xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ กระชากหน้ากาก “แก๊งฝรั่ง” จับมือ “ไอ้โม่งไทย” ล้มสถาบัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่ฮือฮาไม่น้อยทีเดียวสำหรับข้อเขียนเรื่อง “ประชาชนคือป้อมปราการ” ที่เขียนโดย “ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์” อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และถูกนำไปขยายความต่ออย่างกว้างขวาง ซึ่งบทความดังกล่าวได้วิเคราะห์เจาะลึกและสาวไส้ ฉีกหน้ากาก ของ “ไอ้โม่ง” ที่อยู่เบื้องหลังฝรั่งต่างชาติที่เคลื่อนไหวโจมตีสถาบันของไทยมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา !!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเขียนอเมริกัน 2 คน คือ เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) และ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ซึ่งมักเขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ของไทย

แน่นอน หลายคนยังอยากรู้ต่อไปว่าคนเหล่านี้มีเป้าหมายอย่างไร และได้อะไรจากการขับเคลื่อนเรื่องนี้ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' จึงได้สัมภาษณ์พูดคุยกับเจ้าของบทความดังกล่าว เพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวขบวนการหมิ่นเจ้าเหล่านี้ พร้อมทั้งแนะวิธีที่คนไทยจะร่วมกันปกป้องสถาบันอย่างจริงจัง

ทราบว่าคุณภุมรัตนเขียนบทความเรื่องประชาชนคือป้อมปราการ ซึ่งพูดถึงขบวนการใส่ร้ายจาบจ้วงและลิดรอนพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ไทย

คือตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีการยึดอำนาจ ทำให้มีผู้ที่ได้อำนาจและผู้สูญเสียอำนาจ ผู้ที่สูญเสียอำนาจเขาก็พยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจคืน วิธีการหนึ่งคือ เมื่อเขาก็เดินทางไปยังประเทศต่างๆ ก็ไปสร้างเรื่องเล่าให้ต่างชาติฟังว่าที่เขาสูญเสียอำนาจเป็นเพราะอะไร ผู้นำบางประเทศก็เชื่อ ผู้นำบางประเทศก็ไม่เชื่อ บางประเทศก็แอบมาเล่าให้คนไทยฟัง ในกรณีอเมริกาเนี่ยเขาเป็นประเทศใหญ่ มีอิทธิพลมาก ถ้าเขาสามารถโน้มน้าวให้อเมริกาเชื่อในสิ่งที่เขาบอกได้ มันก็จะเป็นผลดีต่อเขา อเมริกาอาจจะรับรองเขา และยอมรับเขา

ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของอเมริกาจะอยู่ที่สภาคองเกรส ซึ่งสภาคองเกรสจะประกอบด้วยวุฒิสมาชิก กับ ส.ส. เพราะสภาคองเกรสเป็นผู้อนุมัติงบประมาณให้แก่รัฐบาล รัฐบาลจะทำอะไรก็ต้องเสนอโครงการและไปขออนุมัติงบประมาณจากสภาคองเกรส เพราะฉะนั้นสภาคองเกรสจึงมีความสำคัญทางด้านการเมืองอย่างมาก ต่างประเทศอยากจะให้อเมริกาสนับสนุนในเรื่องอะไร ก็ต้องใช้ล็อบบี้ยิสต์ ซึ่งอเมริกาเนี่ยล็อบบี้ยิสต์เป็นเรื่องถูกกฎหมาย ใครจะเป็นล็อบบี้ยิสต์ก็ไปขึ้นทะเบียนไว้ ล็อบบี้ยิสต์จะมีบริษัทด้านกฎหมายและประชาสัมพันธ์

แปลว่าผู้ที่สูญเสียอำนาจจากเหตุการณ์ 19 ก.ย.49 ก็ไปจ้างล็อบบี้ยิสต์ให้ล็อบบี้สภาคองเกรสของอเมริกา

