ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 รับคำร้องแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ลิดรอนสิทธิประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่ไม่เบรกรัฐสภาลงมติรับวาระแรก ปชป.ขู่ฟ่อ ส.ส.-ส.ว. ใครยกมือหนุน มีสิทธิถูกยื่นถอดถอน ชี้แก้มาตรา 68 หวังเปิดทางยุบองค์กรอิสระเพื่อกินรวบประเทศ แก๊งแดงห้าว รอเป่านกหวีดรวมพลต้าน อ้างถูกเครือข่ายอำมาตย์รังแก "เต้น"เย้ย จะโหวตวาระ 3 ฉบับที่ค้างอยู่ ด้านพันธมิตรฯ นัดแถลงท่าทีวันนี้
นายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ หนึ่งในทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธาน วานนี้ (3 เม.ย.) ว่า ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เสียงรับคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และคณะ กระทำการที่ส่อไปในทางกระทำความิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการตัดสิทธิของบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือไม่ ไว้พิจารณาวินิจฉัย
เนื่องจากเห็นว่า คำร้องนี้ เป็นกรณีที่ผู้ร้องใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญโดยอ้างว่าผู้ถูกร้องทั้ง 312 คน ซึ่งเป็นส.ส.และส.ว.ได้ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่. ...) พ.ศ. ... ต่อนายสมศักดิ์ ผู้ถูกร้องที่ 1 โดยยกเลิกความในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 แล้ว เสนอเนื้อความใหม่ที่เป็นการยกเลิกสิทธิของชนชาวไทยในการที่จะใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงออกไป คงเหลือแต่เพียงให้บุคคลผู้ทราบการกระทำ เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพียงประการเดียว และให้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญในกรณีที่บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยเท่านั้น ไม่อาจใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้พ้นจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในลักษณะอื่นนอกเหนือจากการใช้สิทธิและเสรีภาพ อันเป็นการลิดรอนสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญของชนชาวไทย จึงมีมูลกรณีที่นายสมชายจะใช้สิทธิยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบตามมาตรา 68 วรรคสอง ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสอง และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย 2550 ข้อ 17 (2)
ส่วนที่นายสมชายมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว สั่งให้รัฐสภาระงับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญและลงมติในวาระที่ 1 นั้น ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ายังไม่ปรากฏมูลกรณีอันเป็นเหตุฉุกเฉิน หรือเหตุผลอันสมควรเพียงพอที่จะต้องมีคำสั่งดังกล่าว จึงมีคำสั่งให้ยกคำขอ และสั่งให้นายสมชายผู้ร้องทำสำเนาคำร้องส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 312 ชุด เพื่อส่งให้นายสมศักดิ์ และพวกยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับหนังสือแจ้ง หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจ และหลังจากที่ศาลได้รับคำชี้แจงทั้งหมดแล้ว ก็จะทำการตรวจสอบและพิจารณาว่าจะมีการกำหนดวิธีการพิจารณาคำร้องนี้อย่างไร
สำหรับเหตุที่องค์คณะพิจารณาคำร้องนี้มีเพียง 5 คน เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน คือนายชัช ชลวร นายนุรักษ์ มาประณีต นายเฉลิมพล เอกอุรุ และนายบุญส่ง กุลบุปผา ได้ลาประชุม และเดินทางไปต่างประเทศ ก่อนที่คำร้องนี้จะเข้ามายังสำนักงาน ซึ่งตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญมีตุลาการเข้าประชุม 5 คนก็ถือว่าเป็นองค์คณะพิจารณาได้ และเมื่อตุลาการ 4 คนกลับมาก็สามารถเข้าร่วมพิจารณาคำร้องได้
