ปชป.ออกแคมเปญหาเสียงโค้งสุดท้าย ชู "สุขุมพันธุ์"ไม่โกง "มาร์ค"ลุยพารากอน นั่งทับรอย "ปู" พร้อมกระตุ้นต่อมกลัวคนกรุง หากพท.ชนะการเลือกตั้ง แล้วนำไปเป็นเงื่อนไขในการนิรโทษ"แม้ว" ปัดเดิมพันเก้าอี้หาก"ชายหมู"แพ้ ด้าน"เพื่อไทย" ท้าให้มาสู้กันด้วยนโยบาย อย่ามาเสี้ยมให้แตกแยก ปธ.กกต.กทม.ระบุ "ยิ่งลักษณ์"ช่วยหาเสียงในนามนายกฯ ส่อขัด ม.60 กม.เลือกตั้ง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ผอ.ศูนย์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ทางพรรคได้จัดทำเสื้อเพื่อให้อาสาสมัครช่วยหาเสียงของพรรค ใส่รณรงค์หาเสียงในช่วง 7 วันสุดท้าย โดยจะมีข้อความบนเสื้อว่า "ซื่อสัตย์ ไม่โกง" เพื่อเป็นการสะท้อนนโยบายสำคัญของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรค ในเรื่องการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชัน และการส่งเสริมความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้ดำเนินการตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยมีหลักสูตรโตไปไม่โกง เพื่อให้การศึกษาอบรมนักเรียนโรงเรียนในสังกัดกทม.
ทั้งนี้ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามจากฝ่ายตรงข้าม ในการยัดเยียดข้อหาการทุจริต ให้กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยเฉพาะการต่อสัญญารถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งสุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทุจริต ซึ่งจะสะท้อนว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต
ดังนั้นในช่วง 7 วันสุดท้ายนี้ พรรคจึงเน้นรณรงค์เรื่องความซื่อสัตย์ และไม่โกง ซึ่งเชื่อว่า คนกทม. จะสามารถเปรียบเทียบผู้สมัครของพรรค ที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต กับผู้สมัครคนอื่นได้ ว่าแตกต่างกันอย่างไร
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดให้มีอาสาสมัครสังเกตการณ์เลือกตั้งเท่ากับจำนวนหน่วยเลือกตั้ง ที่กกต. กำหนด จำนวนคือ 6,506 หน่วย พรรคจึงให้อาสาสมัครไปสังเกตการณ์ตามหน่วยเลือกตั้ง 6,505 คน ตรวจสอบการเลือกตั้ง ตั้งแต่ก่อนเปิดหน่วยเลือกตั้ง โดยจะขอเปิดดูหีบบัตรเลือกตั้ง และหน่วยเลือกตั้ง รวมทั้งช่วงการลงคะแนนเสียง ก็จะตรวจสอบว่า มีบุคคลใด กลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ที่กระทำการผิดกฎหมายหรือไม่ หรือชักชวนให้คนไปลงคะแนนเสียง หรือข่มขู่ ขัดขวางผู้มาเลือกตั้ง รวมทั้งเฝ้าระวังการนับคะแนนเสียง
ขณะเดียวกันพรรคได้สั่งการให้ ส.ส., ส.ก., ส.ข. และสาขาพรรค กระจายกำลังไปดูการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งในจุดที่มีหน่วยเลือกตั้งรวมตัวกันมาก และหน่วยเลือกตั้งที่อยู่ในที่เร้นลับ ซึ่งก็เชื่อว่า บุคลากรของพรรคจะมีส่วนช่วยจับตา ไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบหรือทุจริตจนทำให้ผู้สมัครของพรรคเกิดความเสียหาย และให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรมมากขึ้น
เมื่อถามว่า การส่งอาสาสมัครเป็นการตอบโต้กลุ่มนปช. ที่ส่งอาสามัครไปประจำหน่วยเลือกตั้งเช่นกันหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องการตอบโต้ แต่เป็นเรื่องที่พรรคเตรียมการไว้ล่วงหน้าระยะหนึ่งแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็ได้มีการกระจายการอบรมอาสาสมัครทุกเขต 50 เขต ซึ่งการดำเนินการของกลุ่มนปช. หากไปทำงานตามปกติโดยสุจริต ก็ไม่น่าเป็นห่วงว่าจะมีเหตุการณ์อะไร และขอให้ไปช่วยกันจับตาสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะเกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่เพื่อประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง
