ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์ชาติลั่นบาทแข็งเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งปั๊กต่างชาติเชื่อมั่น อย่าแปลกใจ ชี้เงินบาทแข็งค่ายังอยู่ช่วงรอให้ตลาดปรับตัว แต่ถ้าแข็งมากเกินไปก็มีมาตรการรับมือภายใต้สถานการณ์ไว้อยู่แล้ว พร้อมส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำในปัจจุบันส่งผลเสียเสถียรภาพการเงิน ด้าน "หม่อมเต่า" หนุนไม่ให้ใช้นโยบายดอกเบี้ยแทรกแซงค่าเงิน แต่ต้องกล้าเสี่ยงเข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อหาผลตอบแทนคล้ายแนวคิดตั้งกองทุนมั่งคั่งหาผลกำไรเข้าแบงก์ชาติ
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เงินบาทแข็งค่าในขณะนี้มาจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ ซึ่งมีความชัดเจนที่ประเทศไทยเข้มแข็ง ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น จึงไม่แปลกใจที่เงินบาทอยู่ในเกณฑ์นี้ ฉะนั้น คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผู้ว่าการ ธปท.บอกว่าขณะนี้เงินบาทแข็งค่าเริ่มเกินปัจจัยพื้นฐานตัวนักลงทุนและผู้ร่วมตลาดก็ต้องระมัดระวังเพิ่มเติม เพราะอัตราแลกเปลี่ยนจะยั่งยืนและมีเสถียรภาพได้ต้องสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งไม่นั้นจะมีความเสี่ยงให้ค่าเงินมีการเคลื่อนไหวผันผวนในระยะต่อไปได้
“ขณะนี้ค่าเงินเริ่มเข้าสู่แดนแข็งค่าเร็วและแรงเกินไป แต่ต้องติดตามสถานการณ์ ให้โอกาสตลาดปรับตัว ซึ่งตอนนี้เราก็มีมาตรการต่างๆ ไว้อยู่แล้ว ถ้าเมื่อไหร่จำเป็นต้องดำเนินมาตรการ แต่ก็ต้องคิดให้ดี เพราะมาตรการต่างๆ มีทั้งประโยชน์และผลข้างเคียง จึงอาจจะกระทบระยะยาวได้ ดังนั้นต้องดูทุกอย่างให้รอบคอบ”
ต่อข้อซักถามที่ว่าเงินทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรไทยค่อนข้างมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะสร้างความไม่มีเสถียรภาพต่อระบบหรือไม่ ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ธปท.มีมาตรการต่างๆ รองรับไว้อยู่แล้ว เพียงแต่จะเลือกใช้มาตรการอะไรให้พอเหมาะกับสถานการณ์และความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันภาคเอกชนสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองได้ดีสะท้อนได้จากล่าสุดผู้ส่งออกมียอดสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (Hedge) สูงถึง 60%ของยอดการส่งออก
อย่างไรก็ตาม คงไม่จำเป็นต้องนัดประชุมบอร์ด กนง.วาระพิเศษ เพราะจริงๆ ทางกนง.ก็มีกระบวนการพิจารณาและกำหนดกระบวนการทุกอย่างภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นไว้อยู่แล้ว ซึ่งก็คือมีมาตรการเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้สัมภาษณ์ว่ามีความคิดจะปลดนายประสาร ไตรรัตน์วรกุลจากตำแหน่งผู้ว่าการธปท.ทุกวัน หลังจากไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดความร้อนแรงเงินทุนไหลเข้า ซึ่งประเด็นนี้สร้างแรงกดดันต่อการทำงานของคน ธปท.หรือไม่นั้น ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ไม่ทราบแต่การทำงานของ ธปท.จะอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง และผลงานวิจัยต่างๆ จึงเป็นการทำงานตามเนื้อผ้า
ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า การดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นโดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่น่าจะถูกต้อง เพราะดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ควรใช้สำหรับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งเงินเฟ้อในขณะนี้ที่อยู่ในระดับ 2% ก็นับว่าสูง การเพิ่มขึ้นของรายได้ไม่ทันกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนผู้ที่มีรายได้น้อยก็จะทำให้มีปัญหาตามมา
"การแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่านั้น ควรเข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศที่เข้ามาเพิ่มขึ้น เงินบาทก็จะไม่แข็งค่ามากขึ้น และถึงแม้จะมีผลกระทบเกิดขึ้นก็จะไม่มากเท่ากับการปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกและเศรษฐกิจไทย เนื่องจากการส่งออกยังมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอยู่มาก"