ใช่ครับ ประเทศต่างๆ เวลาจะล็อบบี้อเมริกาเรื่องอะไรเขาก็ใช้ล็อบบี้ยิสต์ไปล้อบบี้สภาคองเกรส ทีนี้กรณีของบ้านเราเนี่ยผู้สูญเสียอำนาจมีเงิน เขาก็ไปจ้างล็อบบี้ยิสต์ที่อเมริกา เพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตัวเขาเอง เขาก็ไปพูดว่าเขาสูญเสียอำนาจเพราะมีมือที่มองไม่เห็นมาสั่งการในเรื่องการปฏิวัติ ส.ส.อเมริกันส่วนหนึ่งก็หลงเชื่อตามนี้ เพราะพวกนี้ก็ไม่ได้รู้เรื่องต่างๆในเมืองไทยทั้งหมด ถ้ามีคนไปล็อบบี้โดยพยายามดึงเข้าไปเป็นเรื่องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ ฯลฯ ไปชี้แจงต่างๆ ให้ฟัง พวกนี้ก็เชื่อ พอเชื่อตามนี้เขาก็เห็นว่าผู้สูญเสียอำนาจมาจากการเลือกตั้ง มาจากประชาธิปไตย แล้วไปปฏิวัติรัฐประหาร ไปไล่เขาออกได้ยังไง ถ้าหากมีคนอยู่เบื้องหลังสั่งให้ทำแบบนี้ถือว่าไม่ถูก

ทีนี้ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าเวลาไปโน้มน้าวนักการเมืองในสภาคองเกรส ก็อาจมีการพาดพิงสถาบันของไทย ตามที่เขาเชื่อ หรือจินตนาการเอา ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดหรือตามที่เขาได้ข่าวมา ทำไมเขาคิดและเชื่อเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ คนบางคนเขาคิดว่าตัวเขามีอำนาจสูงสุดในประเทศแล้ว ไม่มีใครที่จะล้มเขาได้ ยกเว้นมีคนที่อยู่เหนือตัวเขาขึ้นไป เขาตั้งสมมติฐานไว้อย่างนี้ แต่เขาจะไม่ดูตัวเองว่าเขาทำผิดอะไร กลับไปกล่าวหาว่าคนนั้นคนนี้ทำฉัน ทีนี้พอจะสร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง ให้คนอื่นเขาเชื่อว่าที่ตัวเองสูญเสียอำนาจเพราะมือที่มองไม่เห็น ซึ่งตรงนี้แหละเป็นประเด็นที่กระทบต่อสถาบันสูงสุดของเรา บางคนในสภาคองเกรสก็เชื่อตามนี้ บางคนก็ไม่เชื่อ แล้วเอามาเล่าให้เพื่อน ๆ คนไทยฟัง แต่ความเสียหายมันเกิดขึ้นแล้ว

หลังจากที่สภาคองเกรสได้รับข้อมูลดังกล่าวจากล็อบบี้ยิสต์แล้วเกิดปฏิกิริยาอย่างไรจากทางรัฐสภาสหรัฐฯไหม

มันมีปฏิกิริยาอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งมีคนไทยในสหรัฐเล่าให้ฟังว่า ปีที่มีงานครบ 7รอบ หรือ 84 พรรษา โดยทั่วไปแล้วสภาผู้แทนราษฎรของประเทศต่างๆจะต้องมีสาส์นถวายพระพรในวันเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี แต่ปีนั้นแปลกประหลาด ปรากฏว่าสภาล่างไม่มีสาส์นส่งมาถวายพระพร ทางสถานทูตก็ปั่นป่วนกันมากว่าเกิดอะไรขึ้น แสดงว่าล็อบบี้ยิสต์ทำงานประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งคือทำให้ต่างชาติเชื่อว่าที่ผู้สูญเสียอำนาจเขาสูญอำนาจไปเพราะมือที่มองไม่เห็น ประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย มันก็เกิดปฏิกิริยาออก มาดังกล่าว แต่ยังมี ส.ส.ที่เป็นเพื่อนคนไทยที่ไม่เชื่อ และเอามาเล่าให้คนไทยฟัง อย่างไรก็ดี ถือว่าความเสียหายมันเกิดขึ้นแล้ว

ประเด็นที่ 2 เนื่องจากทางฝ่ายอเมริกันมองไปว่าในเมืองไทยเรามันมีความขัดแย้งทางการเมือง และก็มองว่าสถาบันเบื้องสูงกำลังประชวร เพราะฉะนั้นก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาก็จะดูว่าสู้ ไม่สู้ ถ้าเขามองว่าฝ่ายสถาบันไม่สู้ เขาก็จะเทไปให้อีกฝ่ายหนึ่ง เพราะเขามองว่าเขาได้ประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่า คือทุกประเทศเขาก็จะมองที่ผลประโยชน์ของเขา ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา เขาจะอยู่ข้างฝ่ายชนะเสมอ

เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนไทยต้องทำก็คือช่วยกันส่งสัญญาณไปให้อเมริกันรู้ว่า จริงๆ แล้วสถาบันยังสู้ ที่พระองค์ประชวรไม่ได้หมายความว่าใจไม่สู้ คนไทยต้องเป็นกำแพงอยู่ข้างสถาบันเพื่อให้เขาได้ตระหนักว่านอกจากสถาบันจะสู้แล้วคนไทยยังจะสู้อยู่เคียงข้างสถาบันด้วย

แล้วจะมีวิธีไหนในการส่งสัญญาณให้อเมริกันรับรู้

อย่างการที่วันที่ 5 ธันวาคม มีคลื่นสีเหลืองออกมาเต็มลานพระบรมรูปทรงม้า ล้นไปตามท้องถนน มันมีผลทางการเมืองระหว่างประเทศมาก ไม่ใช่แค่ส่งสัญญาณมายังกลุ่มการเมืองในเมืองไทยเท่านั้น แต่เป็นการส่งสัญญาณไปทั่วโลก ทำให้เขาเห็นว่าสถาบันกษัตริย์ของไทยยังมั่นคง ยังมีความแข็งแกร่ง สถาบันสู้ และประชาชนก็พร้อมที่จะสู้เคียงข้างสถาบัน ไม่ใช่ไม่สู้เหมือนที่อเมริกาเข้าใจ ตรงนี้สำคัญ ไม่ใช่เฉพาะอเมริกาเท่านั้น ประเทศอื่นก็จับตาดูอยู่ เช่น ยุโรป ที่สำคัญคือจีน ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ข้างสถาบันตลอดมา หากมีการส่งสัญญาณผิด ๆ หรือปล่อยให้เขาจับสัญญาณผิด เดี๋ยวเขาไปตามอเมริกา เราก็แย่

สถาบันทราบถึงสถานการณ์นี้ไหม ทราบไหมว่ามีกลุ่มคนที่เสียประโยชน์ไปล็อบบี้อเมริกา

ผมเชื่อว่าน่าจะทราบ ฝรั่งอเมริกันที่รักเมืองไทย รักคนไทย หรือผู้นำประเทศอื่นที่โดนล็อบบี้และไม่เชื่อในสิ่งที่ผู้สูญเสียอำนาจขณะนั้นพูด ก็มักจะเอามาเล่าให้ฝ่ายไทยฟัง เรื่องพวกนี้คงขึ้นไปบ้าง ลองสังเกตดูว่าตอนที่เสด็จทุ่งมะขามย่อง พระองค์ท่านทรงชุดทหารศูนย์สงครามพิเศษ เราต้องจับสัญญาณให้ถูกต้อง ศูนย์สงครามพิเศษเนี่ยเราถือว่าเป็นหน่วยทหารที่ดีที่สุดของกองทัพบก และสู้จนตัวตาย พระองค์ทรงชุดสงครามพิเศษมีความหมาย พระองค์ท่านสู้ พอถึงครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปที่กรมชลประทาน พระองค์ก็ทรงชุดทหารเรือ นอกจากนั้นก็มีหมายกำหนดการที่พระองค์ท่านจะเสด็จไปราชบุรี ทราบว่าพระองค์จะเสด็จทางเฮลิคอปเตอร์ หลายคนเดากันว่า อาจทรงชุดทหารอากาศ ให้เห็นชัดเลยว่า บก เรือ อากาศ แต่มีเหตุขัดข้องทำให้พระองค์ไม่ได้เสด็จไปราชบุรี นี่เป็นเครื่องชี้ว่าพระองค์มีจิตใจที่จะสู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ยอมแพ้เหมือนอย่างที่อเมริกันตีความ หรือมีคนพยายามให้ต่างชาติตีความ น่าเสียดายที่ไม่มีใครสานต่อ

