วานนี้(31 มี.ค.56) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติตอาอายุ รถเมล์ฟรี และรถไฟฟรี แล้ว นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เสนอน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอครม.อนุมัติเรื่องตั๋วร่วมเป็นตั๋วสำหรับคนจน สามารถใช้บริการขนส่งมวลชนได้ทุกชนิด โดยจะเสนอรูปแบบในเร็วๆนี้
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เมื่อเร็วๆ นี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานที่ประชุม ได้สั่งให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กลับไปแก้ไขรายละเอียดของเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) โครงการจัดซื้อรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง หรือรถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 3,183 คัน วงเงิน 13,162 ล้านบาท โดยเฉพาะเรื่องการใช้เชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ จากที่ระบุใช้ก๊าซเอ็นจีวีเท่านั้น เป็นสามารถใช้พลังงานทางเลือกอื่นได้เพื่อไม่บีบบังคับว่ารถเมล์ที่จะซื้อนั้นจะต้องใช้ก๊าซเอ็นจีวีอย่างเดียว
คาดการณ์ว่า ขสมก.จะสรุปเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมกลั่นกรองฯเห็นชอบในวันที่ 30 มีนาคม เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาวันที่ 9 เมษายนนี้
"นายกิตติรัตน์กล่าวว่า เอกสารทีโออาร์ที่ระบุให้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว เหมือนเป็นการผูกมัดหากในอนาคตก๊าซเอ็นจีวีมีปริมาณไม่เพียงพอ อาจทำให้ ขสมก.มีปัญหาได้" แหล่งข่าวกล่าว และว่า นายกิตติรัตน์ได้กล่าวถึงพลังงานทางเลือกจะช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และหากราคาพลังงานทางเลือกมีราคาสูงขึ้น รัฐบาลพร้อมอุดหนุนให้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายกิตติรัตน์มีแนวคิดจะเปลี่ยนเชื้อเพลิงในรถเมล์ หลังร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเยือนประเทศสวีเดนและเบลเยียมเพื่อดูงานด้านพลังงานทดแทน โดยสนใจน้ำมันอีดี 95 น่าจะเหมาะกับรถเมล์ไทย
นายวีระพงศ์ วงแหวน เลขาธิการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 เม.ย.2556 คณะกรรมการสหภาพ ขสมก. จะมีการประชุมคณะกรรมการเรื่องการกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวการจัดซื้อรถเมล์ NGV ใหม่ จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาทดแทนรถเมล์ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีสภาพเก่า หรือ มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 15 ปี ถึงแม้ว่า คณะกรรมการกลั่งกรองเศรษฐกิจเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจจะมีการเสนอเรื่องการจัดซื้อรถเมล์ NGV ใหม่ ในวันที่ 9 เม.ย.2556 เนื่องจาก จะต้องดูผลที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและมีเอกสารผลการประชุมที่ชัดเจนหรือไม่ เพราะที่ประชุมยังไม่มีการพิจารณาเรื่องการจัดซื้อรถเมล์ใหม่ให้กับ ขสมก. ทางสหภาพจะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ซึ่งคาดว่า จะมีพนักงาน ขสมก. ออกมาเคลื่อนไหวมากกว่าครั้งที่ผ่านมา และอาจมีผลกระทบกับการให้บริการกับประชาชนด้วย
รายงานข่าว แจ้งว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ได้รายงานผลการเจรจาการต่อรองราคาในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญา 4 (สัมปทานสำหรับการลงทุน การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษา) กับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเอ็มซีแอล หลังจากที่คณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 เสนอมา ซึ่ง บีเอ็มซีแอล ยอมปรับลดราคาค่างานต่างๆลงประมาณ 2,610 ล้านบาท เหลือ 83,310 ล้านบาทเท่านั้น