**ห่วงใช้ผลเลือกตั้ง โยงนิรโทษ"แม้ว"
เมื่อเวลา 12.30 น.วานนี้ (25ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค และภรรยา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน พร้อมตอบข้อถามว่า ช่วงโค้งสุดท้ายอะไรจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าประชาชนคงดูว่า ทางเลือกตอนนี้เป็นทางเลือก ระหว่างอะไรกับอะไร ซึ่งสิ่งที่เรายืนยันคือ การที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำงานรับใช้คนกทม. มาเป็นเวลานานยังมีความพร้อมที่จะเร่งทำงาน ซึ่งนำไปสู่ความมั่นคงและเราเชื่อมั่นว่าแนวทางการทำงานที่อยู่กับความจริงและยึดประโยชน์ของส่วนรวม มีความซื่อสัตย์ รวมถึงเป็นที่พึ่งให้ประชาชนในยามวิกฤตได้ จะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เมืองของเรามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ระบุว่า การที่ นายอภิสิทธิ์ ต้องการให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ชนะการเลือกตั้ง เพราะไม่อยากให้ตัวเองพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยคิดเรื่องนี้ แต่ตนเป็นห่วงเรื่องที่ นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. จะถูกนำไปเป็นเงื่อนไขในการนิรโทษกรรม และกระทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย
ทั้งนี้ยืนยันว่า พวกตนไม่มีใครกังวล เพราะการเลือกตั้งจะแพ้ หรือชนะเป็นเรื่องปกติ และตนก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาตลอดว่า เรื่องตำแหน่งไม่สำคัญ แต่สิ่งที่เราทุ่มเทในวันนี้ เพราะอยากให้คนกรุงเทพฯ ทราบความจริง เนื่องจากการนำเสนอโฆษณาชวนเชื่อ หรือโฆษณาหาเสียงบางครั้งก็ไม่ได้ให้ความจริงกับประชาชน แต่เราเป็นฝ่ายให้ประชาชน ตนคิดว่า นายจาตุรนต์ อย่าไปหวั่นไหวกับการให้ความจริงของพวกตนเลย
"ผมไม่มีเรื่องเดิมพัน เพราไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งสำคัญทำให้กรุงเทพฯ เดินหน้า และอยากให้คนกรุงเทพฯ มีพรรคการเมืองที่สามารถรับใช้ และยืนหยัดต่อสู้เพื่อคนกรุงเทพฯ รวมถึงสามารถทำให้ระบอบประชาธิปไตยมีความสมบูรณ์ เรื่องของผมเรื่องเล็ก แต่เรื่องคนกรุงเทพฯ และเรื่องบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ไม่รู้ว่าทำไมคุณจาตุรนต์ จึงคิดเล็กคิดน้อย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
**เย้ยปชป.หมดมุก เล่นเกมสาดโคลน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดระหว่างหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะ จะยึดกทม.และนำไปสู่การขยายผลนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นถือเป็นการหาเสียงที่ไม่สร้างสรรค์ มุ่งหวังให้คนกทม. เกิดความกลัว ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ตนเชื่อว่าคนกทม.ไม่มีใครมาชี้นำได้ สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ พยายามบอกนั้น ไม่เป็นความจริง ไร้สาระ เป็นการใช้วาทกรรมทางการเมืองรูปแบบเดิมๆ แทนที่จะนำเสนอนโยบาย พูดถึงผลงานเคยทำไว้ หรือจะสานต่ออย่างไร หรือเป็นเพราะที่ ผ่านมามีปัญหา จึงไม่เอากล้าเอามาอวด แต่กลับมาพูดถึงพรรคเพื่อไทย ลักษณะจินตนาการไปเอง ไม่รู้ไปผูกโยงกันได้อย่างไร คนละเรื่องเลย วันนี้รูปแบบการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในโค้งสุดท้าย เหมือนหมดมุก ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากการจ้องโจมตีรายวัน คนกทม. ควรชั่งใจว่า จะเลือกพรรคที่เล่นการเมืองแบบนี้หรือไม่
** ท้าปชป.สู้กันที่นโยบาย
ร.ท.หญิง สุณิสา ยังกล่าวด้วยว่า รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ยินนโยบายใหม่ ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้าย ได้ยินแต่การชูประเด็น สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง น่าสงสัยว่าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความสำคัญกับเรื่องการทำงาน และนโยบายมากน้อยแค่ไหน คำโฆษณาหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการพูดเพื่อหวังชนะเลือกตั้งเท่านั้น ใช่หรือไม่
ทั้งนี้ หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิด กรุงเทพมหานคร และประเทศไทย คงจะย่ำอยู่กับที่ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ปัญหาเดิมๆ ของคนกรุงเทพฯ ก็คงไม่ได้รับการแก้ไข เพราะพรรคประชาธิปัตย์ มุ่งแต่จะเล่นการเมือง มากกว่าการทำงาน ซึ่งคนที่เดือดร้อนและเสียประโยชน์มากที่สุดที่สุด ก็คือพี่น้องประชาชน