ผู้คนมักจะจับสัญญาณไม่ค่อยออก เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ จริงๆ ต้องออกมาขานรับ ต้องออกมาแสดงท่าทีบางอย่าง ไม่ใช่ออกมาปฏิวัติหรือเอ็กซ์เซอร์ไซส์ แต่เรายังจับสัญญาณไม่ค่อยเก่ง เพราะฉะนั้น ผมตีความว่าถึงแม้ว่าทางร่างกายจะทรงพระประชวร แต่ทางจิตใจพระองค์ท่านสู้ ขณะเดียวกันประชาชนต้องร่วมกันส่งสัญญาณไปด้วยว่าประชาชนสู้และยืนอยู่เคียงข้างสถาบัน และพร้อมจะปกป้องสถาบัน ใครจะแตะต้องไม่ได้ ออกมาแสดงความจงรักภักดีในโอกาสต่างๆ ต่างชาติเขาจะได้รับสัญญาณอันนี้และอาจจะต้องทบทวนความคิดว่าที่คิดว่าสถาบันไม่สู้น่ะคงไม่จริงเสียแล้ว เพราะนอกจากจะสู้แล้วประชาชนยังยืนอยู่ข้างหลังสถาบันและพร้อมที่จะปกป้องสถาบันอย่างเต็มที่ด้วย

ถ้าเราส่งสัญญาณตรงนี้ออกไป ที่เขาเคยได้ข้อมูลผิดๆ และคิดว่าสถาบันไม่สู้ เลยหันไปเชียร์อีกฝั่งหนึ่ง เขาจะได้คิดใหม่ ตรงนี้ไม่ใช่แค่อเมริกาเท่านั้นแต่จะส่งสัญญาณไปที่ยุโรป ญี่ปุ่น และจีนด้วย เพราะปกติแล้วญี่ปุ่นกับจีนจะอยู่ข้างสถาบันมาตลอด เพราะฉะนั้นทำอย่างไรที่คนไทยจะต้องตื่นขึ้นมาแสดงท่าทีว่าพร้อมจะปกป้องสถาบัน รัก เคารพ แต่อยู่เฉย ๆ ต่อไปไม่ได้ อันนี้มันเกมการเมืองระหว่างประเทศที่เราต้องตามให้ทันและต้องลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันอย่างเต็มที่

แล้วหลังจากที่สหรัฐฯ เห็นคนไทยที่แห่แหนกันออกมาแสดงความจงรักภักดีในวันที่ 5 ธันวาคม เห็นในหลวงทรงชุดทหาร ท่าทีของอเมริกาเปลี่ยนไปไหม

อันนี้ผมไม่ทราบนะ แต่เขาน่าจะรู้ เพราะเขาไม่โง่ มันเหมือนกับคลื่นมหาชนวันที่ 5 ธันวาคม เมื่อปลายปีที่แล้ว มันมีผลสะเทือนทางการเมืองในประเทศและต่างประเทศมากทีเดียว คราวนี้ก็เช่นกัน ให้ดูจากที่บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางมาเยือนไทย แน่นอนว่าโอบามาเขาเป็นประมุข เมื่อมาเยือนไทยก็ต้องเข้าพบประมุขของไทย ต้องมาเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในทางการเมืองมันก็แสดงให้เห็นอะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเขามีท่าทีที่ไม่กร่างเหมือนกับนิสัยฝรั่ง ซึ่งผมเชื่อว่าเขาก็ต้องมาทดสอบว่าสถาบันจะสู้หรือเปล่า ประชาชนคนไทยยังสนับสนุนสถาบันอยู่หรือเปล่า และผมคิดว่าเขาอาจจะได้สัญญาณอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 5 ธ.ค.2555 ที่ผ่านมา ว่าสถาบันสู้และประชาชนคนไทยยืนอยู่ข้างสถาบันและพร้อมจะร่วมสู้กับสถาบัน

ที่ผ่านมาหลายคนก็สังเกตว่า นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย มีท่าทีแปลกๆ และมักเสนอความเห็นในลักษณะที่ไปละเมิดสถาบันสูงสุดของไทยอยู่บ่อยๆ