เมื่อถามว่า การที่ศาลรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแต่ไม่มีคำสั่งให้รัฐสภาระงับการพิจารณาไว้ก่อนจะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ นายสมฤทธิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหา ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปได้ และการที่ศาลฯ รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยก็เพราะคำร้องต้องด้วยหลักเกณฑ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายสมฤทธิ์จะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนประมาณ 10 นาที ปรากฏว่าในรัฐสภา ซึ่งมีการอภิปรายเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่นั้น นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ได้มีการแจ้งต่อที่ประชุมว่า มีรายงานว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องของนายสมชาย จากนั้นสำนักข่าวต่างๆ ก็ได้มีการรายงานข่าวผ่านทางSMS ทวิตเตอร์และโซเชียลเน็ตเวิร์ดต่างๆ ซึ่งได้สร้างความสับสนให้กับสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจและติดตามการแถลงข่าวของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันระหว่างการแถลงข่าวของนายสมฤทธิ์ ก็ได้มีประชาชนมาคอยสังเกตการณ์และตะโกนแสดงความเห็นระหว่างการแถลงข่าวว่า “ถ้าศาลไม่กล้า จะหยุดระบอบทักษิณได้อย่างไร”
**"วสันต์-อุดมศักดิ์" 2 เสียงข้างน้อย
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคำร้องดังกล่าวของคณะตุลาการฯ สำนักงานฯ ได้มีการแจ้งให้คณะตุลาการฯ ทราบว่าช่วงเช้านายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคัดค้านเพื่อขอให้ยกคำร้องของนายสมชาย แต่คณะตุลาการเห็นว่านายสิงห์ทองไม่ใช่คู่กรณี คำร้องที่ยื่นเป็นเหมือนคำร้องทุกข์ จึงไม่สามารถนำมาพิจารณาได้ สำหรับตุลาการเสียงข้างน้อยที่เห็นควรไม่รับคำร้อง 2 เสียง คือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี เนื่องจากเห็นว่ากรณีดังกล่าวยังไม่มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นตามที่ผู้ร้องอ้าง
ส่วนเสียงข้างมาก 3 เสียงที่ให้รับพิจารณา คือ นายจรูญ อินทรจาร นายจรัญ ภักดีธนากุล และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ โดยเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องเข้าองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งสมควรที่ศาลรัฐธรรมนูญจะทำการตรวจสอบ แต่ทั้งนี้เสียงข้างมากยังไม่ได้เห็นว่ามีความผิดเกิดขึ้นจริง
**ปชป.ขู่ ส.ส.-ส.ว.โหวตหนุนยื่นถอด
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คงมีผลต่อเสียงโหวตสนับสนุนร่างแก้ไขในวาระ 1 และขอเตือนไปยังส.ว.และส.ส. ที่กำลังยกมือสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวว่าควรจะใช้วิจารณญาณให้รอบคอบ เพราะการลงมติดังกล่าวจะมีผลผูกพันถึงขั้นถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ กำลังรวบรวมข้อมูล และถอดเทปคำอภิปราย รวมถึงคำให้สัมภาษณ์ของส.ส.และแกนนำรัฐบาล เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ผ่านสภาแล้ว ก็จะเดินหน้าโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 3 ได้ทันที ซึ่งเป็นการส่อว่าล้มล้างการปกครอง โดยเมื่อรวบรวมข้อมูลเสร็จจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญใหม่ในช่วงหลังสงกรานต์
**เสื้อแดงห้าวรอนกหวีดรวมพล
นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า เครือข่ายระบอบอำมาตย์ในประเทศไม่อนุญาตให้แก้รัฐธรรมนูญ 50 และขณะนี้ก็เแบ่งงานกันทำ โดยให้นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ไปยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวต่อตุลาการศาลฯ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร นปช.ขอเรียกร้องไปยังรัฐสภาว่าให้เดินหน้าโหวตแก้ไขวาระ 3 ไปเลย เพราะถึงอย่างไรก็ถูกเครือข่ายอำมาตย์เล่นงาน และขอให้คนเสื้อแดงเตรียมตัวไว้ให้ดี สัญญาณต่างๆ ที่ออกมาแรง และนี่คือยกที่หนึ่งเท่านั้น
นายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. กล่าวว่า ถ้าศาลฯ รับเรื่องก็เท่ากับตีไพ่ให้กันกิน และสมคบกับ ส.ว.สรรหาและพรรคประชาธิปัตย์ ล้มการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่ม นปช.จึงหารือกันว่าจะเรียกร้องให้คนเสื้อแดงไปแจ้งความกับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั่วประเทศ ในฐานะที่กระทำการไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 157
นายสมหวัง อักษราสี แกนนำ นปช. กล่าวว่า คดีความหลังจากนี้ ถ้าไม่มีความเป็นธรรมและไม่เป็นกลาง คนเสื้อแดงจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว คนเสื้อแดงทั้งประเทศเตรียมตัวให้ดี พวกองค์กรอำมาตย์กำลังเริ่มทำงาน แล้วเราจะเป่านกหวีดพร้อมกัน
