นายราเมศ รัตนะเชวง คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังนำนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ นายเจริญ คันธวงศ์ นายถวิล ไพรสณฑ์ นายบุรณัชย์ สมุทรักษ์ เข้าพบพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา คดีการหักบัญชีเงินเดือนบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่ก็ขอใช้สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาอย่างเต็มที่เช่นกัน
คดีนี้เมื่อเห็นสำนวนพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเมืองจะต้องมาตกอยู่ในยุคคนไม่ดีครองเมือง ตั้งข้อหาโดยปราศจากความถูกต้อง เพราะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทุกคนบริจาคเงินโดยชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง จึงไม่น่าเชื่อว่า การปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องมาโดนบิดเบือน เพื่อให้เป็นความผิดโดยไร้ซึ่งความเป็นธรรม และเรื่องนี้ปรากฏชัดว่า เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งกกต. เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิด ดังนั้นพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงควรที่จะยุติเรื่องดังกล่าว
** อัด"ยิ่งลักษณ์"หัวหน้ารัฐบาลกุ๊ย
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แม้ทางพรรคจะไม่เห็นด้วยกับการตั้งข้อหาบริจาคเงินเข้าพรรต ของดีเอสไอ ที่อยุติธรรม มากดดันพรรคประชาธิปัตย์ แต่เราก็ไม่ใช้วิธีการกดดันข่มขู่ ยังคงเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยจะใช้สิทธิตามกฎหมายในการปกป้องสิทธิของตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ กกต.ก็มีความเห็นว่า ส.ส.ของพรรคไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพราะการหักเงินจากเงินเดือน มีที่มาที่ไปชัดเจนในการบริจาคให้พรรค แต่ดีเอสไอ ก็ยังเดินหน้าหาเรื่อง จึงคิดว่าดีเอสไอ ต้องรับกรรมที่ทำ และข้าราชการที่ยอมเป็นเบี้ยให้นักการเมือง สุดท้ายต้องรับกรรมเพราะนักการเมืองจะตัดหางปล่อยวัดในวันที่ความจริงปรากฏ
"ขอย้ำให้เห็นความแตกต่างว่า การกลั่นแกล้งพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด เราต่อสู้ตามกฎหมาย แต่พรรคเพื่อไทยกลับใช้มวลชนไปกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นประเทศเดียวในโลก ที่รัฐบาลมีลิ่วล้อเป็นกุ๊ย อันธพาล คอยข่มขู่องค์กรอื่นที่ตรวจสอบรัฐบาล จึงต้องเรียกรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า เป็นรัฐบาลกุ๊ย รัฐบาลอันธพาล เพราะเป็นตัวตั้งตัวตีในการข่มขู่ คุกคามศาล ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องทบทวนว่า จะปล่อยให้รัฐนาวาของตัวเองเป็นเช่นนี้หรือ โดยต้องกำชับให้คนของตัวเองยุติพฤติกรรมเหล่านี้" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
**วุ่นเรื่อง"แม้ว"-เมินปัญหาปากท้องปชช.
นายชวนนท์ ยังตำหนิรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่า มุ่งมั่นแต่เรื่องผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเบื้องหลังรัฐบาล และผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมุ่งไปที่การนิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่เป็นการล้างผิด สร้างอำนาจให้กับตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรหยุดกระบวนการที่จะทำประโยชน์ให้กับฝ่ายตัวเอง แต่หันมาแก้ปัญหาให้ประชาชนที่ยังประสบปัญหาอยู่ เพราะสถานการณ์แพงทั้งแผ่นดินกลับมาอีกแล้ว โดยรุนแรงมากกว่าในปี 2555 ด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ จากการเปรียบระหว่างเดือนเม.ย.ปี 55 กับเดือนเม.ย. ปี 56 พบว่า ราคาแตงกวา จาก กก.ละ 28 บาท เพิ่มเป็น 30 บาท มะนาวจาก ลูกละ 6 บาท เป็น 12 บาท พริกขีดละ 4 บาท เป็น 12 บาท ถั่วฝักยาว กก. ละ 35 บาท เป็น 70 บาท ต้นหอมขีดละ 7 บาท เป็น 15 บาท ผักชี ขีดละ 8 บาท เป็น 15 บาท
"ผมไม่อยากใช้คำว่า โคตรแพงทั้งแผ่นดิน แต่นายกรัฐมนตรีไม่เคยให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้ ทั้งที่ประชาชนและเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก แต่รัฐบาลเอาเวลาทั้งหมดไปมุ่งในการแก้รัฐธรรมนูญ ล้างผิดตัวเอง เอาอำนาจบาทใหญ่ไปข่มขู่คุกคามศาลรัฐธรรมนูญ"
