รายงานการเมือง
ย้อนหลังไปตอนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ครบรอบ 1 ปี การบริหารประเทศ สิ่งหนึ่งที่ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ หยิบยกมาคุยโวว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้านการต่างประเทศ คือ
“การทำให้หลินปิงได้อยู่เมืองไทยต่อ” และ “การทำข้อตกลงกับจีนในโครงการรถไฟความเร็วสูง”
แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่พยายามอวดอ้างตัวเองว่ามีความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างเยี่ยมยอด จากส่วนหนึ่งที่มีนายกรัฐมนตรีเดินสายไปต่างประเทศมาแล้วถึง 44 ประเทศ ภายในเวลาเพียงปีเศษ กำลังจะสะดุดตอครั้งใหญ่ที่อาจทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์หมดสิทธิ์ที่จะหากินกับคำคุยโม้ดังกล่าวได้อีก
เพราะสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศกับจีนในขณะนี้ กำลังเข้าสู่ปากเหวแห่งความถดถอยที่มีนัยสำคัญยิ่ง จากพฤติกรรมหลายอย่างของรัฐบาล และการส่งสัญญาณแรงชัดจากจีนที่เริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้จีนเคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการวางดุลภาพทางการต่างประเทศของรัฐบาลไทย ที่ให้น้ำหนักสหรัฐอเมริกาในเชิงสนับสนุนให้พญาอินทรีเข้ามามีบทบาทในทวีป เอเชียแปซิฟิคมากขึ้น จากการพยายามที่จะผลักดันความร่วมมือโครงการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์ สำรวจเมฆร่วมกับนาซ่า
สุดท้ายกลายเป็นเรื่องที่รัฐบาลพากันยกเมฆปกปิดข้อเท็จจริงสำคัญที่ประชาชนควรทราบ จนถูกกระแสสังคมกดดันไม่กล้าเดินหน้าโครงการต่อ ท่ามกลางข้อสงสัยที่ยังไม่หมดไปว่า รัฐบาลไทยได้ให้สหรัฐอเมริกาแอบใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานทหารอย่างลับๆ หรือไม่
เพราะเรือรบของสหรัฐฯ แวะเวียนมาจอดเหนือน่านน้ำไทยบ่อยครั้ง แม้ว่ากองทัพเรือจะพยายามอธิบายว่าเป็นความร่วมมือตามปกติระหว่างไทย-สหรัฐฯ ก็ตาม
แต่ในภาวการณ์ปัจจุบันที่สหรัฐอเมริกามียุทธศาสตร์จะถ่วงดุลอำนาจกับจีนเพื่อรักษาสภาพความเป็นมหาอำนาจของตัวเองไว้ ไม่ให้ถูกจีนช่วงชิงไป ด้วยการเข้ามาขยายอิทธิพลในทวีปเอเชียเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้จีนไม่สบายใจและจับตาทุกย่างก้าวของสหรัฐฯ ที่มีปฏิสัมพันธ์กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้
เรื่องการวางความสัมพันธ์ที่ไม่คำนึงถึงดุลภาพทางการเมืองระหว่างประเทศ จนทำให้จีนเกิดความหวาดระแวง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็พลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่เรียนรู้และยังทำพลาดซ้ำสองเพราะมัวแต่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนมากกว่าคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศชาติ
ในช่วงต้นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีการยืนยันถึงข้อตกลงระหว่างไทย-จีน ที่เริ่มต้นไว้ตั้งแต่ยุคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ในเรื่องโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งมีการเสนอกรอบการเจรจาผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทยไปแล้ว และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ทำท่ากระตือรือร้นที่จะสานต่อในเรื่องนี้
ถึงขนาดมีการพบปะกันหลายครั้งระหว่างผู้นำของสองประเทศ แต่จู่ๆ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็กลับลำง่ายๆ ว่า จะลงทุนทำรถไฟความเร็วสูงเองโดยไม่ลงทุนร่วมกับจีนตามข้อตกลงเดิม โดยมีคำอธิบายทีฟังไม่ขึ้นจาก ชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมว.คมนาคม ในที่ประชุมสภาระหว่างการพิจารณากฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า
“การร่วมทุนกับจีนมีความยุ่งยาก” แต่กลับไม่เคยมีใครหน้าไหนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ออกมาพูดถึงผลกระทบที่จะตามมา เมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจฉีกข้อตกลงที่ทำกับจีนทิ้งโดยไม่ให้เหตุผล
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จู่ๆ จีนจะตัดสินใจเอาตัวหลินปิงคืนสู่อ้อมอกตามกำหนดเดิมคือในเดือนพฤษภาคม 2556 ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 เม.ย.55 น.ส.ยิ่งลักษณ์ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากการเยือนประเทศจีน ยังจีบปากจีบคอ ลอยหน้าลอยตาบอกกับคนไทยว่า
“มีข่าวดีสำหรับเด็กๆ คือทางการจีนได้ขยายเวลาให้ครอบครัวแพนด้าได้อยู่ต่อที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ออกไปอีก 3 ปีจากที่จะครบกำหนดส่งคืนในปีหน้า”
แต่มาวันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ออกมาเปิดเผยข่าวที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน คือ จีนตัดสินใจที่จะเอาหลินปิงคืน
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะแพนด้าสำหรับจีนนั้นมิใช่สัตว์ธรรมดา แต่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ทางการทูตที่บ่งบอกถึงระดับความสัมพันธ์ที่จีนมีให้ต่อประเทศนั้นๆ
ที่สำคัญคือการเอาหลินปิงคืนเกิดขึ้นหลังจากที่ หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เพิ่งจะได้คุยโทรศัพท์สายตรงกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีไทยในวันที่ 2 เมษายน แต่ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียวในวันที่ 9 เมษายน 2556 ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ก็บอกว่าจีนตัดสินใจที่จะให้ไทยส่งหลินปิงกลับแทนที่จะให้อยู่ไทยต่อ 3 ปีตามที่นายกฯ หญิงของไทยเคยคุยโอ้อวดไว้
เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการบริหารที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติของรัฐบาล ซึ่งเกิดจาก “ความเลวสูง” ของคนโลภ ที่ต้องการเงินกู้ 2 ล้านล้าน สร้างหนี้ 5.16 ล้านล้าน ให้คนไทยต้องแบกรับนาน 50 ปี ล้มโครงการรถไฟความเร็วสูงจนยอมเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนที่นับวันจะเสื่อมทรามลงทุกที