ด้านนพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมพวก แถลงข่าว เดินหน้าชนศาลรัฐธรรมนูญ และยืนยันจะโหวตรับหลักการ มาตรา 68 และ 237 โดยไม่สนว่าจะถูกตัดสิทธิ์ ถูกยุบพรรค หรือถูกดำเนินคดีอาญา นอกจากนี้ ในวันที่ 4 เม.ย. เตรียมแจ้งอาญา มาตรา 157 ให้ตำรวจจัดการตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง5 เหตุทำผิดกฎหมายรับคำร้องกลุ่ม40สว. เพราะต้องผ่านอัยการก่อน
**พธม.แถลงท่าทีแก้ไขรัฐธรรมนูญวันนี้
มีรายงานว่า วันพฤหัสบดีที่ 4 เม.ย.2556แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 1 และ รุ่น 2 จะมีการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและกำหนดทิศทางต่อไปในอนาคต และจะแถลงข่าวในวันเดียวกันในเวลาประมาณ 11.00 น. ณ บ้านพระอาทิตย์
**"ปู"แถ แก้เพื่อเตรียมเข้าอาเซียน
ที่รัฐสภา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีการชี้ทางออกให้กับประเทศด้วย เพราะการทำให้กฎหมายเป็นประชาธิปไตย มีความยุติธรรมและเป็นไปตามหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการที่จะสร้างความเชื่อมั่น โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็หวังว่าจะมีทางออก เพราะว่าการแก้ไขโดยแนวทางที่จะมีการสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ก็ไปไม่ได้ ก็มาแก้รายมาตราแล้ว หวังว่าทางออกจะมีให้กับประเทศ และยังเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่ขณะนี้อาเซียนหลายๆ ประเทศก็มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกันแล้วทั้งนั้น
เมื่อถามว่า รัฐบาลยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลักใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ใช่ค่ะ ทั้งหมดก็เห็นอยู่แล้ว ในการแก้ไขแต่ละมาตรา ก็ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
เมื่อเวลา 19.35 น. วานนี้ (3 เม.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของส.ว. กรณียื่นคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และ มาตรา 237 ว่า อันนี้เป็นขั้นตอนตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งในเรื่องการรับเรื่อง คงต้องว่าไปตามขั้นตอน แต่ในส่วนนี้ คงต้องให้สภานำขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยรับเรื่องพิจารณา ไปหารือกันในสภา
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาวาระ 2 จะเป็นปัญหาหรือไม่ เพราะต้องโหวต รายมาตรา นายกฯ กล่าวว่า ก็คงไม่ทราบ คิดว่าต้องคุยกันในสภาก่อน
**"เต้น"ขู่ใช้เอกสิทธิ์โหวตวาระ3ที่ค้าง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำ นปช. ได้โพสข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ว่า ตนเชื่อมั่นด้วยหลักการทั้งมวลว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราหรือแก้ทั้งฉบับทำได้ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ล้มล้างการปกครอง ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องและสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้เดินต่อ ตนในฐานะ ส.ส.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะใช้เอกสิทธิ์เสนอโหวตวาระ 3 ที่ค้างไว้อยู่ทันที เพราะสภานี้ เป็นของประชาชน มีอำนาจหน้าที่ในการสถาปนากฎหมาย ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาแทรกแซงตามอำเภอใจ
**“มาร์ค” โวยปูบิดเบือนแก้ ม.68
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันว่าการแก้ไขมาตรา 68 เป็นการตัดสิทธิ์ประชาชนในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมา มีคนบอกว่าการเสนอแก้ไขเพื่อให้มีความชัดเจนเท่านั้น ตนคิดว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะศาลรัฐธรรมนูญตัดสินชัดเจนแล้ว และถ้าแก้เพื่อความชัดเจนเท่านั้น ทำไมถึงไม่แก้ให้ชัด ตามที่ศาลเขาวินิจฉัย แต่กลับทำไม่ตรงกับที่ศาลวินิจฉัย และแก้เพื่อไม่ให้คนไปฟ้องศาลโดยตรง
**รัฐสภาถกวันสุดท้ายถล่มศาลรัฐธรรมนูญ
ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 สมัยสามัญนิติบัญญัติ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …) พ.ศ. ... เป็นวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายมี นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่ได้มีการยื่นให้รัฐสภาพิจารณา ถือเป็นการรักษาดุลอำนาจ ระหว่าง ฝ่ายบริหาร, ฝ่ายตุลาการ และฝ่ายนิติบัญญัติ โดยให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนคืนสู่ประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีผู้ร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญส่อขัดรัฐธรรมนูญ และขอให้มีคำสั่งยกเลิกนั้น ตนไม่กังวลกับคำวินิจฉัย เพราะการใช้สิทธิ์พิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการทำหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้
