ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความจริงประการหนึ่งที่คนกรุงเทพฯ ต้องยอมรับร่วมกันคือ ไม่ว่าศึกเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร(กทม.) จะจบลงด้วยฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ แต่ผลที่ออกมาเหมือนกันคือ ทุกคนไม่อาจหลีกพ้น “ความซวย” ที่เกิดขึ้นได้
เพียงแต่ว่าความซวยจะออกมาในรูปแบบใดเท่านั้น
ทั้งนี้ ถ้าหาก “ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร” ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ชนะ คนกรุงก็ต้องเจอกับความซวยในลักษณะของ “ซวยแล้วซวยต่อ(ไป)” เพราะสะท้อนให้ว่าคนกรุงจมจ่อมอยู่กับความหวาดกลัว ติดกับดักของพรรคดีแต่พูด จนมิได้สนใจว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้ทำอะไรให้คนกรุงเทพฯ บ้าง
แต่ถ้า “จูดี้-พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ” ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยชนะ คนกรุงและประเทศไทยก็ต้องเจอกับความซวยในรูปลักษณ์ของ “ซวยแบบไร้รอยต่อ” นโยบายประชานิยมที่สร้างหายนะให้กับประเทศอย่างบ้าคลั่ง เช่น โครงการรับจำนำข้าว โครงการรับจำนำข้าว ฯลฯ จะถูกนำมาใช้มอมเมาคนกรุงเทพฯ อย่างบ้าคลั่ง
ดังนั้น ไม่ว่าใครชนะก็มิได้มีความแตกต่างกัน เพราะสุดท้ายคนกรุงเทพฯ ก็ถูกพรรคการเมืองทั้งสองพรรคจับเป็นตัวประกันอย่างมิรู้จักจบสิ้น เพราะถ้าจะว่าไปแล้วพฤติกรรมที่ผ่านมาของพรรคต้นสังกัดของผู้สมัครทั้งคู่ก็มิได้แตกต่างกัน เพียงแต่มีสภาพหรือมีลักษณะของปลายเชือกคนละด้านเท่านั้น
กระนั้นก็ดี คำถามเดิมและคำถามสุดท้ายที่สังคมกระหายใคร่รู้ก็ยังวนเวียนซ้ำซากเช่นเคยว่า สรุปแล้ว ระหว่างคุณชายหมูกับจูดี้ใครจะเป็นผู้ชนะ
กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ มีความสำคัญกับทั้ง 2 ฝ่าย ต่างฝ่ายต่างมีเดิมพันสูง ต่างฝ่ายต่างแพ้ไม่ได้ โดยทางพรรคประชาธิปัตย์ พื้นที่ กทม.ถือเป็นหม้อข้าวใบสุดท้าย เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในทางปัจจัยและต้นทุนคะแนนเสียงทางการเมืองที่ยังพอเหลืออยู่ ขณะที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยหมายมั่นปั้นมือตีเมืองหลวงแตก เพราะนอกจากได้ทุบทำลายฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว ยังเป็นการรุกเข้ายึดกุมพื้นที่ฐานเสียงสำคัญที่ตัวเองติดแต้มลบเสมอมาอีกด้วย เพื่อเป็นแต้มต่อไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปและหากชนะนั่นหมายถึงการประกาศศักดากินรวบทางการเมืองอีกด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าว ช่วงที่ผ่านมา ประชาชนคงจะได้เห็นสารพัดวิธีสารพัดกลยุทธ์หาเสียงหลากหลายรูปแบบที่ทั้งสองฝ่ายออกแรงกันสุดฤทธิ์ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้หากดูในกระแสและวัดในความเป็นจริงแล้วต้องบอกว่าสูสีอยู่ในระดับที่เรียกว่าเสียวสันหลังทั้งคู่เลยทีเดียว
ในช่วงแรกก่อนจะถึงโค้งสุดท้าย ดูเหมือนว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ตกเป็นรอง พล.ต.อ.พงศพัศอย่างเห็นได้ชัด โดยวัดจากผลโพลจากทุกสำนักที่ออกมาในทำนองเดียวกันว่า มีแต้มตามอยู่หลายขุม เพราะคนกรุงไม่เคยเห็นผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันจากตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์กระทั่งต้องมีการปรับกลยุทธ์การตลาดขนานใหญ่
นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถึงขนาดออกมากระทุ้งนายอภิสิทธิ์ว่า หากแพ้ศึกครั้งนี้จะต้องพิจารณาตัวเอง ดังนั้นแล้วจึงไม่ต้องแปลกใจอันใด หากช่วงโค้งสุดท้ายจะเห็นบรรดาคนในพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ออกมาช่วงโหมกำลังช่วยคุณชายหมูกันยกใหญ่
ไม่เว้นแต่นักการเมืองระดับตำนานของพรรค อดีตหัวหน้าพรรคอย่าง นายชวน หลีกภัย ที่ออกลงทุนออกมาขึ้นเวทีปราศรัย ทิ้งไพ่เด็ดโดยทิ้งน้ำหนักไปที่เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง คนกรุงอย่าปล่อยให้ใครกินรวบประเทศ
นายหัวชวนระบุว่า “ใครเผาบ้านเผาเมือง ไม่ควรได้รับนิรโทษกรรม หรือลดโทษให้ ใครอยากจะเลือกพวกที่รักษาหลักบ้านเมือง หรือไม่รักษาหลักบ้านเมืองให้ตัดสินใจกันเอง บ้านเมืองต้องมีรอยต่อ อย่าให้ใครมากินรวบ เพราะรอยต่อคือระบบการคานอำนาจ ความเป็นต่างพรรคไม่เป็นอุปสรรค กลัวอย่างเดียวคือทรราชเพราะความคิดนี้เป็นของทรราชเท่านั้น ให้รู้ไปว่าประชาชนต้องการคนเผาบ้านเผาเมือง แต่ผมคิดว่าคนกรุงเทพฯฉลาดพอ"
เรียกว่า บาดคม ครบถ้วนกระบวนความเป็นพรรคประชาธิปัตย์มา ทุกกระเบียดนิ้ว
เป็นกลยุทธ์ที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของการเลือกผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ กับนัยที่จะเกิดตามมา โดยเฉพาะหากผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น “การกินรวบ” หรือการที่คนกรุงเทพฯ จะตกเป็นตัวประกันจะมีการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ และผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
หรือจะเป็นคำพูดบาดลึกของนายกรณ์ จาติกวนิช ก็เรียกว่าถอดแบบมาแบบไม่ผิดเพี้ยนเช่นกัน ในวลีที่ว่า “คนกรุงเทพฯจะลืมเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองไม่ได้ หากผู้สมัครของเขา (พรรคเพื่อไทย) ชนะเขาก็จะยิ้มเยาะว่า คนกทม.ขี้ลืม และเขาจะเอากรุงเทพฯเป็นตัวประกัน และเอากรุงเทพฯเป็นสมรภูมิอีกครั้ง”
ไม่เว้นแต่ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ที่ลงทุนสวมวิญญาณระดับดาราตุ๊กตาทอง แถลงเปิดใจโค้งสุดท้ายที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงว่า “ขอบคุณทีมงานพรรคที่ช่วยรณรงค์หาเสียง ขอบคุณประชาชนที่ให้โอกาสทำงานตลอด 4 ปี ขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้โอกาสลงสมัครทั้งในปี 2551 และครั้งนี้ โดยการทำงานเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพ 4 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นความฝันสูงสุดในชีวิต ชนิดที่ว่าหยุดหายใจไปก็คุ้มค่า” โดยเมื่อพูดถึงตอนนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ถึงหลั่งน้ำตาออกมา
เรียกว่าหวานซึ้งหยดย้อย ชนิดแม่ยกประชาธิปัตย์เห็นภาพนี้แล้วต้องรีบยกโขยงกันไปเทคะแนนให้โดยไวในทันทีก็แล้วกัน
แน่นอนที่พรรคประชาธิปัตย์ ต้องจัดหนักในโค้งสุดท้ายขนาดนี้ เพราะเห็นแล้วว่าสถานการณ์เป็นรองซึ่งวันนี้แทบไม่ต่างกับสถานการณ์เมื่อตอนเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่ ปชป.ต้องตัดสินใจไปเปิดเวทีที่ราชประสงค์ ซึ่งคนใน ปชป.เชื่อว่าเพราะเวทีนั้น ทำให้พรรคแมลงสาบสามารถพลิกเกมกลับมาคว้าชัยชนะสนาม กทม.ได้