"คนกรุงเทพฯ บอบช้ำมามากพอแล้ว กับปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ขอโอกาสให้คนกรุงเทพฯ ได้เดินไปข้างหน้า โปรดอย่าจับคนกรุงเทพฯ เป็นตัวประกันอยู่กับวังวนของการทะเลาะเบาะแว้งอีกเลย การที่กรุงเทพฯ จะพัฒนาได้ ผู้ว่าฯ ควรทำงานแบบนักบริหาร ไม่ใช่ทำตัวเป็นนักการเมืองที่จ้องหาประโยชน์จากความขัดแย้ง "
ร.ท. หญิง สุณิสา ยังกล่าวถึงกรณีที่มีผู้โจมตี น.ส ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำนองว่า หาเสียงช่วยผู้สมัคร หมายเลข 9 เป็นการหาเสียงที่ผิดกฎหมายเลือกตั้งนั้น พรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้น.ส ยิ่งลักษณ์ ลงพื้นที่หาเสียง โดยปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยหาเสียงนอกเวลาราชการ และลงพื้นที่ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ในฐานะนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับ บรรดา รัฐมนตรี และ ส.ส ของพรรค ที่ช่วยลงพื้นที่หาเสียงก็เคารพกฎหมายเลือกตั้งทุกคน
ขอยืนยันอีกครั้ง ว่า ถึงแม้พรรคเพื่อไทย จะเป็นรัฐบาล แต่ก็ไม่สามารถใช้อำนาจรัฐไปเอาเปรียบผู้สมัครเบอร์อื่นได้ เพราะอำนาจในการจัดการเลือกตั้งไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล ผู้ที่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งคือ กทม และสำนักงานเขต ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอความเป็นธรรมกับพรรคเพื่อไทยด้วย เพราะเราไม่เคยมีพฤติกรรมโกงการเลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องความผิดปกติในหน่วยเลือกตั้งของตัวเองด้วย เพราะขณะนี้ มีรายงานความผิดปกติของบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเข้ามาที่พรรคในหลายพื้นที่ แม้จะใกล้ถึงวันเลือกตั้งแล้วก็ตาม หากสงสัยว่ามีผู้สวมสิทธิ์เลือกตั้งในบ้านของท่าน โปรดรีบแจ้งสำนักงานเขตให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน แม้จะเลยกำหนดเวลาแจ้งแก้ไขข้อมูลแล้วก็ตาม
**"ปู"ช่วยหาเสียงส่อผิดกม.เลือกตั้ง
พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.) กล่าวถึงกรณีที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ระบุว่า คำปราศรัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ช่วยหาเสียงให้กับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. โดยชูนโยบาย ทำงานไร้รอยต่อกับรัฐบาล เพราะเป็นการพูดจูงใจให้ประชาชนหลงเชื่อ เลือกเบอร์ 9 และรับปากว่าจะตอบสนองนโยบายต่างๆ อาจส่อว่าจะผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่มีการร้องเข้ามา ดังนั้นต้องดูเนื้อหาที่ นายสุริยะใส จะมาร้องก่อน โดยตามมาตรา 60 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการใดๆ อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูว่า นายกรัฐมนตรีไปช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ หาเสียงในฐานะอะไร ถ้าช่วยในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ผิด เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับให้สังกัดพรรค แต่ถ้าไปปราศรัยในนามนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะเข้าข่ายผิด ตามมาตรา 60 ของกฎหมายดังกล่าวได้
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ผอ.ศูนย์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ทางพรรคได้จัดทำเสื้อเพื่อให้อาสาสมัครช่วยหาเสียงของพรรค ใส่รณรงค์หาเสียงในช่วง 7 วันสุดท้าย โดยจะมีข้อความบนเสื้อว่า "ซื่อสัตย์ ไม่โกง" เพื่อเป็นการสะท้อนนโยบายสำคัญของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรค ในเรื่องการต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชัน และการส่งเสริมความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้ดำเนินการตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยมีหลักสูตรโตไปไม่โกง เพื่อให้การศึกษาอบรมนักเรียนโรงเรียนในสังกัดกทม.