**ส.ส. เพื่อไทย เสียวถูกยุบพรรค
นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าพวกเราจ้องจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีโทษถึงขั้นให้ยุบพรรคนี้ เป็นข้อกล่าวหาที่น่ากลัวมาก ตนรู้สึกเคว้งคว้าง เพราะไม่รู้จะไปอยู่พรรคไหน ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบ แต่ยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิ์จะมาสั่งรัฐสภาว่าให้ยกเลิกการพิจารณากฏหมาย แต่มีหน้าที่ทำตามกฏหมายที่รัฐสภาออก ต้องคิดว่า มาตรา68 ไม่ได้แก้ไขเพื่อใคร เพราะไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เมื่อแก้เสร็จแล้ว หลายพรรคการเมืองก็ดำเนินการต่อไป ความจริงเป็นแค่การยืนยันให้เห็นว่าการยื่นแก้ไขครั้งนี้ เพื่อขอให้กฏหมายรัฐธรรมนูญชัดเจนเรื่องอำนาจ เพราะเขียนไว้ชัดเจนว่าให้อัยการเป็นคนรับเรื่อง "และ" พิจารณา แต่วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญมาเปลี่ยนเป็น "หรือ” มันผิดหลักการ
“ผมถึงบอกว่าน่าหวาดเสียวและควรเอาร่างที่ค้างวาระ 3 ในสภาคราวก่อนมาลงมติให้รู้ดำรู้แดงไปเลย พวกผมเลือดเข้าตาแล้ว ศาลไม่มีอำนาจออกกฏหมาย มีแต่ทำตามกฏหมาย แต่วันนี้มันไม่ใช่ เพราะที่ว่าคือมาตรฐานของศาลรัฐธรรมนูญ รับแล้วประชุมทันทีไม่มีใครทำในโลกนี้ ทำไมมันรวดเร็วปานนั้น ก่อนที่พวกเราจะลงมติ เกิดสั่งมาว่าทำไม่ได้ ต้องยุบพรรคอะไรมันจะเกิดขึ้น”
**ปชป.ชี้แก้รายมาตราหวังรื้อใหญ่ทั้งฉบับ
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระบวนการกินรวบประเทศไทยกลับมาอีกครั้ง กล่าวคือ 1.การแก้มาตรา 68 เพื่อเปิดทางการลงมติร่างแก้ไขมาตรา 291ที่ค้างรัฐสภาตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยได้ระบุเอาไว้ และนำไปสู่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขทั้งฉบับล้มล้างรัฐธรรมนูญ 2550 2.มาตรา190 ถ้าแก้ไขได้สำเร็จ อาจมีใครบางคนอาจไปลงนามเจรจาเรื่องแก๊สกับประเทศมาเลเซียและกัมพูชา แทนที่รัฐบาลจะออกกฎหมายลูกเพื่อกำหนดลักษณะของหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ 3.มาตรา237 ถ้าทำสำเร็จจะเกิดการโกงได้โกงเอา
“คนไทยทั่วไปไม่มีใครคิดแบบนี้หรอกครับ นอกจากคนแบบฮิตเลอร์คิด มีไม่กี่คนที่คิดชั่วแบบนี้ ดังนั้น ไม่ควรไปคิดแทนศาลท่านว่างานท่านเยอะ การแก้รัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่ต้องเพิ่มสิทธิให้ประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ไปลดลงเหมือนกับการตัดสิทธิของประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ”นายวิรัตน์กล่าว
นายวิรัตน์ กล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ การถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขจัดเสี้ยนหนามที่ขวางการฮุบประเทศไทย
**บันได3ขั้นแก้ม.68ล้มองค์กรอิสระ
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ไม่อยากเห็นบันได 3 ขึ้นเกิดขึ้น เมื่อขั้นแรกแก้ มาตรา 68 ผ่านแล้ว ขั้นต่อไปคือการลงมติ และบันได้ขั้นสุดท้าย คือ การรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งกังวลว่าจะเกิดการยุบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยุบศาลปกครอง ยุบศาลรัฐธรรมนูญให้เล็กลง ยุบผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะมาจากรัฐสภา ที่สำคัญกังวลว่าประธานศาลฎีกาต้องผ่านการรับรองจากรัฐสภา ถือเป็นการปฏิวัติ ยึดอำนาจในรูปแบบใหม่
**เลิกส.ว.สรรหาต้องเลิกส.ส.บัญชีรายชื่อ
นายประสงค์ นุรักษ์ ส.ว. สรรหา อภิปรายว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนจะขอรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่ง ส.ว.สรรหา ไม่ได้ แตกต่างจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย และที่สมาชิกในสภาตำหนิว่า ส.ว.สรรหาไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยมีทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการเลือกทางอ้อมหมายถึงประชาชนได้ยินยอมให้คนกลุ่มหนึ่ง เป็นผู้เลือกตั้งแทน ดังนั้นห ากจะยกเลิก ส.ว.ที่มาจากการสรรหา ก็ควรที่จะยกเลิก ส.ส.ที่จากจากบัญชีรายชื่อทั้งหมด 125 คน จะได้สาสมกับที่ว่า ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมไม่มีคุณค่าในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนต่อไป
นายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ หนึ่งในทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธาน วานนี้ (3 เม.ย.) ว่า ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เสียงรับคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และคณะ กระทำการที่ส่อไปในทางกระทำความิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการตัดสิทธิของบุคคลในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญหรือไม่ ไว้พิจารณาวินิจฉัย
เนื่องจากเห็นว่า คำร้องนี้ เป็นกรณีที่ผู้ร้องใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญโดยอ้างว่าผู้ถูกร้องทั้ง 312 คน ซึ่งเป็นส.ส.และส.ว.ได้ร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่. ...) พ.ศ. ... ต่อนายสมศักดิ์ ผู้ถูกร้องที่ 1 โดยยกเลิกความในรัฐธรรมนูญมาตรา 68 แล้ว เสนอเนื้อความใหม่ที่เป็นการยกเลิกสิทธิของชนชาวไทยในการที่จะใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงออกไป คงเหลือแต่เพียงให้บุคคลผู้ทราบการกระทำ เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพียงประการเดียว และให้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญในกรณีที่บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยเท่านั้น ไม่อาจใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้พ้นจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในลักษณะอื่นนอกเหนือจากการใช้สิทธิและเสรีภาพ อันเป็นการลิดรอนสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญของชนชาวไทย จึงมีมูลกรณีที่นายสมชายจะใช้สิทธิยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบตามมาตรา 68 วรรคสอง ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสอง และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย 2550 ข้อ 17 (2)
ส่วนที่นายสมชายมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว สั่งให้รัฐสภาระงับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญและลงมติในวาระที่ 1 นั้น ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ายังไม่ปรากฏมูลกรณีอันเป็นเหตุฉุกเฉิน หรือเหตุผลอันสมควรเพียงพอที่จะต้องมีคำสั่งดังกล่าว จึงมีคำสั่งให้ยกคำขอ และสั่งให้นายสมชายผู้ร้องทำสำเนาคำร้องส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 312 ชุด เพื่อส่งให้นายสมศักดิ์ และพวกยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับหนังสือแจ้ง หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจ และหลังจากที่ศาลได้รับคำชี้แจงทั้งหมดแล้ว ก็จะทำการตรวจสอบและพิจารณาว่าจะมีการกำหนดวิธีการพิจารณาคำร้องนี้อย่างไร
สำหรับเหตุที่องค์คณะพิจารณาคำร้องนี้มีเพียง 5 คน เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน คือนายชัช ชลวร นายนุรักษ์ มาประณีต นายเฉลิมพล เอกอุรุ และนายบุญส่ง กุลบุปผา ได้ลาประชุม และเดินทางไปต่างประเทศ ก่อนที่คำร้องนี้จะเข้ามายังสำนักงาน ซึ่งตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญมีตุลาการเข้าประชุม 5 คนก็ถือว่าเป็นองค์คณะพิจารณาได้ และเมื่อตุลาการ 4 คนกลับมาก็สามารถเข้าร่วมพิจารณาคำร้องได้
เมื่อถามว่า การที่ศาลรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแต่ไม่มีคำสั่งให้รัฐสภาระงับการพิจารณาไว้ก่อนจะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ นายสมฤทธิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหา ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปได้ และการที่ศาลฯ รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยก็เพราะคำร้องต้องด้วยหลักเกณฑ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายสมฤทธิ์จะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนประมาณ 10 นาที ปรากฏว่าในรัฐสภา ซึ่งมีการอภิปรายเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่นั้น นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ได้มีการแจ้งต่อที่ประชุมว่า มีรายงานว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องของนายสมชาย จากนั้นสำนักข่าวต่างๆ ก็ได้มีการรายงานข่าวผ่านทางSMS ทวิตเตอร์และโซเชียลเน็ตเวิร์ดต่างๆ ซึ่งได้สร้างความสับสนให้กับสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจและติดตามการแถลงข่าวของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันระหว่างการแถลงข่าวของนายสมฤทธิ์ ก็ได้มีประชาชนมาคอยสังเกตการณ์และตะโกนแสดงความเห็นระหว่างการแถลงข่าวว่า “ถ้าศาลไม่กล้า จะหยุดระบอบทักษิณได้อย่างไร”