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาแล้งทั้งแผ่นดิน โดยมีพื้นที่ประสบภัยแล้งฉุกเฉิน 49 จังหวัด 34,000 หมู่บ้าน แล้งต่อเนื่องตั้งแต่ต.ค.55 คือ แล้งมายาวนานติดต่อกัน 6 เดือน สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องตระหนักว่า ไม่ควรทุ่มเทเรื่องประโยชน์ทางการเมืองของบุคคลเบื้องหลังรัฐบาล แต่ประชาชนประสบภาวะทั้งแพง และแล้งทั้งแผ่นดิน ในขณะที่เงินกู้ 3.5 แสนล้าน ที่อ้างว่ากู้มาเพื่อบริหารจัดการน้ำก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่กลับมีความไม่โปร่งใส จนกระทั้งนายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. เตรียมไปยื่นร้องเรียนต่อสหประชาชาติ เนื่องจากมีการใช้เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท อย่างไม่โปร่งใส เปิดโอกาสให้มีการทุจริต คอร์รัปชัน ไม่เป็นไปตามระเบียบพัสดุ
นายชวนนท์ กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันเกษตรกรยังมีปัญหายางพาราถูกทั้งแผ่นดิน ทั้งๆที่รัฐบาลอนุมัติเงินทั้งหมด 4.5 หมื่นล้าน เพื่อพยุงราคายางพารา และมีการใช้จริงไปแล้วกว่าสองหมื่นล้านบาท แต่ราคายางพาราลดลงถึง 41 % จึงไม่ทราบเอาเงินไปทำอะไร แต่มีประชาชนร้องเรียนว่าเงินที่ใช้ไปสองหมื่นล้าน ไม่ได้พยุงราคายาง แต่เป็นการพยุงรายได้ของนักการเมืองที่เกี่ยวข้องมีการฮั้วกันจนเกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์ และราคายางพารา ก็ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นการที่รัฐบาลจะทำเวทีเลียนแบบผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ประชาชนอยากทราบว่า จะแก้ปัญหาแพง แล้ง ทั้งแผ่นดินได้อย่างไร มากกว่าที่จะพูดถึงเรื่องประโยชน์ของนักการเมืองในเรื่องการนิรโทษกรรม หรือแก้รัฐธรรมนูญ
**พท.จี้ ปชป.เลิกกดดันดีเอสไอ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ จะฟ้องร้องอธิบดี ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีการหักบัญชีเงินเดือนบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า การฟ้องร้องถือเป็นการกดดันเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เพราะดีเอสไอ มีหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ดังนั้นขอให้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์และส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกเชิญไปรับทราบข้อกล่าวหานั้น ควรให้ความร่วมมือ โดยไปให้ข้อมูลและไปชี้แจงหากคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่ใช่ออกมาแถลงว่าจะมีการฟ้องร้อง หรือออกมาบอกว่าหากไปแล้วห้ามบันทึกภาพ เสียง และไม่เซ็นชื่อ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สง่างาม ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ที่ยืนยันว่าตัวเองไม่ผิด ก็ต้องไปชี้แจง ตนเชื่อว่าดีเอสไอ จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ควรตีโพยตีพาย ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองไม่ผิด หรือดีเอสไอไม่มีอำนาจ ไม่อยากให้ประชาชนมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ กดดันการทำงานของดีเอสไอ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่สง่างาม
ส่วนแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอเลื่อนให้การออกไปนั้น แม้ว่าสามารถทำได้ แต่ไม่สง่างาม มีนัยยะอะไรหรือไม่ หรือว่ายังทำใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน จะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ก็ต้องไปรับทราบข้อกล่าวหา ไม่มีข้อยกเว้น
ส่วนกรณีที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายกรณ์ จาติกวนิช แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ต่างออกมาประสานเสียงว่า การที่ดีเอสไอ เรียกส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ไปรับทราบข้อกล่าวหานั้น เสมือนเป็นการบีบให้ร่วมกระบวนการนิรโทษกรรม เพื่อล้างผิดต่างๆ นั้น นายบัญญัติและนายกรณ์ ก็เป็นผู้ใหญ่ทางการเมือง ไม่น่าจะจินตนาการว่ามีการบีบ ถ้าไม่ได้กระทำผิดเชื่อว่าดีเอสไอ คงไม่เรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรมนั้นเป็นเรื่องของกระบวนการนิติบัญญัติ ไม่อยากให้นำมาเป็นประเด็นการเมือง ว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะเชื่อว่าไม่มีใครชี้นำดีเอสไอได้ และไม่มีใครตั้งข้อหากับพรรคประชาธิปัตย์ที่เชี่ยวชาญข้อกฎหมายได้ แต่เรื่องนี้ตนมองว่า น่าจะเป็นปลาตายนํ้าตื้นมากกว่า