ม.ร.ว.จัตุมงคลกล่าวว่า การซื้อเงินตราต่างประเทศไทยในขณะนี้ยังสามารถทำได้ เพราะทุนสำรองเงินตราต่างประเทศขณะที่ระดับ 60%ของจีดีพี ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ แต่ปัญหาที่สำคัญคือ เมื่อซื้อเข้ามาแล้วจะนำมาทำอย่างไรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งตรงนี้ก็ได้เคยเสนอให้จัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง เพื่อดูแลเงินลงทุนของ ธปท.ให้ผลประโยชน์มากขึ้นสัก 2-3% เพื่อให้คุ้มกับต้นทุนพันธบัตรที่ออกมา
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เงินบาทแข็งค่าในขณะนี้มาจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ ซึ่งมีความชัดเจนที่ประเทศไทยเข้มแข็ง ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น จึงไม่แปลกใจที่เงินบาทอยู่ในเกณฑ์นี้ ฉะนั้น คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผู้ว่าการ ธปท.บอกว่าขณะนี้เงินบาทแข็งค่าเริ่มเกินปัจจัยพื้นฐานตัวนักลงทุนและผู้ร่วมตลาดก็ต้องระมัดระวังเพิ่มเติม เพราะอัตราแลกเปลี่ยนจะยั่งยืนและมีเสถียรภาพได้ต้องสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งไม่นั้นจะมีความเสี่ยงให้ค่าเงินมีการเคลื่อนไหวผันผวนในระยะต่อไปได้
“ขณะนี้ค่าเงินเริ่มเข้าสู่แดนแข็งค่าเร็วและแรงเกินไป แต่ต้องติดตามสถานการณ์ ให้โอกาสตลาดปรับตัว ซึ่งตอนนี้เราก็มีมาตรการต่างๆ ไว้อยู่แล้ว ถ้าเมื่อไหร่จำเป็นต้องดำเนินมาตรการ แต่ก็ต้องคิดให้ดี เพราะมาตรการต่างๆ มีทั้งประโยชน์และผลข้างเคียง จึงอาจจะกระทบระยะยาวได้ ดังนั้นต้องดูทุกอย่างให้รอบคอบ”
ต่อข้อซักถามที่ว่าเงินทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรไทยค่อนข้างมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะสร้างความไม่มีเสถียรภาพต่อระบบหรือไม่ ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ธปท.มีมาตรการต่างๆ รองรับไว้อยู่แล้ว เพียงแต่จะเลือกใช้มาตรการอะไรให้พอเหมาะกับสถานการณ์และความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันภาคเอกชนสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองได้ดีสะท้อนได้จากล่าสุดผู้ส่งออกมียอดสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (Hedge) สูงถึง 60%ของยอดการส่งออก
อย่างไรก็ตาม คงไม่จำเป็นต้องนัดประชุมบอร์ด กนง.วาระพิเศษ เพราะจริงๆ ทางกนง.ก็มีกระบวนการพิจารณาและกำหนดกระบวนการทุกอย่างภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นไว้อยู่แล้ว ซึ่งก็คือมีมาตรการเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้สัมภาษณ์ว่ามีความคิดจะปลดนายประสาร ไตรรัตน์วรกุลจากตำแหน่งผู้ว่าการธปท.ทุกวัน หลังจากไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดความร้อนแรงเงินทุนไหลเข้า ซึ่งประเด็นนี้สร้างแรงกดดันต่อการทำงานของคน ธปท.หรือไม่นั้น ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ไม่ทราบแต่การทำงานของ ธปท.จะอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง และผลงานวิจัยต่างๆ จึงเป็นการทำงานตามเนื้อผ้า
ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า การดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นโดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่น่าจะถูกต้อง เพราะดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ควรใช้สำหรับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งเงินเฟ้อในขณะนี้ที่อยู่ในระดับ 2% ก็นับว่าสูง การเพิ่มขึ้นของรายได้ไม่ทันกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนผู้ที่มีรายได้น้อยก็จะทำให้มีปัญหาตามมา
"การแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่านั้น ควรเข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศที่เข้ามาเพิ่มขึ้น เงินบาทก็จะไม่แข็งค่ามากขึ้น และถึงแม้จะมีผลกระทบเกิดขึ้นก็จะไม่มากเท่ากับการปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกและเศรษฐกิจไทย เนื่องจากการส่งออกยังมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอยู่มาก"
ม.ร.ว.จัตุมงคลกล่าวว่า การซื้อเงินตราต่างประเทศไทยในขณะนี้ยังสามารถทำได้ เพราะทุนสำรองเงินตราต่างประเทศขณะที่ระดับ 60%ของจีดีพี ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ แต่ปัญหาที่สำคัญคือ เมื่อซื้อเข้ามาแล้วจะนำมาทำอย่างไรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งตรงนี้ก็ได้เคยเสนอให้จัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง เพื่อดูแลเงินลงทุนของ ธปท.ให้ผลประโยชน์มากขึ้นสัก 2-3% เพื่อให้คุ้มกับต้นทุนพันธบัตรที่ออกมา