**"วสันต์-อุดมศักดิ์" 2 เสียงข้างน้อย
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคำร้องดังกล่าวของคณะตุลาการฯ สำนักงานฯ ได้มีการแจ้งให้คณะตุลาการฯ ทราบว่าช่วงเช้านายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคัดค้านเพื่อขอให้ยกคำร้องของนายสมชาย แต่คณะตุลาการเห็นว่านายสิงห์ทองไม่ใช่คู่กรณี คำร้องที่ยื่นเป็นเหมือนคำร้องทุกข์ จึงไม่สามารถนำมาพิจารณาได้ สำหรับตุลาการเสียงข้างน้อยที่เห็นควรไม่รับคำร้อง 2 เสียง คือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี เนื่องจากเห็นว่ากรณีดังกล่าวยังไม่มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นตามที่ผู้ร้องอ้าง
ส่วนเสียงข้างมาก 3 เสียงที่ให้รับพิจารณา คือ นายจรูญ อินทรจาร นายจรัญ ภักดีธนากุล และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ โดยเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องเข้าองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งสมควรที่ศาลรัฐธรรมนูญจะทำการตรวจสอบ แต่ทั้งนี้เสียงข้างมากยังไม่ได้เห็นว่ามีความผิดเกิดขึ้นจริง
**ปชป.ขู่ ส.ส.-ส.ว.โหวตหนุนยื่นถอด
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คงมีผลต่อเสียงโหวตสนับสนุนร่างแก้ไขในวาระ 1 และขอเตือนไปยังส.ว.และส.ส. ที่กำลังยกมือสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวว่าควรจะใช้วิจารณญาณให้รอบคอบ เพราะการลงมติดังกล่าวจะมีผลผูกพันถึงขั้นถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ กำลังรวบรวมข้อมูล และถอดเทปคำอภิปราย รวมถึงคำให้สัมภาษณ์ของส.ส.และแกนนำรัฐบาล เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ผ่านสภาแล้ว ก็จะเดินหน้าโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 3 ได้ทันที ซึ่งเป็นการส่อว่าล้มล้างการปกครอง โดยเมื่อรวบรวมข้อมูลเสร็จจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญใหม่ในช่วงหลังสงกรานต์
**เสื้อแดงห้าวรอนกหวีดรวมพล
นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า เครือข่ายระบอบอำมาตย์ในประเทศไม่อนุญาตให้แก้รัฐธรรมนูญ 50 และขณะนี้ก็เแบ่งงานกันทำ โดยให้นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ไปยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวต่อตุลาการศาลฯ แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร นปช.ขอเรียกร้องไปยังรัฐสภาว่าให้เดินหน้าโหวตแก้ไขวาระ 3 ไปเลย เพราะถึงอย่างไรก็ถูกเครือข่ายอำมาตย์เล่นงาน และขอให้คนเสื้อแดงเตรียมตัวไว้ให้ดี สัญญาณต่างๆ ที่ออกมาแรง และนี่คือยกที่หนึ่งเท่านั้น
นายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. กล่าวว่า ถ้าศาลฯ รับเรื่องก็เท่ากับตีไพ่ให้กันกิน และสมคบกับ ส.ว.สรรหาและพรรคประชาธิปัตย์ ล้มการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่ม นปช.จึงหารือกันว่าจะเรียกร้องให้คนเสื้อแดงไปแจ้งความกับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั่วประเทศ ในฐานะที่กระทำการไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 157
นายสมหวัง อักษราสี แกนนำ นปช. กล่าวว่า คดีความหลังจากนี้ ถ้าไม่มีความเป็นธรรมและไม่เป็นกลาง คนเสื้อแดงจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว คนเสื้อแดงทั้งประเทศเตรียมตัวให้ดี พวกองค์กรอำมาตย์กำลังเริ่มทำงาน แล้วเราจะเป่านกหวีดพร้อมกัน
ด้านนพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมพวก แถลงข่าว เดินหน้าชนศาลรัฐธรรมนูญ และยืนยันจะโหวตรับหลักการ มาตรา 68 และ 237 โดยไม่สนว่าจะถูกตัดสิทธิ์ ถูกยุบพรรค หรือถูกดำเนินคดีอาญา นอกจากนี้ ในวันที่ 4 เม.ย. เตรียมแจ้งอาญา มาตรา 157 ให้ตำรวจจัดการตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง5 เหตุทำผิดกฎหมายรับคำร้องกลุ่ม40สว. เพราะต้องผ่านอัยการก่อน