ผนวกไปกับการปล่อยสโลแกนในโค้งสุดท้ายว่า “ซื่อสัตย์ ไม่โกง” มาขอโอกาสอีกครั้งจากคน กทม. ซึ่งแน่นอนว่ากระแทกผู้สมัครจากพรรครัฐบาลเต็มๆ โดยเฉพาะสโลแกน “ไร้รอยต่อ” ที่คนฝั่งประชาธิปัตย์บอกว่าจะเป็นการ “กินรวบ” และที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือด้วยตรรกะอันแน่วแน่ของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ที่มาถึงทางตันแล้วจำเป็นต้องขุดวิชาก้นหีบในลักษณะที่กล่าวมานี้ ยังได้ลามไปถึงป้ายหาเสียงเบอร์ 16 ของคุณชายหมู ที่โดยปกติแล้วจะบอกนโยบายต่างๆนานา มาถึงนาทีกลับกลายเป็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องนำสติ๊กเกอร์สีชมพูขนาดใหญ่มาแปะคาดป้ายหาเสียง โดยในเนื้อหาก็ยังคงเน้นย้ำวิชาก้นกุฏิโค้งสุดท้ายของตัวเอง
อาทิ ข้อความ"รวมพลังหยุดผูกขาดประเทศไทย" "ซื่อสัตย์ไม่โกง" ฯลฯ
เรียกว่านโยบายต่างๆนานา ที่ลงทุนลงแรงหาเสียงในช่วงที่ผ่านมาพับเก็บเรียบไม่สนอะไรทั้งสิ้น
แน่นอน ในมุมหนึ่งวิธีดังกล่าวไม่ต่างจากการประจานตัวเองว่าไม่หลงเหลือความดีอะไรให้ขาย กลายเป็นเอาความกลัวมาขู่คนกรุงอีกตามฟอร์มอย่างที่เคยใช้ตอนช่วงเลือกตั้งใหญ่ไม่มีผิดเพี้ยนเลยด้วยซ้ำ
กล่าวถึงวิชามารอีกอย่างหนึ่งก็คือการปล่อยข่าวดิสเครดิต ผู้สมัครคนอื่น อาทิเช่น กรณีนายสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครผู้ว่ากทม.เบอร์17 ถูกปล่อยข่าวในโซเซียลเน็ตเวิร์คกันว่ามาเป็นแขก เป็นคนต่างชาติที่ไม่ใช่ไทยแท้ แถมรับงานจากนายห้างดูไบมาทำให้เกิดเสียงแตกบ้าง ยิ่งทำท่าว่าเสียงของนายสุหฤทดีวันดีคืน ก็ยิ่งโดนเล่นงานหนัก หรือนายโฆษิต สุวินิจจิต ผู้สมัครเบอร์ 10 ซึ่งถูกมือดีในนำรูปภาพโพสต์ลงโซเซียลเน็ตเวิร์ค โดยมีรูปของนายโฆษิตและนางยุวดี บุญครอง ภรรยา เคยเดินกับนช.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อเชื่อมโยงในประเด็นที่กล่าวหาว่านายโฆษิต ถูกส่งมาเป็นนอมินี มาเป็นอะไหล่ตัวเลือกเพื่อตัดเสียงคนกทม.
เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครเบอร์ 11 ที่ถูกปล่อยข่าวว่าเคยเป็นสมาชิกเพื่อไทยมาก่อนและในครั้งนี้ลงสมัครก็เพื่อเป็นนอมินีให้ นช.ทักษิณ เป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ ที่ก้าวร้าว
ถามว่าใครถนัดเล่นเกมการเมืองลักษณะนี้ คงไม่ต้องเฉลยเพราะคำตอบมีอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันต้องบอกว่า ยุทธศาสตร์ที่พรรคประชาธิปัตย์เดินเกมในโค้งสุดท้ายดูจะได้ผลไม่น้อยเช่นกัน เพราะถือว่ามีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการปลุกกระแส สร้างบรรยากาศให้เบี่ยงเบนไปอีกแบบ โดยเฉพาะแผนต่อเนื่องจากกระแส"ไม่เลือกเราเขามาแน่" มาจนถึง"สะกิดอารมณ์โกรธเรื่องเผาเมือง" ขึ้นมา พร้อมกับระดมพลออกมาหาเสียงปูพรมพร้อมกันครั้งใหญ่ในช่วงโค้งสุดท้าย โดยเฉพาะการพุ่งเป้าเจาะจงไปที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร อีกรอบตอกย้ำ ใน เรื่องแผน "ยึดเมืองหลวง" แบบเบ็ดเสร็จ
ด้วยเหตุดังกล่าว การเลือกตั้งครั้งนี้แม้ผลจะยังไม่ออกมา แต่เมื่อสดับตรับฟังกระแสคนเมืองกรุงที่ยังคงติดกับดักแห่งความหวาดกลัว จึงทำให้สามารถฟันธงล่วงหน้าได้ว่า คุณชายหมูแห่งพรรคประชาธิปัตย์จะประสบผลสำเร็จได้กลับมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.อีกหนึ่งครั้ง