คดีนี้เมื่อเห็นสำนวนพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเมืองจะต้องมาตกอยู่ในยุคคนไม่ดีครองเมือง ตั้งข้อหาโดยปราศจากความถูกต้อง เพราะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทุกคนบริจาคเงินโดยชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง จึงไม่น่าเชื่อว่า การปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องมาโดนบิดเบือน เพื่อให้เป็นความผิดโดยไร้ซึ่งความเป็นธรรม และเรื่องนี้ปรากฏชัดว่า เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งกกต. เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิด ดังนั้นพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงควรที่จะยุติเรื่องดังกล่าว
** อัด"ยิ่งลักษณ์"หัวหน้ารัฐบาลกุ๊ย
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แม้ทางพรรคจะไม่เห็นด้วยกับการตั้งข้อหาบริจาคเงินเข้าพรรต ของดีเอสไอ ที่อยุติธรรม มากดดันพรรคประชาธิปัตย์ แต่เราก็ไม่ใช้วิธีการกดดันข่มขู่ ยังคงเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยจะใช้สิทธิตามกฎหมายในการปกป้องสิทธิของตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ กกต.ก็มีความเห็นว่า ส.ส.ของพรรคไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพราะการหักเงินจากเงินเดือน มีที่มาที่ไปชัดเจนในการบริจาคให้พรรค แต่ดีเอสไอ ก็ยังเดินหน้าหาเรื่อง จึงคิดว่าดีเอสไอ ต้องรับกรรมที่ทำ และข้าราชการที่ยอมเป็นเบี้ยให้นักการเมือง สุดท้ายต้องรับกรรมเพราะนักการเมืองจะตัดหางปล่อยวัดในวันที่ความจริงปรากฏ
"ขอย้ำให้เห็นความแตกต่างว่า การกลั่นแกล้งพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด เราต่อสู้ตามกฎหมาย แต่พรรคเพื่อไทยกลับใช้มวลชนไปกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นประเทศเดียวในโลก ที่รัฐบาลมีลิ่วล้อเป็นกุ๊ย อันธพาล คอยข่มขู่องค์กรอื่นที่ตรวจสอบรัฐบาล จึงต้องเรียกรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า เป็นรัฐบาลกุ๊ย รัฐบาลอันธพาล เพราะเป็นตัวตั้งตัวตีในการข่มขู่ คุกคามศาล ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องทบทวนว่า จะปล่อยให้รัฐนาวาของตัวเองเป็นเช่นนี้หรือ โดยต้องกำชับให้คนของตัวเองยุติพฤติกรรมเหล่านี้" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
**วุ่นเรื่อง"แม้ว"-เมินปัญหาปากท้องปชช.
นายชวนนท์ ยังตำหนิรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่า มุ่งมั่นแต่เรื่องผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเบื้องหลังรัฐบาล และผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมุ่งไปที่การนิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่เป็นการล้างผิด สร้างอำนาจให้กับตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรหยุดกระบวนการที่จะทำประโยชน์ให้กับฝ่ายตัวเอง แต่หันมาแก้ปัญหาให้ประชาชนที่ยังประสบปัญหาอยู่ เพราะสถานการณ์แพงทั้งแผ่นดินกลับมาอีกแล้ว โดยรุนแรงมากกว่าในปี 2555 ด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ จากการเปรียบระหว่างเดือนเม.ย.ปี 55 กับเดือนเม.ย. ปี 56 พบว่า ราคาแตงกวา จาก กก.ละ 28 บาท เพิ่มเป็น 30 บาท มะนาวจาก ลูกละ 6 บาท เป็น 12 บาท พริกขีดละ 4 บาท เป็น 12 บาท ถั่วฝักยาว กก. ละ 35 บาท เป็น 70 บาท ต้นหอมขีดละ 7 บาท เป็น 15 บาท ผักชี ขีดละ 8 บาท เป็น 15 บาท
"ผมไม่อยากใช้คำว่า โคตรแพงทั้งแผ่นดิน แต่นายกรัฐมนตรีไม่เคยให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้ ทั้งที่ประชาชนและเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก แต่รัฐบาลเอาเวลาทั้งหมดไปมุ่งในการแก้รัฐธรรมนูญ ล้างผิดตัวเอง เอาอำนาจบาทใหญ่ไปข่มขู่คุกคามศาลรัฐธรรมนูญ"