**พธม.แถลงท่าทีแก้ไขรัฐธรรมนูญวันนี้
มีรายงานว่า วันพฤหัสบดีที่ 4 เม.ย.2556แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 1 และ รุ่น 2 จะมีการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและกำหนดทิศทางต่อไปในอนาคต และจะแถลงข่าวในวันเดียวกันในเวลาประมาณ 11.00 น. ณ บ้านพระอาทิตย์
**"ปู"แถ แก้เพื่อเตรียมเข้าอาเซียน
ที่รัฐสภา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีการชี้ทางออกให้กับประเทศด้วย เพราะการทำให้กฎหมายเป็นประชาธิปไตย มีความยุติธรรมและเป็นไปตามหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการที่จะสร้างความเชื่อมั่น โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็หวังว่าจะมีทางออก เพราะว่าการแก้ไขโดยแนวทางที่จะมีการสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ก็ไปไม่ได้ ก็มาแก้รายมาตราแล้ว หวังว่าทางออกจะมีให้กับประเทศ และยังเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่ขณะนี้อาเซียนหลายๆ ประเทศก็มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกันแล้วทั้งนั้น
เมื่อถามว่า รัฐบาลยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลักใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ใช่ค่ะ ทั้งหมดก็เห็นอยู่แล้ว ในการแก้ไขแต่ละมาตรา ก็ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
เมื่อเวลา 19.35 น. วานนี้ (3 เม.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของส.ว. กรณียื่นคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และ มาตรา 237 ว่า อันนี้เป็นขั้นตอนตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งในเรื่องการรับเรื่อง คงต้องว่าไปตามขั้นตอน แต่ในส่วนนี้ คงต้องให้สภานำขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยรับเรื่องพิจารณา ไปหารือกันในสภา
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาวาระ 2 จะเป็นปัญหาหรือไม่ เพราะต้องโหวต รายมาตรา นายกฯ กล่าวว่า ก็คงไม่ทราบ คิดว่าต้องคุยกันในสภาก่อน
**"เต้น"ขู่ใช้เอกสิทธิ์โหวตวาระ3ที่ค้าง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำ นปช. ได้โพสข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ว่า ตนเชื่อมั่นด้วยหลักการทั้งมวลว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราหรือแก้ทั้งฉบับทำได้ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ล้มล้างการปกครอง ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องและสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้เดินต่อ ตนในฐานะ ส.ส.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะใช้เอกสิทธิ์เสนอโหวตวาระ 3 ที่ค้างไว้อยู่ทันที เพราะสภานี้ เป็นของประชาชน มีอำนาจหน้าที่ในการสถาปนากฎหมาย ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาแทรกแซงตามอำเภอใจ
**“มาร์ค” โวยปูบิดเบือนแก้ ม.68
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันว่าการแก้ไขมาตรา 68 เป็นการตัดสิทธิ์ประชาชนในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมา มีคนบอกว่าการเสนอแก้ไขเพื่อให้มีความชัดเจนเท่านั้น ตนคิดว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะศาลรัฐธรรมนูญตัดสินชัดเจนแล้ว และถ้าแก้เพื่อความชัดเจนเท่านั้น ทำไมถึงไม่แก้ให้ชัด ตามที่ศาลเขาวินิจฉัย แต่กลับทำไม่ตรงกับที่ศาลวินิจฉัย และแก้เพื่อไม่ให้คนไปฟ้องศาลโดยตรง
**รัฐสภาถกวันสุดท้ายถล่มศาลรัฐธรรมนูญ
ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 สมัยสามัญนิติบัญญัติ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …) พ.ศ. ... เป็นวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายมี นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่ได้มีการยื่นให้รัฐสภาพิจารณา ถือเป็นการรักษาดุลอำนาจ ระหว่าง ฝ่ายบริหาร, ฝ่ายตุลาการ และฝ่ายนิติบัญญัติ โดยให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนคืนสู่ประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีผู้ร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญส่อขัดรัฐธรรมนูญ และขอให้มีคำสั่งยกเลิกนั้น ตนไม่กังวลกับคำวินิจฉัย เพราะการใช้สิทธิ์พิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการทำหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้