นี่คือ Return of Cockroach king
นี่คือการกลับมาของราชาแมลงสาบ
นี่คือชัยชนะของราชาแมลงสาบที่ได้มาบนซากศพของผู้สมัครคนอื่นๆ ที่ถูกเล่นงานอย่างไร้ความปราณี และกับดักความหวาดกลัวของคนกรุง
ถามว่าประชาชนคนกทม.ใครรักชื่นชอบนโยบายของคุณชายหมูบ้าง
ถามว่าที่ผ่านมาใครนิยมชมชอบผลงานอันไร้รูปธรรมจับต้องไม่ได้ของคุณชายหมูบ้าง
ถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ดีเลิศประเสริฐกว่าพรรคเพื่อไทยตรงไหน
คำตอบของคนส่วนใหญ่ที่จะยอมยกคะแนนให้คนกทม.จึงไม่พ้นความกลัวเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งคงต้องบอกว่าเป็นมุขหากินที่ดูจะได้ผลอย่างชะงัดทีเดียว
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในอีกโมเมนตัม จะเห็นว่ากระแสของพล.ต.อ.พงศพัศเริ่มแผ่วลงจริงๆ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงแรกๆ
ในช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม แกนนำเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์เป็นต้น กลับหายหัวไปแบบดื้อๆ นั่นแสดงว่าต้องการหลบกระแสความเกลียดของคนกรุงเทพฯไม่กล้าเอาออกมาโชว์ตัว หรือแม้แต่ตัวนช.ทักษิณ ก็เก็บตัวเงียบ แสดงว่าผวากับอารมณ์คนกรุงเช่นกัน เพราะทำไปทำมาชาวกรุงเทพฯ เริ่มสำนึกได้ว่าพรรคเพื่อไทยได้สร้างเวรกรรมอะไรมาบ้าง
ถามว่าตั้งแต่เป็นรัฐบาลมาเกือบ 2 ปี นอกจากนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแต่งตัวสวยด้วยแฟชั่นไม่ซ้ำกันสักวันแล้วอย่างอื่นมีผลงานอะไรบ้าง เอาเรื่อง ใกล้ตัวก่อนเช่นเรื่อง ปากท้อง มันต่างจากรัฐบาลอื่นอย่างไรบ้าง ไม่ต้องเพ้อฝันถึงอะไรให้ใหญ่โต เมื่อระดับชาติไม่ได้เรื่องอย่างไร ต่อไปท้องถิ่นมันก็ไม่ต่างกัน ยิ่งตัวพล.ต.อ.พงศพัศ ที่อาสามาเป็นผู้ว่าฯ ตลอดชีวิตรับราชการมีแต่เรื่องสร้างภาพ ไม่เคยมีความกล้าหาญสร้างความโดดเด่น แค่คุ้นหน้าคุ้นตาแม่ค้าร้านตลาดเท่านั้นถึงได้ถูก นช.ทักษิณ เลือกมาลงสู้ศึกครั้งนี้
ขณะเดียวกันสโลแกนที่ชูขึ้นมาก่อนหน้านี้คือขอโอกาสทำงานกับรัฐบาลแบบ"ไร้รอยต่อ" หากผู้ว่าฯกรุงเทพมหานครเป็นคนจากพรรคเพื่อไทยกลายเป็นว่ากำลังถูกปลุกให้เห็นว่า “ถ้าโกงแบบไร้รอยต่อ” เพราะปัจจุบันขนาด “โกงแบบมีรอยต่อ” ชาวบ้านยังแย่กันขนาดนี้ ถ้าสุมหัวกันโกงทั้งรัฐบาลและท้องถิ่นมันไม่ไปกันใหญ่หรือ รวมไปถึงคนกรุงเทพฯคงต้องได้รู้จักกับเรื่อง "หุ่นเชิด" รายใหม่ มากขึ้นอีกคน หลังจากมีนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประจักษ์ในเรื่องความรู้ความสามารถมาแล้ว ต่อไปเราก็จะมีผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ที่ต้องรับฟังคำสั่งจาก "ดูไบ"ไปอีกคน
ถามว่า ได้พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้วอะไรจะดีขึ้น
คงต้องกางความเป็นตัว พล.ต.อ.พงศพัศออกมาให้เห็นทีละขด ซึ่งสุดท้ายก็นึกไม่ออกมา เคยทำงานอะไรมาบ้าง นอกจากการออกสื่อจนได้ฉายา “ดาราสีกากี” ดังนั้น จงอย่าแปลกใจเมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งจึงเห็น พล.ต.อ.พงศพัศ ขับรถเมล์บ้างเก็บขยะบ้าง เปิดฝาท่อน้ำทิ้งบ้าง โชว์ให้เห็นในหน้า หนังสือพิมพ์ และจอโทรทัศน์ ส่วนความจริงใจที่จะช่วยแก้ปัญหา ช่วยให้กรุงเทพฯดีขึ้นอย่างที่โฆษณาไว้ก็คงไม่ต้องถามว่ามีมากแค่ไหน เป้าประสงค์ของพรรคเพื่อไทยมีเพียงแค่เข้ากระชับอำนาจทางการเมืองในส่วนของกทม.เพียงเท่านั้น เรื่องอื่นลืมไปได้เลย