คือทูตคริสตี้เนี่ยเขาจะเชียร์อีกฝ่ายหนึ่งมาตั้งแต่แรก และที่สหรัฐฯ เอาทูตคริสตี้มาประจำประเทศไทยเพราะผู้นำของเราเป็นผู้หญิง เขาก็ส่งผู้หญิงมาประกบ ซึ่งทูตคริสตี้ก็มีแนวคิดแบบฝรั่งซึ่งเชื่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ หรือสถาบันไม่สู้ สันดานฝรั่งมันก็จะหันไปเชียร์ผู้ชนะ สันดานฝรั่งมันจะเป็นอย่างนี้เสมอ คือจะเข้าข้างผู้ชนะเพราะผู้ชนะสามารถให้ประโยชน์เขาได้ ทูตอเมริกันก่อนมาประจำในเมืองไทยคงศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับไทยมามาก รู้มาก แต่จะรู้ซึ้งลึกถึงใจคนไทยนั้น คงไม่มีใครเหมือนท่านทูตสกิ๊บ บอยซ์ ซึ่งมีเพื่อนคนไทยมากมาย

ที่ผ่านมาเรามักจะเห็นเว็บไซต์ที่ก่อตั้งในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งเขียนโจมตีสถาบันกษัตริย์ของไทยอย่างรุนแรง

ก็เพราะเขาหลงเชื่อข้อมูลที่ถูกป้อนผิด ๆ ทำไมมีมากหลังวันที่ 19 กันยายน 2549 ต้องมีคนไปป้อนข้อมูลผิด ๆ ทำให้เข้าใจสถาบันผิด คิดว่าอีกฝ่ายถูก จึงเกิดการจาบจ้วง อาฆาตมาดร้ายมากมาย ส่วนใหญ่ก็มาจากคนไทยกลุ่มหนึ่ง ส่วนรัฐบาลและสภาคองเกรส อาจเชื่อข้อมูลว่าสถาบันตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เขาจะเข้าข้างผู้ชนะ เพราะผู้ชนะจะเอื้อ ประโยชน์ให้เขาได้ ด้วยเหตุนี้ คนไทยต้องทำให้ต่างชาติเห็นว่าสถาบันไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ สถาบันไมใช่เป็นผู้แพ้ เพราะสถาบันมีประชาชนอยู่ข้างหลังตลอด เพราะอย่างนี้ประชาชนจึงต้องออกมาช่วยกันเป็นกำแพงที่ยืนอยู่ข้างหลังสถาบัน

มีนักเขียนอเมริกัน 2 คน คือ เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) และ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ซึ่งมักเขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ของไทย เขาได้อะไรจากการเขียนบทความในลักษณะนี้

สองคนนี้จะเขียนบทความที่กระทบสถาบันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมไม่ทราบว่าเขามีอคติอะไรกับสถาบันของไทย คนไทยในอเมริกาบางคนเล่าให้ฟังว่า พวกนี้ไม่ได้รู้เรื่องเมืองไทยละเอียดลึกซึ้งอะไร แต่เขาน่าจะได้ข้อมูลจากคนไทยที่ต่อต้านสถาบันของไทย เพราะสองคนนี่รู้ข้อมูลรายละเอียด ทันเวลา มีการวางแผนและประสานกันกันอย่างใกล้ชิด เช่น กรณีอากง กรณีของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฝรั่งพวกนี้เขาไม่รู้อะไรหรอกถ้าไม่มีคนไทยส่งข้อมูลให้ มันมีการประสานกันอยู่ตลอด ในเมืองไทยก็จะมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านสถาบัน ในอเมริกาก็มีคนที่ไม่รู้จักสถาบันกษัตริย์ เพราะการเมืองในบ้านเขาไปอีกแบบ

หลายคนก็สงสัยว่าเขาเป็นต่างชาติที่อยู่ในอเมริกา แล้วเขามายุ่งเกี่ยวอะไรกับคนไทยด้วย

เขาอาจคิดว่า เขาเป็นแชมป์เปียนประชาธิปไตย เป็นแชมป์เปียนสิทธิมนุษยชน เพราะฉะนั้น เกิดปัญหาตรงไหนเขาต้องสนใจ ต้องยุ่งด้วย ซึ่งเวลานี้โลกมันเล็กลง มันไปถึงกันหมด กิจการภายในประเทศหนึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศนั้นเท่านั้น แต่ถ้าเข้ามายุ่งก็ควรรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปฟังข้อมูลบิดเบือนมา เขาคงไม่เข้าใจสถาบัน ไม่รู้จักว่าสถาบันเป็นอย่างไร แล้วฝรั่งพวกนี้บางทีมันจะบ้า บ้าเรื่องสิทธิมนุษยชน บ้าเรื่องประชาธิปไตย ใครไปบอกฝรั่งให้เชื่อว่าคนนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ฝรั่งมันก็จะหลงละเมอเชื่อไป โดยพื้นฐานของฝรั่งมันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าใครมาบอกว่าอากงตายเพราะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือบอกว่าบ้านเมืองเราไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะมีสถาบันซึ่งเป็นมือที่มองไม่เห็น ฝรั่งมันก็จะเชื่อ นี่คือพื้นฐานของเขา ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ต้องรู้ข้อมูลที่เป็นจริงเสียก่อน แล้วค่อยแสดงออก