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาแล้งทั้งแผ่นดิน โดยมีพื้นที่ประสบภัยแล้งฉุกเฉิน 49 จังหวัด 34,000 หมู่บ้าน แล้งต่อเนื่องตั้งแต่ต.ค.55 คือ แล้งมายาวนานติดต่อกัน 6 เดือน สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องตระหนักว่า ไม่ควรทุ่มเทเรื่องประโยชน์ทางการเมืองของบุคคลเบื้องหลังรัฐบาล แต่ประชาชนประสบภาวะทั้งแพง และแล้งทั้งแผ่นดิน ในขณะที่เงินกู้ 3.5 แสนล้าน ที่อ้างว่ากู้มาเพื่อบริหารจัดการน้ำก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่กลับมีความไม่โปร่งใส จนกระทั้งนายอุเทน ชาติภิญโญ อดีตคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. เตรียมไปยื่นร้องเรียนต่อสหประชาชาติ เนื่องจากมีการใช้เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท อย่างไม่โปร่งใส เปิดโอกาสให้มีการทุจริต คอร์รัปชัน ไม่เป็นไปตามระเบียบพัสดุ
นายชวนนท์ กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันเกษตรกรยังมีปัญหายางพาราถูกทั้งแผ่นดิน ทั้งๆที่รัฐบาลอนุมัติเงินทั้งหมด 4.5 หมื่นล้าน เพื่อพยุงราคายางพารา และมีการใช้จริงไปแล้วกว่าสองหมื่นล้านบาท แต่ราคายางพาราลดลงถึง 41 % จึงไม่ทราบเอาเงินไปทำอะไร แต่มีประชาชนร้องเรียนว่าเงินที่ใช้ไปสองหมื่นล้าน ไม่ได้พยุงราคายาง แต่เป็นการพยุงรายได้ของนักการเมืองที่เกี่ยวข้องมีการฮั้วกันจนเกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์ และราคายางพารา ก็ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นการที่รัฐบาลจะทำเวทีเลียนแบบผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ประชาชนอยากทราบว่า จะแก้ปัญหาแพง แล้ง ทั้งแผ่นดินได้อย่างไร มากกว่าที่จะพูดถึงเรื่องประโยชน์ของนักการเมืองในเรื่องการนิรโทษกรรม หรือแก้รัฐธรรมนูญ
**พท.จี้ ปชป.เลิกกดดันดีเอสไอ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ จะฟ้องร้องอธิบดี ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีการหักบัญชีเงินเดือนบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า การฟ้องร้องถือเป็นการกดดันเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เพราะดีเอสไอ มีหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ดังนั้นขอให้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์และส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกเชิญไปรับทราบข้อกล่าวหานั้น ควรให้ความร่วมมือ โดยไปให้ข้อมูลและไปชี้แจงหากคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่ใช่ออกมาแถลงว่าจะมีการฟ้องร้อง หรือออกมาบอกว่าหากไปแล้วห้ามบันทึกภาพ เสียง และไม่เซ็นชื่อ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สง่างาม ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ที่ยืนยันว่าตัวเองไม่ผิด ก็ต้องไปชี้แจง ตนเชื่อว่าดีเอสไอ จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ควรตีโพยตีพาย ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองไม่ผิด หรือดีเอสไอไม่มีอำนาจ ไม่อยากให้ประชาชนมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ กดดันการทำงานของดีเอสไอ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่สง่างาม
ส่วนแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอเลื่อนให้การออกไปนั้น แม้ว่าสามารถทำได้ แต่ไม่สง่างาม มีนัยยะอะไรหรือไม่ หรือว่ายังทำใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน จะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ก็ต้องไปรับทราบข้อกล่าวหา ไม่มีข้อยกเว้น
ส่วนกรณีที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายกรณ์ จาติกวนิช แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ต่างออกมาประสานเสียงว่า การที่ดีเอสไอ เรียกส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ไปรับทราบข้อกล่าวหานั้น เสมือนเป็นการบีบให้ร่วมกระบวนการนิรโทษกรรม เพื่อล้างผิดต่างๆ นั้น นายบัญญัติและนายกรณ์ ก็เป็นผู้ใหญ่ทางการเมือง ไม่น่าจะจินตนาการว่ามีการบีบ ถ้าไม่ได้กระทำผิดเชื่อว่าดีเอสไอ คงไม่เรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรมนั้นเป็นเรื่องของกระบวนการนิติบัญญัติ ไม่อยากให้นำมาเป็นประเด็นการเมือง ว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะเชื่อว่าไม่มีใครชี้นำดีเอสไอได้ และไม่มีใครตั้งข้อหากับพรรคประชาธิปัตย์ที่เชี่ยวชาญข้อกฎหมายได้ แต่เรื่องนี้ตนมองว่า น่าจะเป็นปลาตายนํ้าตื้นมากกว่า