หลังจากนี้ ทางกระทรวงคมนาคมกำลังดำเนินการที่จะเตรียมเรื่องดังกล่าวเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้ความเห็นชอบต่อไป แต่ทั้งนี้ ยังมีความกังวลว่าวงเงินในการเจรจาขอลดราคานั้นยังต่ำเกินไป เนื่องจากมีราคาเปรียบเทียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีข้อมูลละเอียดในเรื่องของราคารถไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายในการเดินรถไฟฟ้าของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ซึ่งหากตัวเลขมีความผิดปกติ อาจจะเป็นข้อครหาได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เบื้องต้น กระทรวงคมนาคมได้มีการจัดทำข้อเสนอและทางออกเพื่อที่จะให้โครงการดังกล่าวสามารถเดินหน้าต่อได้ และจะไม่มีการถูกตรวจสอบจากหน่วยงานต่างๆ ได้ โดยมี 3 แนวทางคือ 1. หากให้ทางบีเอ็มซีแอล ดำเนินการต่อ ครม.ควรตั้งเงื่อนไขครั้งสุดท้ายให้ชัดเจน เช่น ควรกำหนดค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ชัดเจน การเปิดให้บริการจะต้องดำเนินการให้ทันในเดือนตุลาคม 2558 โดยต้องไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มหรือไม่มีเงื่อนไขอื่นๆ
“หากแนวทางนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ เห็นควรที่จะยกเลิกการประมูล แล้วให้มีการประมูลใหม่เป็นแบบ PPP Gross Cost ที่กำลังจะมีการดำเนินการเช่นเดียวกับสายสีน้ำเงิน โยแยกสัญญางานระบบ ตัวรถไฟฟ้าและการเดินรถ คาดว่าราคาจะสามารถลดลงได้อีกประมาณ 20-30% ซึ่งขณะนี้ยังมีเวลา หรืออีกแนวทางก็คือ รฟม.ประมูลจัดซื้อรถไฟฟ้าและระบบโดยตรง และประมูลจัดจ้างเอกชนเดินรถและบำรุงรักษาเหมือนเป็นการ Outsource ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ระยะเวลาในการเปิดให้บริการเร็วขึ้น โดยจะเปิดเดินรถได้ในเดือนมิถุนายน 2558 เนื่องจาก รฟม.สามารถคุมการดำเนินงานเป็นส่วนๆได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของครม.”
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เมื่อเร็วๆ นี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานที่ประชุม ได้สั่งให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กลับไปแก้ไขรายละเอียดของเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) โครงการจัดซื้อรถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง หรือรถเมล์เอ็นจีวี จำนวน 3,183 คัน วงเงิน 13,162 ล้านบาท โดยเฉพาะเรื่องการใช้เชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ จากที่ระบุใช้ก๊าซเอ็นจีวีเท่านั้น เป็นสามารถใช้พลังงานทางเลือกอื่นได้เพื่อไม่บีบบังคับว่ารถเมล์ที่จะซื้อนั้นจะต้องใช้ก๊าซเอ็นจีวีอย่างเดียว
คาดการณ์ว่า ขสมก.จะสรุปเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมกลั่นกรองฯเห็นชอบในวันที่ 30 มีนาคม เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาวันที่ 9 เมษายนนี้
"นายกิตติรัตน์กล่าวว่า เอกสารทีโออาร์ที่ระบุให้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว เหมือนเป็นการผูกมัดหากในอนาคตก๊าซเอ็นจีวีมีปริมาณไม่เพียงพอ อาจทำให้ ขสมก.มีปัญหาได้" แหล่งข่าวกล่าว และว่า นายกิตติรัตน์ได้กล่าวถึงพลังงานทางเลือกจะช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และหากราคาพลังงานทางเลือกมีราคาสูงขึ้น รัฐบาลพร้อมอุดหนุนให้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายกิตติรัตน์มีแนวคิดจะเปลี่ยนเชื้อเพลิงในรถเมล์ หลังร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเยือนประเทศสวีเดนและเบลเยียมเพื่อดูงานด้านพลังงานทดแทน โดยสนใจน้ำมันอีดี 95 น่าจะเหมาะกับรถเมล์ไทย
