นายกฯ เรียกทีมเศรษฐกิจประชุมรับมือค่าเงินบาท-ทองคำ "กิตติรัตน์" เผยพบการเก็งกำไรค่าเงิน เตือนสถานการณ์ยังผันผวนและมีความเสี่ยง แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษ
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกรัฐมนตรีและคณะทำงานกำกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามและสอบถามสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
วันเดียวกันนายกิตติรัตน์เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการติดตามความคืบหน้าด้านเศรษฐกิจว่า พบข้อมูลนักลงทุนไทยนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรในไทย ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนควรจะต้องระมัดระวังความเสี่ยงให้มาก เพราะค่าเงินยังเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากทิศทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นสวนทางกับดุลการค้าที่ขาดดุล ประกอบกับการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาติดลบ 5.8% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่นักลงทุนจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษออกมาดูแลการเก็งกำไรค่าเงิน เพราะมีหน่วยงาน ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ดูแลอยู่แล้ว ขณะที่กระทรวงการคลังจะดูแลด้านนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาว ส่วนสถาบันการเงินที่มีประสบการณ์เมื่อ 15 ปีก่อนควรจะทำงานกับลูกค้าใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและเป็นประโยชน์กับกลุ่มที่ทำธุรกิจดังกล่าว
"การแข็งค่าของเงินบาท ภาคธุรกิจควรฉกฉวยโอกาสในการนำเข้าสินค้าเพื่อดำเนินธุรกิจ เพื่อมาชดเชยภาคการส่งออกที่เป็นลบ ซึ่งการนำเข้าที่เป็นโอกาสในขณะนี้จะมาชดเชยสัดส่วนจีดีพีภาคการส่งออกของประเทศได้เช่นกัน พร้อมทั้งช่วยลดความเสียหายของการแข็งค่าของค่าเงินบาทในที่สุด" นายกิตติรัตน์กล่าว
ทั้งนี้ เงินบาทยังคงทำสถิติแข็งค่าต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 28.82-28.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทยในปี 56 โดยเป้าหมายการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 9% ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงอุตสาหกรรมจะพยายามหาแนวทางผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น
"เร็วๆ นี้จะมีการโรดโชว์ใน 7 ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย จีน เมียนมาร์ รัสเซีย บราซิล และประเทศแถบแอฟริกา เพื่อผลักดันให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมายให้ได้ "เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาระดับการส่งออกบนภาวะค่าเงินบาทผันผวนกระทรวงการคลังเองก็มีหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน"นายกิตติรัตน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธปท.โดยนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับว่ามีบริษัทเอกชนขนาดกลางและขนาดใหญ่ของไทยไปกู้เงินต่างประเทศมาเก็งกำไรจากดอกเบี้ยและค่าเงิน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่ในขณะนี้ นายประสารแสดงความเป็นห่วงว่าบริษัทเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และอาจจะกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยโดยรวมด้วย.
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกรัฐมนตรีและคณะทำงานกำกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามและสอบถามสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
วันเดียวกันนายกิตติรัตน์เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการติดตามความคืบหน้าด้านเศรษฐกิจว่า พบข้อมูลนักลงทุนไทยนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรในไทย ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนควรจะต้องระมัดระวังความเสี่ยงให้มาก เพราะค่าเงินยังเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากทิศทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นสวนทางกับดุลการค้าที่ขาดดุล ประกอบกับการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาติดลบ 5.8% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่นักลงทุนจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษออกมาดูแลการเก็งกำไรค่าเงิน เพราะมีหน่วยงาน ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ดูแลอยู่แล้ว ขณะที่กระทรวงการคลังจะดูแลด้านนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาว ส่วนสถาบันการเงินที่มีประสบการณ์เมื่อ 15 ปีก่อนควรจะทำงานกับลูกค้าใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและเป็นประโยชน์กับกลุ่มที่ทำธุรกิจดังกล่าว
"การแข็งค่าของเงินบาท ภาคธุรกิจควรฉกฉวยโอกาสในการนำเข้าสินค้าเพื่อดำเนินธุรกิจ เพื่อมาชดเชยภาคการส่งออกที่เป็นลบ ซึ่งการนำเข้าที่เป็นโอกาสในขณะนี้จะมาชดเชยสัดส่วนจีดีพีภาคการส่งออกของประเทศได้เช่นกัน พร้อมทั้งช่วยลดความเสียหายของการแข็งค่าของค่าเงินบาทในที่สุด" นายกิตติรัตน์กล่าว
ทั้งนี้ เงินบาทยังคงทำสถิติแข็งค่าต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 28.82-28.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทยในปี 56 โดยเป้าหมายการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 9% ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงอุตสาหกรรมจะพยายามหาแนวทางผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น
"เร็วๆ นี้จะมีการโรดโชว์ใน 7 ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย จีน เมียนมาร์ รัสเซีย บราซิล และประเทศแถบแอฟริกา เพื่อผลักดันให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมายให้ได้ "เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาระดับการส่งออกบนภาวะค่าเงินบาทผันผวนกระทรวงการคลังเองก็มีหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน"นายกิตติรัตน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธปท.โดยนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับว่ามีบริษัทเอกชนขนาดกลางและขนาดใหญ่ของไทยไปกู้เงินต่างประเทศมาเก็งกำไรจากดอกเบี้ยและค่าเงิน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่ในขณะนี้ นายประสารแสดงความเป็นห่วงว่าบริษัทเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และอาจจะกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยโดยรวมด้วย.