ทั้งนี้ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามจากฝ่ายตรงข้าม ในการยัดเยียดข้อหาการทุจริต ให้กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยเฉพาะการต่อสัญญารถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งสุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทุจริต ซึ่งจะสะท้อนว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต
ดังนั้นในช่วง 7 วันสุดท้ายนี้ พรรคจึงเน้นรณรงค์เรื่องความซื่อสัตย์ และไม่โกง ซึ่งเชื่อว่า คนกทม. จะสามารถเปรียบเทียบผู้สมัครของพรรค ที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต กับผู้สมัครคนอื่นได้ ว่าแตกต่างกันอย่างไร
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดให้มีอาสาสมัครสังเกตการณ์เลือกตั้งเท่ากับจำนวนหน่วยเลือกตั้ง ที่กกต. กำหนด จำนวนคือ 6,506 หน่วย พรรคจึงให้อาสาสมัครไปสังเกตการณ์ตามหน่วยเลือกตั้ง 6,505 คน ตรวจสอบการเลือกตั้ง ตั้งแต่ก่อนเปิดหน่วยเลือกตั้ง โดยจะขอเปิดดูหีบบัตรเลือกตั้ง และหน่วยเลือกตั้ง รวมทั้งช่วงการลงคะแนนเสียง ก็จะตรวจสอบว่า มีบุคคลใด กลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ที่กระทำการผิดกฎหมายหรือไม่ หรือชักชวนให้คนไปลงคะแนนเสียง หรือข่มขู่ ขัดขวางผู้มาเลือกตั้ง รวมทั้งเฝ้าระวังการนับคะแนนเสียง
ขณะเดียวกันพรรคได้สั่งการให้ ส.ส., ส.ก., ส.ข. และสาขาพรรค กระจายกำลังไปดูการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งในจุดที่มีหน่วยเลือกตั้งรวมตัวกันมาก และหน่วยเลือกตั้งที่อยู่ในที่เร้นลับ ซึ่งก็เชื่อว่า บุคลากรของพรรคจะมีส่วนช่วยจับตา ไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบหรือทุจริตจนทำให้ผู้สมัครของพรรคเกิดความเสียหาย และให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรมมากขึ้น
เมื่อถามว่า การส่งอาสาสมัครเป็นการตอบโต้กลุ่มนปช. ที่ส่งอาสามัครไปประจำหน่วยเลือกตั้งเช่นกันหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องการตอบโต้ แต่เป็นเรื่องที่พรรคเตรียมการไว้ล่วงหน้าระยะหนึ่งแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็ได้มีการกระจายการอบรมอาสาสมัครทุกเขต 50 เขต ซึ่งการดำเนินการของกลุ่มนปช. หากไปทำงานตามปกติโดยสุจริต ก็ไม่น่าเป็นห่วงว่าจะมีเหตุการณ์อะไร และขอให้ไปช่วยกันจับตาสิ่งที่ไม่ถูกต้องจะเกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่เพื่อประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง
**ห่วงใช้ผลเลือกตั้ง โยงนิรโทษ"แม้ว"
เมื่อเวลา 12.30 น.วานนี้ (25ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค และภรรยา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน พร้อมตอบข้อถามว่า ช่วงโค้งสุดท้ายอะไรจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าประชาชนคงดูว่า ทางเลือกตอนนี้เป็นทางเลือก ระหว่างอะไรกับอะไร ซึ่งสิ่งที่เรายืนยันคือ การที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำงานรับใช้คนกทม. มาเป็นเวลานานยังมีความพร้อมที่จะเร่งทำงาน ซึ่งนำไปสู่ความมั่นคงและเราเชื่อมั่นว่าแนวทางการทำงานที่อยู่กับความจริงและยึดประโยชน์ของส่วนรวม มีความซื่อสัตย์ รวมถึงเป็นที่พึ่งให้ประชาชนในยามวิกฤตได้ จะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เมืองของเรามีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ระบุว่า การที่ นายอภิสิทธิ์ ต้องการให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ชนะการเลือกตั้ง เพราะไม่อยากให้ตัวเองพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่เคยคิดเรื่องนี้ แต่ตนเป็นห่วงเรื่องที่ นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. จะถูกนำไปเป็นเงื่อนไขในการนิรโทษกรรม และกระทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย
