ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมานี้ นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกมาแถลงข่าวว่า ทางการจีน ตัดสินใจที่จะเอาตัวหมีแพนด้าน้อย "หลินปิง" คืนสู่อ้อมอกตามกำหนดเดิม คือในเดือนพฤษภาคม 2556 ซึ่งคนที่ได้รับฟังข่าวนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องทีผิดปกติอย่างยิ่ง
เพราะเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 55 ที่นายกฯยิ่งลักษณ์ เดินทางกลับจากการเยือนประเทศจีน ยังจีบปากจีบคอ ลอยหน้าลอยตา บอกกับคนไทยว่า มีข่าวดีสำหรับเด็กๆ คือทางการจีนได้ขยายเวลาให้ครอบครัวแพนด้า ได้อยู่ต่อที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ออกไปอีก 3 ปี จากที่จะครบกำหนดส่งคืนในปีหน้า
ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน เพราะหมีแพนด้าสำหรับจีนนั้น มิใช่สัตว์ธรรมดา แต่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ทางการทูต ที่บ่งบอกถึงระดับความสัมพันธ์ที่จีนมีให้ต่อประเทศนั้นๆ
ที่สำคัญคือ การทวง"หลินปิง"คืน เกิดขึ้นหลังจากที่ "หลี่ เค่อเฉียง" นายกรัฐมนตรีจีน เพิ่งจะได้คุยโทรศัพท์สายตรงกับ นายกฯยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ก่อนที่ผู้ว่าฯเชียงใหม่ จะออกมาแถลงข่าวเพียงสัปดาห์เดียว
เมื่อย้อนกลับไปดูความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็พบว่า เมื่อช่วง ครบรอบ 1 ปี การบริหารประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ยังเคยคุยโว ถึงผลงานด้านการต่างประเทศ ว่า ผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นอกจากการทำให้"หลินปิง"ได้อยู่เมืองไทยต่อแล้ว ยังมีการทำข้อตกลงกับจีนในโครงการรถไฟความเร็วสูงด้วย
ซึ่งเรื่องรถไฟความเร็วสูงนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นผู้เริ่มต้นไว้ มีการเสนอกรอบการเจรจาผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทยไปแล้ว และมีผู้นำระดับสูงของจีนมาติดตาม ผลงานเป็นระยะๆ เพียงแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นผู้มารับช่วงสานต่อเท่านั้น
และในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อีกเช่นกัน ที่จีนเคยแสดงความกังวล ปนหวาดระแวง เกี่ยวกับการวางดุลภาพทางการต่างประเทศของรัฐบาลไทย ที่ให้น้ำหนักสหรัฐอเมริกา ในเชิงสนับสนุน ในการเข้ามามีบทบาทในย่านเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น จากการพยายามที่จะผลักดันความร่วมมือโครงการใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นศูนย์ สำรวจเมฆ ร่วมกับ นาซ่า
ซึ่งเรื่องนี้ รัฐบาลก็พยายามปกปิดข้อเท็จจริง จนถูกกระแสสังคมกดดันไม่กล้าเดินหน้าต่อ ท่ามกลางข้อสงสัย ที่ยังไม่หมดไปว่า รัฐบาลไทยได้ให้สหรัฐอเมริกาแอบใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นฐานทหารอย่างลับๆ หรือไม่ เพราะเรือรบของสหรัฐแวะเวียนมาจอดเหนือน่านน้ำไทยบ่อยครั้ง แม้ว่ากองทัพเรือจะพยายาม อธิบายว่าเป็นความร่วมมือตามปกติระหว่างไทย-สหรัฐฯ ก็ตาม
ล่าสุด เมื่อมีโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็มากลับลำง่ายๆ ว่าจะลงทุนทำรถไฟความเร็วสูงเอง ไม่ลงทุนร่วมกับจีนตามข้อตกลงเดิมแล้ว
โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมว.คมนาคม ได้ชี้แจงเรื่องนี้ แบบสั้นๆ ห้วนๆ ในที่ประชุมสภา ระหว่างการพิจารณากฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า การร่วมทุนกับจีนมีความยุ่งยาก จึงตัดสินใจล้มโครงการความร่วมมือดังกล่าว
ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่า การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่บอกว่าจะเอามาทำโครงการรถไฟความเร็วสูง 4 สายนั้น เป็นเพียงข้ออ้างที่ดูดี มีเหตุผล แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นการกู้ เพื่อมา "แก้ไข" ใช้หนี้ประชานิยม ที่รัฐบาลหว่านเอาไว้ เพื่อหวังผลทางการเมือง ทั้งเรื่อง จำนำข้าว รถคันแรก บ้านหลังแรก แจกแท็ปเล็ต ป.1 ฯลฯ
จึงเข้าเค้าว่า การล้มโครงการรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้ เกิดจากความโลภของ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มี"ทักษิณ"คอยกำกับอยู่เบื้องหลัง ต้องการเงินกู้ 2 ล้านล้าน สร้างหนี้ 5.16 ล้านล้าน ให้คนไทยต้องแบกรับนาน 50 ปี แล้วเอามาใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและการคอร์รัปชันเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยไม่สนใจต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ที่จะเสื่อมทรามลง