กลับกันฝั่งพรรคประชาธิปัตย์เองที่คอยขยายภาพความกลัวให้คนกรุงด้วยภาพเผาบ้านเผาเมือง ย้อนกลับไปครั้งหนึ่ง คงไม่มีใครลืมว่า ไม่ใช่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์หรอกหรือ ที่สมยอมให้คนประกันตัวพวกเผาเมืองกลับมาในช่วงที่ตนเองครองอำนาจเป็นรัฐบาลอยู่ แต่มาถึงวันนี้หลับมาบอกว่า ระวังประเทศไทยจะถูกกินรวบ ไม่ต้องอื่นไกลหากจะหยิบยกตรรกะทางการเมืองขึ้นมาสักตัวอย่าง อาทิ กรณี MOU 44 นช.ทักษิณก็มาสวมตอต่อจาก MOU 43 พอประชาธิปัตย์ขึ้นมาก็เอาเรื่องปราสาทพระวิหารเข้าสู่ศาลโลก ที่สุดแล้วมันก็คือเชือกเส้นเดียวกันของบรรดานักการเมืองยี่ห้อประเทศไทยเพียงแต่อยู่คนละด้านเท่านั้น
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ หากคิดย้อนไป ม.ร.ว.สุขุมพันธ์นั้นเป็นผู้ว่าฯกทม.มา 4 ปี บวกกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อีก 2 สมัย 5 ปีก่อนหน้านั้น เท่ากับมีคนของพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ว่าฯกทม.ติดต่อกันยาวนาน 9 ปีเต็ม แต่พอถึงเวลาที่ต้องเลือกตั้งกันใหม่แทนที่จะเป็นฝ่ายมีเปรียบ กลับกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีผลงานอะไรที่จะหยิบฉวยขึ้นมาเป็นอาวุธต่อสู้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทยได้เลย เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าตลอด 9 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ทำอะไรเพื่อคนกทม.บ้าง
คนกทม.ได้ประโยชน์อันใดกับการครองตำแหน่งของพรรคประชาธิปัตย์บ้าง
นั่นเป็นคำถามที่สำคัญ
หากที่สุดแล้ว คุณชายหมูได้กลับมาครองตำแหน่งนี้เป็นครั้งที่สอง กทม.ก็จะไม่ต่างอะไรจากอู่ข้าวอู่น้ำที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของพรรคแมลงสาบ เพราะภายใต้การนำของหัวหน้าแมลงสาบตัวปัจจุบัน คงฝันถึงชัยชนะในการเลือกตั้งใหญ่ได้ยาก ดังนั้น การมะรุมมะตุ้มเพื่อเข้ามามีอำนาจในกทม.ของแมลงสาบน้อยใหญ่ก็จะเป็นไปอย่างดุเดือด
ถ้าพรรคเพื่อไทยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรถูกตั้งข้อหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง จ่ายเงินเยียวยาให้คนเผาบ้านเผาเมือง 7.5 ล้านบาท มีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นงบน้ำ ท่วม สร้างความฉิบหายให้กับงบประมาณ ของชาติด้วยนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ด
พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องตอบคำถามให้ได้เช่นกันว่าแล้วทำไมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นปล่อยให้มีการเผาบ้านเผาเมือง แทบยังมิได้ปกป้องทหารที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ปล่อยให้มีการนำตัวขึ้นศาลและตายฟรี แถมยังไม่สามารถแก้ตัวเรื่องปลากระป๋องเน่า ปัญหาทุจริตงบประมาณไทยเข้มแข็ง ปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน ฯลฯ
มาถึงตรงนี้แล้ว ต้องบอกว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาคือชัยชนะของนักการเมือง มิใช่ชัยชนะของคนกรุงเทพฯ เลยแม้แต่น้อย