xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ทองคำ: อุปสงค์น้อยกว่าอุปทาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี เพียงเปิดการซื้อขายวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา ราคาก็ปรับลดลงถึง 2,350 บาท ด้วยความกังวลว่า ไซปรัสจะขายทองคำประมาณ 10 ตัน จากทองคำที่เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวน 13.9 ตัน และกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งขายไปแล้วกว่า 200 ตัน

แม้กระทั่งตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ก็ยังต้องมาตรการ “หยุด” การซื้อขายถึง 30 นาที เพื่อป้องกันความเสียหายของนักลงทุน

แฮร์ริส จอร์เกียดส์ รัฐมนตรีคลังไซปรัส บอกว่า รัฐบาลกรุงนิโคเซีย มีแผนที่จะนำทองคำสำรองของประเทศออกมาขายในเดือนหน้า (พฤษภาคม) เพื่อระดมทุนอีก 1.1 หมื่นล้านยูโรตามเงื่อนไขของสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ 1 หมื่นล้านยูโรก่อนหน้านี้

แต่การตัดสินใจดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากธนาคารกลางไซปรัสเสียก่อน ซึ่งเมื่อวันที่ 11 เม.ย. ธนาคารกลางไซปรัส ได้ปฏิเสธข่าวว่าไม่มีแผนที่จะนำทองคำออกมาขาย

ทั้งนี้ ไซปรัสได้ตัดสินใจรับความช่วยเหลือจากอียู และไอเอ็มเอฟ มูลค่า 1 หมื่นล้านยูโร เพื่อนำมาฟื้นฟูภาคธนาคารของประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตหนี้กรีซก่อนหน้านี้ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องหารายได้อีก 1.1 หมื่นล้านยูโร ตามเงื่อนไขของอียูและไอเอ็มเอฟ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการนำทองคำในคลังสำรองออกมาขายทอดตลาด นอกเหนือจากการใช้มาตรการทางภาษีและการเรียกเก็บภาษีเงินฝากบัญชีที่มากกว่า 1 แสนยูโร

สำหรับกองทุน SPDR Gold Trust เป็นกองทุนเปิดดัชนีที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Exchange Traded Fund : ETF) ที่ลงทุนในทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริหารกองทุนโดย World Gold Trust Services, LLC ซึ่งถือหุ้นโดย World Gold Council (WGC) ที่เป็นองค์กรร่วมระหว่างบริษัทผู้ผลิตทองคำของโลก

กองทุน SPDR Gold Trust มีนโยบายลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง โดยไม่มีการใช้ตราสารอนุพันธ์หรือมีการให้ยืมทองคำแท่งกับผู้ลงทุนอื่น นอกจากนี้ กองทุนยังมีสภาพคล่องสูง ค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่ำ มีความโปร่งใส และราคาที่ซื้อขายสะท้อนภาวะตลาดที่แท้จริง

กองทุนเน้นการสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำแท่งในตลาดลอนดอน คือ London Gold PM Fix Price ในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ แต่สะดวกมากกว่า เพราะผู้ลงทุนไม่ต้องเก็บรักษาทองคำแท่งด้วยตนเอง เนื่องจากกองทุน SPDR Gold Trust มีผู้เก็บรักษาทองคำแท่งให้ ได้แก่ ธนาคารฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ สหรัฐอเมริกา (HSBC Bank USA, N.A.) ทั้งนี้ กองทุน SPDR Gold Trust จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 แห่ง ได้แก่ นิวยอร์ก สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น

มีการประเมินว่า ราคาทองคำในไทยอาจจะลดลงไปจนถึง 16,000 บาท จากที่เคยซื้อขายกันที่ 25,000 บาท

นักวิเคราะห์ระบุว่า ราคาทองคำร่วงลงไปประมาณ 13 % นับแต่ช่วงเปิดตลาด เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา อาจแสดงให้เห็นว่า ถึงช่วงเวลาสิ้นสุดขาขึ้นของราคาทองคำ ที่ดำเนินมา 12 ปีเต็มแล้ว

นักลงทุนต่างขายทองคำ เพราะประเมินความต้องการทองคำของจีนจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 7.7% ในไตรมาสแรกของปีนี้

เคลลี่ เตียว นักกลยุทธ์การตลาดจาก ไอจี มาร์เก็ตส์ ในสิงคโปร์ อธิบายว่า “ความเร็ว และปริมาณการเทขายทองคำ สร้างความตกใจให้กับทุกฝ่าย โดยที่ผ่านมา แม้ทองคำจะปรับขึ้นมานานถึง 12 ปี แต่เมื่อตลาดเงินสดให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ก็เป็นเรื่องปกติที่จะทำให้ผู้คนพากันเทขายทองคำออกมา เพื่อนำเงินสดไปลงทุนในด้านอื่นๆ

จูเลียน เจสซอป หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์โลก จากแคปิตัล อิโคโนมิกส์ ในสิงคโปร์ บอกว่า ภาวะขาลงของราคาทองคำ เกิดขึ้นจากการเก็งกำไรของเทรดเดอร์ มากกว่าที่จะเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานระยะยาว

กมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ อธิบายว่า ตลาดทองคำส่งสัญญาณตลาดหมีมาพักใหญ่ จะเห็นได้จากแรงขายของกองทุนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น จะมีแรงขายจากกองทุนขนาดใหญ่ออกมาให้เห็น ซึ่งสามารถเทียบเคียงจากกองทุน SPDR ซี่งขายทองคำออกกว่า 200 ตัน นัยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สะท้อนมุมมองของผู้ถือหน่วยลงทุนทองคำ

ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานก็สนับสนุนการอ่อนตัวของทองคำ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการขายทองคำของไซปรัส การคาดการณ์การสินสุดของมาตรการสภาพคล่องสหรัฐอเมริกา รวมถึงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่ชะลอตัวตามการเติบโตของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน ที่การเติบโตในไตรมาส 1 ต่ำกว่าที่คาดกัน นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนด้านจิตวิทยาจากการปรับประมาณการของวาณิชธนกิจรายใหญ่อย่าง Goldman sachs

ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ บอกว่า การลดลงของราคาทองคำครั้งนี้ส่งผลทางจิตวิทยาระยะสั้นต่อนักลงทุนทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว การลดลงของราคาทองคำครั้งนี้ไม่ใช่เกิดจากปัจจัยด้านพื้นฐานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกิดจากปัจจัยด้านเทคนิค ทำให้ตลาดเกิดอาการ Panic selling ซึ่งเมื่อปัจจัยดังกล่าวหมดไป ราคาทองคำจะค่อยๆ ขยับฟื้นขึ้น แต่อาจจะฟื้นตัวได้ไม่มาก เนื่องจากแนวโน้มใหญ่ยังเป็นขาลง

แนวโน้มราคาทองคำตามเทคนิคนั้น สานุพงษ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุนทองคำ บล.ฟิลลิป อธิบายว่า ภาพรวมราคาทองคำตอนนี้เองน่าจะไม่ผ่าน 1,450 ดอลลาร์ จะมีแนวต้านอยู่ประมาณ 1,450 ปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 1,450 ดอลลาร์ ก็ยังมี 1,520 ดอลลาร์ค่อน ข้างยาก ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม "ยังมีโอกาสทำให้ทองคำปรับขึ้นไปอีก โดยยังมีปัจจัยบวกในระยะยาวอีกมาก หลังจากโดนความกังวลเรื่องไซปรัส และการเทขายทองนักลงทุน เช่น การออกคิวอีประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่นปล่อยเม็ดเงินออกมามหาศาล อันนี้เป็นตัวหนุนทองในระยะยาวอยู่ ถ้ายังมีคิวอีอยู่ ความเสี่ยงในเรื่องของเงินเฟ้อยังมีอยู่ เพราะว่าแต่ละประเทศก็ปั๊มเงินออกมาในระบบ ในอนาคตยัง มีคนกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อในอนาคตอยู่เหมือนกัน อีกปัจจัยหนึ่งที่คิดว่าสำคัญก็คือธนาคารกลางซื้อทองคำจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมา ธนาคารกลางได้ขายทองคำออกมา แต่ในระยะหลังกลับซื้อเป็นจำนวนมาก "

แต่กระนั้น มุมมองผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทองคำเห็นพ้องต้องกันว่า ราคาทองคำ จะลดลงไปจนถึงสิ้นปี

พวรรณ์  นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล บอกแนวโน้มว่า “หากราคาทองคำไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือ 1,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือ 20,400 บาท ต่อบาททองคำ แนวโน้มขาลงของราคาทองคำจะดำเนินต่อไป โดยประเมินกรอบแนวรับไว้ที่ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ หรือ 17,700 บาท ต่อบาททองคำ  หากหลุดลงไป แนวรับสำคัญจะอยู่ที่ 1,200 เหรียญต่อออนซ์ หรือ 16,300 บาท ต่อบาททองคำ ”

ธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัทห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง วิเคราะห์ว่า “ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองในช่วงนี้ลดลงเนื่องจากธนาคารกลางไซปรัสประกาศขายทองคำออกมา 10 ตัน ส่งผลให้มีความกังวลว่า ธนาคารกลางในกลุ่มยุโรโซน เช่น สเปน โปรตุเกส และอิตาลี มีแนวโน้มเทขายทองตามออกมา ประกอบกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีนออกมา ขยายตัว 7.7 % ต่ำกว่าที่คาดว่า จะเติบโต 8 % ”

“ แนวโน้มราคาทองยังขาลง หลังหลุดแนวรับที่ 1,520 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเมื่อปี 2555 โดยในระยะสั้นมีโอกาสปรับขึ้นได้ โดยมีแนวต้านที่ 1,400 เหรียญ โดยนักลงทุนที่ซื้อทองคำแท่งไว้แล้ว ให้ถือครองต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากหากมองในระยะ 3 ปี ทองอาจกลับขึ้นมาสูงได้อีกครั้ง จากการอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ”

นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเอ็มทีเอสโกลด์ แม่ทองสุก อธิบายว่า “ราคาทองมีแนวโน้มปรับตัวลดลงถึงสิ้นปี และหากมีสถานการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น อาจส่งผลให้ราคาทองคำ ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 1,170 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือ ประมาณบาทละ 16,700 บาท ”

แต่การเปลี่ยนแปลงของอุปทานทองคำโลกที่อาจจะล้นตลาด เพราะการขายทองคำ อาจจะซ้ำเติมให้ราคายิ่งทรุดตัวลงอีก

นี่แหละกฎของอุปสงค์อุปทาน !!




กำลังโหลดความคิดเห็น