ขณะที่คนไทยก็มองว่าแล้วเขามาสาระแนอะไรด้วย

คือสหรัฐฯ เนี่ยทั้งภาครัฐและเอกชนมันก็ไปสาระแนกับชาวบ้านเขาตลอดเวลา เพราะมันคิดว่ามันเป็นเจ้าโลก เจ้าของประชาธิปไตย มันจะต้องส่งออกประชาธิปไตยไปทุกหนทุกแห่งในโลก มันจะต้องส่งออกสิทธิมนุษยชนไปทุกหนทุกแห่งในโลก มันจะต้องเป็นแชมป์เปียนของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน จึงไม่ต้องแปลกใจที่มันจะเข้ามาวุ่นวายในบ้านเราหรือในประเทศต่างๆ มันจะเป็นอย่างนี้เสมอ มันอยู่ที่เราต่างหากว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลว ๆ อย่างที่พวกนั้นกล่าวหา

แปลว่าการเคลื่อนไหวในต่างประเทศของคนที่เสียประโยชน์ก็นับว่าได้ผลมาก

ใช่ครับได้ผลมาก เพราะว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริงก็ไปหลงเชื่อตามนั้น แล้วมันมีพื้นฐานของความเป็นทุนนิยม ฝรั่งทั้งอเมริกันทั้งยุโรปล้วนเป็นพวกทุนนิยม เขาก็มีแนวโน้มที่จะเชื่ออะไรแบบนี้ แล้วคนที่พูดก็จะเน้นในเรื่องประชาธิปไตย เรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งฝรั่งมันพร้อมจะเชื่อ

หลังๆ นี่มีองค์กรเอกชนของสหรัฐฯ ให้ทุนกับกลุ่มที่ต่อต้านกษัตริย์ในประเทศไทย

คือในอเมริกามันมีองค์กรภาคเอกชนหลายองค์กรที่จะให้ทุนสนับสนุนประเทศต่างๆในการพัฒนาประชาธิปไตย ถ้าใครไปขอทุนโดยอ้างว่าต้องการพัฒนาประชาธิปไตยโดยอ้างว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย จึงขอทุนช่วยเหลือ เพื่อจะนำเงินตรงนี้ไปพัฒนาประชาธิปไตย ไปตามหมู่บ้านชนบท พอฝรั่งได้ยินปั๊บมันก็เชื่อเลยพร้อมที่จะให้เงิน ด้วยเหตุนี้จึงมีคนไปหลอกเอาเงินฝรั่งมาเยอะแยะ แต่พอได้เงินมาปั๊บ การตีตวามประชาธิปไตยมันก็เป็นคนละแบบ เช่น เอาไปปลุกระดม แล้วเขาก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่เรามองว่าไม่ใช่ มันเป็นการก่อความวุ่นวาย

แล้วสิ่งที่คนไทยจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสถาบันคืออะไร

ก็คืออย่าเป็นพลังเงียบ อย่ารักสถาบันอยู่ในใจ ถ้าเห็นใครทำไม่ดีต่อสถาบันเราก็ต้องออกมาโวยวาย ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย หรือในโอกาสวันสำคัญ เราก็ออกไปแสดงความจงรักภักดี เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งได้เห็นว่า เฮ้ย ! อย่ามายุ่งกับสถาบันของเรานะ สถาบันไม่ได้โดดเดี่ยวนะ คนไทยส่วนใหญ่ยังยืนอยู่ข้างหลังสถาบัน ไม่ได้อยู่ข้างหลังพวกก่อความวุ่นวาย

ตอนนี้ก็มีการใช้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเป็นเครื่องมือในการโจมตีสถาบัน

