xs
xsm
sm
md
lg

ลาก่อน ยิ่งลักษณ์!?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

การเตรียมการ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ลงสมัคร ส.ส.ในระบบเขตแบบเร่งรีบนั้น ย่อมแสดงว่ามี “สัญญาณความเสี่ยง” ที่อาจจะกระทบต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร!!!

ใครจะเชื่อว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น จะสามารถมีการบริหารจัดการที่สืบทอดกันได้ตามสายเลือดและวงศาคณาญาติ และเป็นเรื่องที่ต้องตกลงกันระหว่างคนในครอบครัว คนอื่นไม่เกี่ยว!!!

“หุ่นเชิด” ที่เป็นคนขับรถ คนถือกระเป๋า ฯลฯ ลงสมัครและกลายเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ และสามารถสั่งให้ลาออกเพื่อให้คนอื่นลงแทนโดยไม่ต้องสนใจประชาชนที่เลือกมาได้ ก็มีแต่ที่ประเทศไทยที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น

ในเมื่อประเทศไทยเป็นเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร ถ้าวันหนึ่งคนในครอบครัวคนหนึ่งกระทำผิดกฎหมายไป แล้วคนในครอบครัวจะส่งตัวแทนมาสืบทอดอำนาจต่อไปแบบ “สืบชินวัตรวงศ์!!!”

ทักษิณไปก็ให้หุ่นเชิดนายสมัครมาเป็นแทน หุ่นเชิดนายสมัครพ้นตำแหน่งและตายไปก็ให้น้องเขยมาเป็นแทน น้องเขยพ้นตำแหน่งไปก็ให้ลูกพี่สาวมาเป็นแทน ถ้าลูกพี่สาวพ้นตำแหน่งไปก็ให้น้องสาวมาเป็นแทน ยังคิดต่อว่าถ้าวันหนึ่งน้องสาวพ้นตำแหน่งไปก็คงถึงคราวลูกชายหรือลูกสาวมาเป็นแทนก็ได้

หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งไป ก็คงจะถึงคราวน้องสาวของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรที่ชื่อ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่เตรียมเอาไว้สำหรับการรองรับความเสี่ยงที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในคราวที่มีขุมทรัพย์มหาศาลมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท รออยู่ข้างหน้า

คำถามอะไรคือความเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้า?

ความเสี่ยงแรก ก็น่าจะมาจากกรณีที่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่เพิ่งผ่านไปนั้น ดูเหมือนจะมีการลุ้นรอคำวินิจฉัยที่มีเดิมพันที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

เพราะ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.) ได้เคยเปิดเผยถึงการยื่นคำร้อง 2 เรื่อง ที่ทาง กกต.กทม.รับพิจารณาไว้เพิ่มเติม คือ ประเด็นที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย โดยมิชอบ เนื่องจากใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์ ซึ่งเข้าข่ายผิดมาตรา 60 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ในกรณีนี้ ถ้าหากนางสาวยิ่งลักษณ์ทำผิดจริง ก็จะมีโทษตามมาตรา 118 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นฯ จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี นั่นหมายความว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ก็จะพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปด้วย

ในขณะที่อีกกรณีหนึ่งคือ การคัดค้านการประกาศผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. เนื่องจากมีกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่ง ได้ปราศรัยเป็นโทษต่อผู้สมัครรายอื่น เข้าข่ายผิดมาตรา 57 วรรค 5 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นฯ ซึ่งหากมีความผิดจริง ก็อาจจะถูกยุบพรรคและถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 5 ปีได้ ตามกฎหมายมาตรา 104 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง โดยทั้ง 2 กรณี กกต.กทม.เตรียมส่งเรื่องให้ กกต. กลางดำเนินการต่อไป

ตกลงกรณีนี้มีลุ้นทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความผิดก็จะพ้นจากตำหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปเลยถึง 10 ปี และหากกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดก็จะมีโทษถึงขั้นสูงสุดถึงขั้นถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งและยุบพรรคในที่สุด

แต่ว่ากันว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นจอมขมังเวทย์อยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า เพราะโดนข้อหาถึงขั้นยุบพรรคมากเท่าไหร่และหนักหนาสาหัสเพียงใดก็จะรอดพ้นมาได้ทุกครั้ง ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ล้มหายตายเรียบในเงื้อมมือขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ!