ทั้งนี้ยืนยันว่า พวกตนไม่มีใครกังวล เพราะการเลือกตั้งจะแพ้ หรือชนะเป็นเรื่องปกติ และตนก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาตลอดว่า เรื่องตำแหน่งไม่สำคัญ แต่สิ่งที่เราทุ่มเทในวันนี้ เพราะอยากให้คนกรุงเทพฯ ทราบความจริง เนื่องจากการนำเสนอโฆษณาชวนเชื่อ หรือโฆษณาหาเสียงบางครั้งก็ไม่ได้ให้ความจริงกับประชาชน แต่เราเป็นฝ่ายให้ประชาชน ตนคิดว่า นายจาตุรนต์ อย่าไปหวั่นไหวกับการให้ความจริงของพวกตนเลย
"ผมไม่มีเรื่องเดิมพัน เพราไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งสำคัญทำให้กรุงเทพฯ เดินหน้า และอยากให้คนกรุงเทพฯ มีพรรคการเมืองที่สามารถรับใช้ และยืนหยัดต่อสู้เพื่อคนกรุงเทพฯ รวมถึงสามารถทำให้ระบอบประชาธิปไตยมีความสมบูรณ์ เรื่องของผมเรื่องเล็ก แต่เรื่องคนกรุงเทพฯ และเรื่องบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ไม่รู้ว่าทำไมคุณจาตุรนต์ จึงคิดเล็กคิดน้อย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
**เย้ยปชป.หมดมุก เล่นเกมสาดโคลน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดระหว่างหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะ จะยึดกทม.และนำไปสู่การขยายผลนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นถือเป็นการหาเสียงที่ไม่สร้างสรรค์ มุ่งหวังให้คนกทม. เกิดความกลัว ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ตนเชื่อว่าคนกทม.ไม่มีใครมาชี้นำได้ สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ พยายามบอกนั้น ไม่เป็นความจริง ไร้สาระ เป็นการใช้วาทกรรมทางการเมืองรูปแบบเดิมๆ แทนที่จะนำเสนอนโยบาย พูดถึงผลงานเคยทำไว้ หรือจะสานต่ออย่างไร หรือเป็นเพราะที่ ผ่านมามีปัญหา จึงไม่เอากล้าเอามาอวด แต่กลับมาพูดถึงพรรคเพื่อไทย ลักษณะจินตนาการไปเอง ไม่รู้ไปผูกโยงกันได้อย่างไร คนละเรื่องเลย วันนี้รูปแบบการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในโค้งสุดท้าย เหมือนหมดมุก ไม่มีอะไรใหม่ นอกจากการจ้องโจมตีรายวัน คนกทม. ควรชั่งใจว่า จะเลือกพรรคที่เล่นการเมืองแบบนี้หรือไม่
** ท้าปชป.สู้กันที่นโยบาย
ร.ท.หญิง สุณิสา ยังกล่าวด้วยว่า รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ยินนโยบายใหม่ ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้าย ได้ยินแต่การชูประเด็น สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง น่าสงสัยว่าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความสำคัญกับเรื่องการทำงาน และนโยบายมากน้อยแค่ไหน คำโฆษณาหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการพูดเพื่อหวังชนะเลือกตั้งเท่านั้น ใช่หรือไม่
ทั้งนี้ หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิด กรุงเทพมหานคร และประเทศไทย คงจะย่ำอยู่กับที่ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ปัญหาเดิมๆ ของคนกรุงเทพฯ ก็คงไม่ได้รับการแก้ไข เพราะพรรคประชาธิปัตย์ มุ่งแต่จะเล่นการเมือง มากกว่าการทำงาน ซึ่งคนที่เดือดร้อนและเสียประโยชน์มากที่สุดที่สุด ก็คือพี่น้องประชาชน