นายวีระพงศ์ วงแหวน เลขาธิการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 เม.ย.2556 คณะกรรมการสหภาพ ขสมก. จะมีการประชุมคณะกรรมการเรื่องการกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวการจัดซื้อรถเมล์ NGV ใหม่ จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาทดแทนรถเมล์ที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีสภาพเก่า หรือ มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 15 ปี ถึงแม้ว่า คณะกรรมการกลั่งกรองเศรษฐกิจเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจจะมีการเสนอเรื่องการจัดซื้อรถเมล์ NGV ใหม่ ในวันที่ 9 เม.ย.2556 เนื่องจาก จะต้องดูผลที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและมีเอกสารผลการประชุมที่ชัดเจนหรือไม่ เพราะที่ประชุมยังไม่มีการพิจารณาเรื่องการจัดซื้อรถเมล์ใหม่ให้กับ ขสมก. ทางสหภาพจะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ซึ่งคาดว่า จะมีพนักงาน ขสมก. ออกมาเคลื่อนไหวมากกว่าครั้งที่ผ่านมา และอาจมีผลกระทบกับการให้บริการกับประชาชนด้วย
รายงานข่าว แจ้งว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ได้รายงานผลการเจรจาการต่อรองราคาในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญา 4 (สัมปทานสำหรับการลงทุน การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษา) กับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเอ็มซีแอล หลังจากที่คณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 เสนอมา ซึ่ง บีเอ็มซีแอล ยอมปรับลดราคาค่างานต่างๆลงประมาณ 2,610 ล้านบาท เหลือ 83,310 ล้านบาทเท่านั้น
หลังจากนี้ ทางกระทรวงคมนาคมกำลังดำเนินการที่จะเตรียมเรื่องดังกล่าวเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้ความเห็นชอบต่อไป แต่ทั้งนี้ ยังมีความกังวลว่าวงเงินในการเจรจาขอลดราคานั้นยังต่ำเกินไป เนื่องจากมีราคาเปรียบเทียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีข้อมูลละเอียดในเรื่องของราคารถไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายในการเดินรถไฟฟ้าของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ซึ่งหากตัวเลขมีความผิดปกติ อาจจะเป็นข้อครหาได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เบื้องต้น กระทรวงคมนาคมได้มีการจัดทำข้อเสนอและทางออกเพื่อที่จะให้โครงการดังกล่าวสามารถเดินหน้าต่อได้ และจะไม่มีการถูกตรวจสอบจากหน่วยงานต่างๆ ได้ โดยมี 3 แนวทางคือ 1. หากให้ทางบีเอ็มซีแอล ดำเนินการต่อ ครม.ควรตั้งเงื่อนไขครั้งสุดท้ายให้ชัดเจน เช่น ควรกำหนดค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ชัดเจน การเปิดให้บริการจะต้องดำเนินการให้ทันในเดือนตุลาคม 2558 โดยต้องไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มหรือไม่มีเงื่อนไขอื่นๆ
“หากแนวทางนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ เห็นควรที่จะยกเลิกการประมูล แล้วให้มีการประมูลใหม่เป็นแบบ PPP Gross Cost ที่กำลังจะมีการดำเนินการเช่นเดียวกับสายสีน้ำเงิน โยแยกสัญญางานระบบ ตัวรถไฟฟ้าและการเดินรถ คาดว่าราคาจะสามารถลดลงได้อีกประมาณ 20-30% ซึ่งขณะนี้ยังมีเวลา หรืออีกแนวทางก็คือ รฟม.ประมูลจัดซื้อรถไฟฟ้าและระบบโดยตรง และประมูลจัดจ้างเอกชนเดินรถและบำรุงรักษาเหมือนเป็นการ Outsource ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ระยะเวลาในการเปิดให้บริการเร็วขึ้น โดยจะเปิดเดินรถได้ในเดือนมิถุนายน 2558 เนื่องจาก รฟม.สามารถคุมการดำเนินงานเป็นส่วนๆได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของครม.”
