณหน้าอาคารสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้แล้ว
4.การแสดงความคิดเห็นของ “อุกฤษ มงคลนาวิน” ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เสนอแนวคิดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหลือวาระการดำรงตำแหน่งเพียง 4 ปี จากเดิมที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดไว้ 9 ปี
เป็นรายการมาตามนัด ที่มีเป้าหมายไม่ผิดเพี้ยนก็คือ เตรียมดาหน้าขย่มศาลรัฐธรรมนูญเต็มอัตราศึก และดูจะเป็นการชวนตีที่ไม่ยอมเลิกราเอาง่ายๆ เสียด้วย เพราะได้วางโปรแกรมแบบลากยาวเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งนี้จะว่าไปแล้ว เหตุผลความกระเหี้ยนกระหือรือก็คือ ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเคยเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับนั้นต้องสะดุดลงและค้างคาวาระ 3 ในสภาอยู่ในตอนนี้ จากนั้นในเวลาต่อมาจึงมีความพยายามแก้เกมใหม่เสนอมาในแบบรายมาตรา และยืมมือ ส.ว.หยิบยื่นให้ในลักษณะต่างตอบแทนแบบสมน้ำสมเนื้อ ทุกอย่างกำลังทำท่าไป ได้ดี คาดหวังว่าจะมีค่าน้ำร้อนน้ำชาใช้กันอู่ฟู่ แบ่งปันอำนาจ กันอย่างลงตัว ดังที่การเสนอแก้ไขมาตราอื่น ไม่ว่าจะเป็น มาตรา 190 ทำให้การเจรจากับต่างชาติทำได้สะดวกแทบทุกเรื่อง หรือเรื่องการแก้ไขไม่ต้องยุบพรรค
แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่ฝันไว้
ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือเมื่อฉับพลันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับตีความว่าการแก้ไขมาตรา 68 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทำให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ขวัญเสียทันที เพราะถ้าผลออกมาว่าขัดด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการตัดสิทธิกีดกันประชาชนไม่ให้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามเจตนารมณ์หรือด้วยเหตุผลอื่นใด จะส่งผลทำให้ช่องทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรวบอำนาจและล้างความผิดของเขาแทบปิดตายทันที
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม นช.ทักษิณ ถึงต้องเล่นเกมแรง เทหมดหน้าตักสั่งขบวนไพร่พล เครือข่ายที่มีอยู่ทุกองคาพยพของเขาให้เดินหน้ากดดันศาลรัฐธรรมนูญทันที เพราะใกล้เวลาที่ศาลกำหนดให้ชี้แจงภายใน 15 วันซึ่งหากนับเวลาแล้วก็ใกล้ถึงกำหนดดีเดย์เข้ามาทุกที
ดังนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเท่าใด ก็ยิ่งระทึกใจเท่านั้น เมื่อยิ่งระทึกมีแรงเท่าไหร่ก็ต้องขย่มให้เต็มกำลัง เหมือนอย่างที่กำลังออกอาการอยู่ในเวลานี้โดยดาหน้าถล่มกันทุกทาง
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งสำหรับศาลรัฐธรรมนูญด้วยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านมรสุมเรื่องนี้มาอย่างโชกโชน ก็เตรียมเล่นเกมแรงกลับเช่นกัน แถมส่งสัญญาณให้เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่หมูในอวยที่จะมาเคี้ยวกันได้ง่ายๆเช่นกัน
ทั้งนี้ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกกังวล คิดว่าน่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องมากกว่า เป็นแบบเดียวกับนางกรองทอง ทนทาน หรือ “ดีเจป้อม” อุดรธานี ที่ชุมนุมหน้ารัฐสภาก็ด่าตนเองเสียหาย ก็ถูกฟ้องศาลอาญาข้อหาฐานดูหมิ่นศาล ดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยการโฆษณา โดยใช้ทนายจากสำนักงานทนายของคนพรรคเพื่อไทย ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีมูลประทับรับฟ้อง นางกรองทองก็ยื่นขอประนีประนอมจะขอขมา ศาลสั่งเลื่อนไปพิจารณาในวันที่ 27 พ.ค.นี้ ซึ่งยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับคำขอขมาหรือไม่ ดังนั้นกลุ่มที่ชุมนุมกันหน้าสำนักงานอยู่ขณะนี้ก็กำลังรวบรวมข้อมูลอยู่
แต่สำหรับนายใหญ่แห่งดูไบแล้ว นาทีนี้คือการเปิดหน้าเทหมดหน้าตักไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมกันอีกต่อไป การออกกฎหมายนิรโทษกรรมควบคู่กับการกดดันศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเกิดขึ้นและสำเร็จให้จงได้ ต้องขับเคลื่อนการแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จสิ้น กฎหมายปรองดองต้องลุล่วง และต้องทำลายศาลรัฐธรรมนูญขวากหนามที่ทิ่มแทงระบอบทักษิณ อุปสรรคในการกินรวบประเทศไทยของระบอบทักษิณจะต้องถูกล้มล้างหรือทำลายให้พินาศฉิบหายไปให้จงได้
อารมณ์นาทีนี้ของนายใหญ่แห่งดูไบคงจะใกล้เคียงกับประโยคที่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ....คงไม่ผิดนัก