**ส.ส. เพื่อไทย เสียวถูกยุบพรรค
นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าพวกเราจ้องจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีโทษถึงขั้นให้ยุบพรรคนี้ เป็นข้อกล่าวหาที่น่ากลัวมาก ตนรู้สึกเคว้งคว้าง เพราะไม่รู้จะไปอยู่พรรคไหน ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบ แต่ยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิ์จะมาสั่งรัฐสภาว่าให้ยกเลิกการพิจารณากฏหมาย แต่มีหน้าที่ทำตามกฏหมายที่รัฐสภาออก ต้องคิดว่า มาตรา68 ไม่ได้แก้ไขเพื่อใคร เพราะไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เมื่อแก้เสร็จแล้ว หลายพรรคการเมืองก็ดำเนินการต่อไป ความจริงเป็นแค่การยืนยันให้เห็นว่าการยื่นแก้ไขครั้งนี้ เพื่อขอให้กฏหมายรัฐธรรมนูญชัดเจนเรื่องอำนาจ เพราะเขียนไว้ชัดเจนว่าให้อัยการเป็นคนรับเรื่อง "และ" พิจารณา แต่วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญมาเปลี่ยนเป็น "หรือ” มันผิดหลักการ
“ผมถึงบอกว่าน่าหวาดเสียวและควรเอาร่างที่ค้างวาระ 3 ในสภาคราวก่อนมาลงมติให้รู้ดำรู้แดงไปเลย พวกผมเลือดเข้าตาแล้ว ศาลไม่มีอำนาจออกกฏหมาย มีแต่ทำตามกฏหมาย แต่วันนี้มันไม่ใช่ เพราะที่ว่าคือมาตรฐานของศาลรัฐธรรมนูญ รับแล้วประชุมทันทีไม่มีใครทำในโลกนี้ ทำไมมันรวดเร็วปานนั้น ก่อนที่พวกเราจะลงมติ เกิดสั่งมาว่าทำไม่ได้ ต้องยุบพรรคอะไรมันจะเกิดขึ้น”
**ปชป.ชี้แก้รายมาตราหวังรื้อใหญ่ทั้งฉบับ
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระบวนการกินรวบประเทศไทยกลับมาอีกครั้ง กล่าวคือ 1.การแก้มาตรา 68 เพื่อเปิดทางการลงมติร่างแก้ไขมาตรา 291ที่ค้างรัฐสภาตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยได้ระบุเอาไว้ และนำไปสู่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขทั้งฉบับล้มล้างรัฐธรรมนูญ 2550 2.มาตรา190 ถ้าแก้ไขได้สำเร็จ อาจมีใครบางคนอาจไปลงนามเจรจาเรื่องแก๊สกับประเทศมาเลเซียและกัมพูชา แทนที่รัฐบาลจะออกกฎหมายลูกเพื่อกำหนดลักษณะของหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ 3.มาตรา237 ถ้าทำสำเร็จจะเกิดการโกงได้โกงเอา
“คนไทยทั่วไปไม่มีใครคิดแบบนี้หรอกครับ นอกจากคนแบบฮิตเลอร์คิด มีไม่กี่คนที่คิดชั่วแบบนี้ ดังนั้น ไม่ควรไปคิดแทนศาลท่านว่างานท่านเยอะ การแก้รัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่ต้องเพิ่มสิทธิให้ประชาชนมากขึ้น ไม่ใช่ไปลดลงเหมือนกับการตัดสิทธิของประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ”นายวิรัตน์กล่าว
นายวิรัตน์ กล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ การถอดถอนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขจัดเสี้ยนหนามที่ขวางการฮุบประเทศไทย
**บันได3ขั้นแก้ม.68ล้มองค์กรอิสระ
น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ไม่อยากเห็นบันได 3 ขึ้นเกิดขึ้น เมื่อขั้นแรกแก้ มาตรา 68 ผ่านแล้ว ขั้นต่อไปคือการลงมติ และบันได้ขั้นสุดท้าย คือ การรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งกังวลว่าจะเกิดการยุบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยุบศาลปกครอง ยุบศาลรัฐธรรมนูญให้เล็กลง ยุบผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะมาจากรัฐสภา ที่สำคัญกังวลว่าประธานศาลฎีกาต้องผ่านการรับรองจากรัฐสภา ถือเป็นการปฏิวัติ ยึดอำนาจในรูปแบบใหม่
**เลิกส.ว.สรรหาต้องเลิกส.ส.บัญชีรายชื่อ
นายประสงค์ นุรักษ์ ส.ว. สรรหา อภิปรายว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนจะขอรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่ง ส.ว.สรรหา ไม่ได้ แตกต่างจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย และที่สมาชิกในสภาตำหนิว่า ส.ว.สรรหาไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยมีทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการเลือกทางอ้อมหมายถึงประชาชนได้ยินยอมให้คนกลุ่มหนึ่ง เป็นผู้เลือกตั้งแทน ดังนั้นห ากจะยกเลิก ส.ว.ที่มาจากการสรรหา ก็ควรที่จะยกเลิก ส.ส.ที่จากจากบัญชีรายชื่อทั้งหมด 125 คน จะได้สาสมกับที่ว่า ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมไม่มีคุณค่าในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนต่อไป