ผมว่าเรื่องนี้มันอยู่ที่ผู้จัดมากกว่า ถึงแม้ที่ผ่านมาเขาจะเคยจัดรายการลักษณะนี้มาก่อนแต่ว่ากระแสต้านมันไม่รุนแรง เขาก็เลยคิดว่าไม่มีอะไร แต่ตั้งแต่คราวนี้ไปผมคิดว่า คณะกรรมการของไทยพีบีเอสคงต้องคิดมากกว่าเก่าว่าถ้ามีอะไรไปกระทบสถาบันก็มีคนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เขาไม่พอใจ เพราะฉะนั้นคราวนี้ผมถือว่าเป็นบทเรียนของไทยพีบีเอส การใช้สิทธิต้องมีความรับผิดชอบด้วย ต้องรู้จักกาละ เทศะ ความควรไม่ควรด้วย

หลายคนก็ตั้งคำถามว่าคนที่ออกมาเปิดเวทีติเตียนหรือแสดงเจตจำนงที่จะลดอำนาจสถาบันเนี่ย ไม่ว่าจะเป็น คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา พิธีการรายการตอบโจทย์ รศ.ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เขาเดือดร้อนอะไรกับสถาบันนักหนา

ผมว่าอย่าสงสัยเฉยๆ แต่ต้องแสดงออกให้เขาได้เห็นว่าเดี๋ยวนี้คนไทยไม่ใช่อยู่เฉยๆแล้วนะ อะไรที่เกี่ยวกับสถาบัน คนไทยพร้อมที่จะออกมา ผมยอมคุณมากเกินไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปผมจะไม่ยอมให้คุณมาจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันอีก ผมจะออกมาต่อต้านถ้าหากคุณมาจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน และพวกเราพร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างสถาบัน

คนที่อาจารย์มองว่าเสียผลประโยชน์และอยู่เบื้องหลังการจาบจ้วงและลิดรอนอำนาจสถาบันก็คือนายใหญ่ของคนเสื้อแดงใช่ไหม

ก็เป็นที่เข้าใจกันอย่างนั้น เรื่องนี้สังคมไทยก็รู้กันอยู่ ผมก็อยากบอกเขาคนนั้นว่าคุณเข้าใจผิด พระองค์ท่านไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรเลย เขาอาจจะจินตนาการไปเองว่า เอ๊ะ..ตัวเองใหญ่ถึงขนาดนี้จะมีใครมาล้มได้ นอกจากสถาบัน มันก็เกิดจินตนาการขึ้นมา หรือใครไปปล่อยข่าวแล้วเขาก็เชื่อ ผมตำหนิตรงที่ว่าพอเขารู้ความจริงแล้วทำไมไม่แก้ข่าว ทั้งที่สถาบันไม่ได้มาเกี่ยวข้อง พอรู้ความจริงแล้วทำไมไม่แก้ข่าว ทำไมปล่อยเลยตามเลย ตรงนี้ไม่ดีเลย

เขาอาจจะได้ประโยชน์จากการที่ประชาชนจงเกลียดจงชังสถาบันก็ได้

ผมก็เห็นแบบเดียวกับคุณ เพราะฉะนั้นประชาชนต้องออกมาเพื่อให้เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างสถาบันไม่ยอมนะ เขาพร้อมจะสู้นะ และจะสู้เคียงข้างกับสถาบันไปโดยตลอด เพื่อส่งสัญญาณให้กับกลุ่มการเมืองในเมืองไทย และส่งสัญญาณไปยังประเทศมหาอำนาจต่างๆ ว่า เราสู้นะ

และส่งสัญญาณให้รู้ว่า ไม่มีทางชนะสถาบัน

แน่นอนครับ ถ้าใครคิดไม่ดีกับสถาบันก็ต้องส่งสัญญาณให้เขารับทราบด้วยว่าพวกเขาไม่มีทางชนะสถาบัน และประชาชนพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างสถาบัน เพราะประชาชนที่สนับสนุนสถาบันนั้นเขาสนับสนุนด้วยเหตุด้วยผล ประชาชนรักพระองค์ท่านเพราะพระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชนมาตลอด พระองค์ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้คนไทยรักพระองค์ท่าน ซึ่งต่างจากนักการเมืองเลวๆ ราวฟ้ากับเหว


กำลังโหลดความคิดเห็น