แต่เพราะมีเรื่องค้างที่ต้องวินิจฉัย 2 ข้าง เมื่อประชาธิปัตย์จะไม่ผิดแล้ว การจะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผิดก็คงจะโดนถล่มในทางการเมืองอย่างหนัก ดังนั้นเมื่อพิจารณาบริบทความเสี่ยงนี้ หลายคนเชื่อว่าสุดท้ายแล้วคำวินิจฉัยของ กกต.กลาง คง “ไม่มีอะไรในกอไผ่”

แต่ความจริงก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะสมมติว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกลงโทษให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งจริง ทุกอย่างก็จะกลับไปสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ถึงเวลานั้นก็คาดว่าคนไทยจะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อยู่ดี

ถ้าเป็นจริง ก็จะได้มีโอกาสแก้ปมในใจของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนแรกที่ไม่เคยเข้าทำเนียบรัฐบาล ก็จะได้ให้ภรรยามาเป็นนายกรัฐมนตรีมาปลอบใจแทน

มันคงเป็นเรื่องของคนในครอบครัวจริงๆ เพราะนอกจากจะได้การปลอบใจในการผลัดกันชมงบประมาณมหาสมบัติ 2 ล้านล้านบาทแล้ว เผื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะได้มีเวลาไปซื้อ “ตู้เย็น” ได้มากขึ้นด้วย จริงไหม?

แต่เรื่องดังกล่าวข้างต้นก็อาจจะเป็นฝันสลายไปสำหรับ สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ถ้า กกต.กลางไม่เล่นด้วย ก็ต้องไปรอลุ้นเรื่องถัดไป ซึ่งน่าสนใจยิ่งกว่า

นั่นคือกฎหมายที่ชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ....”

ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ คณะรัฐมนตรีโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้ลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วเมื่อวันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556 และได้เสนอให้รัฐสภาพิจารณาตามขั้นตอน และได้บรรจุบวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28 และ 29 มีนาคม 2556

กฎหมายดังกล่าวค่อนข้างชัดเจนว่า อาจขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 169 ซึ่งบัญญัติเอาไว้ว่า

“มาตรา 169 การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณหรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนรัฐบาลจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในพระราชบัญญัติโอนเงินงบประมาณรายจ่าย พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ทั้งนี้ให้กำหนดแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดใช้รายจ่ายที่ได้ใช้เงินคงคลังจ่ายไปก่อนแล้วด้วย”

แต่ที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญก็เพราะร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... นั้น กลับบัญญัติ มาตรา 5 และมาตรา 6 ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 คือ

“มาตรา 5 ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อนำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์และแผนงานและภายในวงเงินที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้

การกู้เงินตามวรรคหนึ่งให้มีมูลค่ารวมกันไม่เกินสองล้านล้านบาท และให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563”

และมาตรา 6 ระบุว่า :

“มาตรา 6 เงินที่ได้จากการกู้ตามมาตรา 5 ให้นำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ในการกู้ โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง

กระทรวงการคลังอาจนำเงินที่ได้จากการกู้ไปให้กู้ต่อแก่หน่วยงานของรัฐเพื่อให้นำไปใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศก็ได้ แต่ต้องเป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแผนงานที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น”

เงิน 2 ล้านล้านบาทที่กระทรวงการคลังกู้นั้น จะไปใช้จ่ายได้โดยที่ไม่ต้องนำเงินส่งเข้าคลังอีก ร่างพระราชบัญญัตินี้จึงย่อมขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ว่า “การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณหรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง” อย่างชัดเจน

คาดการณ์ได้เลยว่าในอีกไม่นานนี้คงจะต้องมีผู้ไปยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในมติคณะรัฐมนตรีที่ไม่ชอบและขัดรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาต่อไป และ หาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเมื่อใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยทันที

แต่มาถึงขั้นนี้พรรคเพื่อไทยไม่ควรจะยอมเสียหน้าในเรื่องนี้ จริงไหม?

ดังนั้น จึงควรให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยรีบลงมติให้ความเห็นชอบกฎหมายสุ่มเสี่ยงนี้เสียโดยเร็ว จะได้ไม่ปล่อยให้ความเสี่ยงเรื่องการขัดรัฐธรรมนูญตกอยู่กับคณะรัฐมนตรีแต่เพียงอย่างเดียว ให้มันอบอุ่นกอดกันกลมไปถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยกันทั้งผองด้วย หรือจะแถมสมาชิกวุฒิสภาเข้าไปร่วมมีความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไปด้วยอย่างสมัครสมานสามัคคีก็ดีเหมือนกัน

เงิน 2 ล้านล้านบาท รอสวาปามอยู่ข้างหน้า จะช้าอยู่ไย!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น