"คนกรุงเทพฯ บอบช้ำมามากพอแล้ว กับปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ขอโอกาสให้คนกรุงเทพฯ ได้เดินไปข้างหน้า โปรดอย่าจับคนกรุงเทพฯ เป็นตัวประกันอยู่กับวังวนของการทะเลาะเบาะแว้งอีกเลย การที่กรุงเทพฯ จะพัฒนาได้ ผู้ว่าฯ ควรทำงานแบบนักบริหาร ไม่ใช่ทำตัวเป็นนักการเมืองที่จ้องหาประโยชน์จากความขัดแย้ง "
ร.ท. หญิง สุณิสา ยังกล่าวถึงกรณีที่มีผู้โจมตี น.ส ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำนองว่า หาเสียงช่วยผู้สมัคร หมายเลข 9 เป็นการหาเสียงที่ผิดกฎหมายเลือกตั้งนั้น พรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้น.ส ยิ่งลักษณ์ ลงพื้นที่หาเสียง โดยปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยหาเสียงนอกเวลาราชการ และลงพื้นที่ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ในฐานะนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับ บรรดา รัฐมนตรี และ ส.ส ของพรรค ที่ช่วยลงพื้นที่หาเสียงก็เคารพกฎหมายเลือกตั้งทุกคน
ขอยืนยันอีกครั้ง ว่า ถึงแม้พรรคเพื่อไทย จะเป็นรัฐบาล แต่ก็ไม่สามารถใช้อำนาจรัฐไปเอาเปรียบผู้สมัครเบอร์อื่นได้ เพราะอำนาจในการจัดการเลือกตั้งไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล ผู้ที่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งคือ กทม และสำนักงานเขต ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอความเป็นธรรมกับพรรคเพื่อไทยด้วย เพราะเราไม่เคยมีพฤติกรรมโกงการเลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องความผิดปกติในหน่วยเลือกตั้งของตัวเองด้วย เพราะขณะนี้ มีรายงานความผิดปกติของบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเข้ามาที่พรรคในหลายพื้นที่ แม้จะใกล้ถึงวันเลือกตั้งแล้วก็ตาม หากสงสัยว่ามีผู้สวมสิทธิ์เลือกตั้งในบ้านของท่าน โปรดรีบแจ้งสำนักงานเขตให้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน แม้จะเลยกำหนดเวลาแจ้งแก้ไขข้อมูลแล้วก็ตาม
**"ปู"ช่วยหาเสียงส่อผิดกม.เลือกตั้ง
พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.) กล่าวถึงกรณีที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ระบุว่า คำปราศรัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ช่วยหาเสียงให้กับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. โดยชูนโยบาย ทำงานไร้รอยต่อกับรัฐบาล เพราะเป็นการพูดจูงใจให้ประชาชนหลงเชื่อ เลือกเบอร์ 9 และรับปากว่าจะตอบสนองนโยบายต่างๆ อาจส่อว่าจะผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่มีการร้องเข้ามา ดังนั้นต้องดูเนื้อหาที่ นายสุริยะใส จะมาร้องก่อน โดยตามมาตรา 60 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการใดๆ อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูว่า นายกรัฐมนตรีไปช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ หาเสียงในฐานะอะไร ถ้าช่วยในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ผิด เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับให้สังกัดพรรค แต่ถ้าไปปราศรัยในนามนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะเข้าข่ายผิด ตามมาตรา 60 ของกฎหมายดังกล่าวได้