xs
xsm
sm
md
lg

โดยประชาชน แต่เพื่อคนคนเดียว : เผด็จการรัฐสภา

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

“โดยประชาชน เพื่อประชาชน” คือวาทะของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และถ้าจำไม่ผิดท่านผู้นี้ก็คือประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น

โดยนัยแห่งวาทะนี้ มีความชัดเจนว่าผู้ที่ประชาชนเลือกเข้ามาเป็นผู้แทนในสภาฯ ตามระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง แต่ได้มอบให้ผู้ที่พวกเขาเลือกเข้าไปเป็นผู้ใช้แทน ทั้งในด้านนิติบัญญัติ และบริหาร

อีกวาทะหนึ่งเกี่ยวกับประชาธิปไตย ที่ว่า “ประชาธิปไตย ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ มิใช่ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเป็นใหญ่ ถ้าประชาชนเลว ประเทศก็ฉิบหาย” ซึ่งเป็นวาทะของท่านพุทธทาสภิกขุแห่งสวนโมกข์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้ล่วงลับไปแล้ว

โดยนัยแห่งวาทะนี้มีความหมายชัดเจนว่า ประชาธิปไตยมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากผู้แทนที่พวกเขาเลือกเข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ และทำหน้าที่เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ มิได้มุ่งเน้นที่จำนวนคนที่ได้รับเลือกเข้าไปเป็นตัวแทน โดยยึดเสียงข้างมากเป็นเครื่องชี้ขาดเพียงอย่างเดียว

ถ้านำสองวาทะดังกล่าวข้างต้นมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังดำเนินการอยู่ในเรื่องที่กำลังเป็นที่กล่าวขานในทางลบ และก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และมาตรา 190 และพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทแล้ วจะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้และรัฐสภาชุดนี้กำลังทำทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของกลุ่มทุนทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า รัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติในยุคนี้มีพฤติกรรมเป็นเผด็จการ ทั้งๆ ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน แต่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. การแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 68 จากที่เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ที่เห็นว่าจะเสียประโยชน์จากการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของนักการเมืองสามารถร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ 2 ทาง คือ ผ่านทางอัยการสูงสุด และร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้เหลือเพียงช่องทางเดียวคือผ่านทางอัยการสูงสุด จึงเท่ากับตัดโอกาสหรือลิดรอนสิทธิของประชาชนให้น้อยลง และในขณะเดียวกันเพิ่มโอกาสในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนเองง่ายยิ่งขึ้น เพราะสามารถจะทำแนวร่วมกับอัยการสูงสุดด้วยการประสานประโยชน์หรือแสวงหาประโยชน์ร่วมกันได้อย่างลงตัว ก็สามารถชะลอคำร้องหรืออาจถึงกับไม่นำฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นไปได้ และถ้าเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นจริงก็จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ได้

2. การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท โดยการเปิดทางให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยไม่ถูกจำกัดด้วย พ.ร.บ.งบประมาณ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้รัฐบาลก่อหนี้ได้ตามอำเภอใจ และแถมไม่มีรายละเอียดประกอบการกู้เงิน โดยเฉพาะไม่ระบุการแสวงหารายได้มาใช้หนี้ว่ามาจากไหน และอย่างไร จึงเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐแสวงหารายได้ด้วยการขึ้นภาษี และมีผลกระทบถึงราคาสินค้าทำให้ประชาชนเดือดร้อน และยิ่งกว่านี้ ถ้ารัฐบาลกู้เงินภายในประเทศก็จะทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น และเป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการเอกชนที่จะต้องอาศัยเงินกู้เพื่อการลงทุนอีกด้วย

และที่ยิ่งกว่านี้ ถ้ากู้จากต่างประเทศมากๆ ถึงวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อถึงวันชำระหนี้และรัฐบาลเก็บภาษีไม่พอใช้หนี้ ก็จะต้องกู้หนี้เพื่อใช้หนี้ถ้าเป็นเช่นนี้เจ้าหนี้ก็จะกำหนดเงื่อนไขในการกู้ เช่น ให้ขึ้นภาษี รวมไปถึงการขายกิจการที่เป็นของรัฐเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ดังที่ประเทศไซปรัสและกรีซกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ และถ้าประเทศไทยในอนาคตต้องตกอยู่ในภาวะเดียวกับประเทศไซปรัส ก็เท่ากับรัฐบาลชุดนี้ทำให้ประเทศไทยตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของต่างชาติโดยปริยาย

ด้วยพฤติกรรมเพียง 2 ประการที่ว่ามานี้ ก็พออนุมานได้ว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นประชาธิปไตยเพียงเปลือกนอก แต่เนื้อในหรือแก่นแท้แล้วเป็นเผด็จการทางรัฐสภา เพราะหลายคนหรือส่วนใหญ่ในสภาฯ ทำเพื่อสนองความต้องการของคนคนเดียวที่คอยสั่งการหรือบงการจากนอกประเทศ

อันที่จริงเผด็จการก็ไม่ใช่ระบบที่เลวร้ายถ้าทำเพื่อปวงชนและนึกถึงประโยชน์โดยรวมของประเทศเป็นที่ตั้ง เพราะจะต้องไม่ลืมว่าก่อนที่ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นบนโลก ทุกประเทศก็อยู่ภายใต้การปกครองของคนคนเดียวคือกษัตริย์ แต่กษัตริย์ทุกพระองค์ปกครองด้วยระบบคุณธรรม และที่เป็นเช่นนี้ได้ก็ด้วยว่าระบอบกษัตริย์ในยุคโบราณมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศไทยเกิดขึ้นจากปรัชญาของลัทธิเทวนิยม (Theism) โดยเฉพาะเอกเทวนิยม (Mono Theism) ที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างหรือสรรพสิ่งรวมกันเป็นหนึ่ง และหนึ่งนั้นคือพระเจ้า (The All is One, The One is God)

โดยนัยแห่งปรัชญานี้หมายถึงว่า ทุกอย่างเกิดจากพระเจ้า และพระเจ้าดลบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไป

แต่ภายใต้การดลบันดาลของพระเจ้าเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นไปเพื่อความถูกต้อง เพื่อประโยชน์สุขของสรรพสิ่ง ซึ่งเปรียบได้กับแนวคิดที่ว่า เผด็จการที่เข้มแข็ง มีความยุติธรรม และทำเพื่อประชาชนโดยรวม ย่อมดีกว่าประชาธิปไตยที่อ่อนแอ และทำเพื่อตนเอง

ดังนั้น จึงทำให้ประชาชนผู้เดือดร้อนและไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต้องเรียกร้องหาเผด็จการทุกครั้งไป และนี่เองที่ทำให้การเมืองไทยในระยะเวลา 80 กว่าปี วนเวียนอยู่ในวังวนแห่งการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยเหตุอ้างที่ซ้ำๆ คือ ทุจริต และไม่ทำเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง
กำลังโหลดความคิดเห็น