xs
xsm
sm
md
lg

ทางออกแช่แข็งระบอบประชาธิปไตยวิถีทุน

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์
https://www.facebook.com/suthipong.prachayapruit
http://twitter.com/indexthai2
indexthai2@gmail.com

เศรษฐกิจและการเมืองเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่คนก็สนใจเรื่องการเมืองมากกว่า คนสนใจเรื่องเศรษฐกิจน้อยกว่า หากคนเข้าใจในกลไกเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ถูกต้อง อาจจะช่วยให้การแก้ปัญหาทางการเมืองลงตัวที่ดีได้

วลี “แช่แข็งประเทศ 5 ปี” ขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) และมวลชนคนทนไม่ไหว มีผู้คนอธิบายว่าหมายถึงการงดเว้นกระบวนการทางการเมืองทั้งหลายที่ดำเนินการทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แล้วตั้งคณะบุคคลขึ้นมาทำหน้าที่แทนเป็นระยะเวลา 5 ปี เป็นวลีที่สั่นไหวสังคมไทยได้มาก ถูกอกถูกใจคนส่วนหนึ่ง แต่คนอีกส่วนหนึ่งไม่ชอบใจ “แช่แข็งประเทศ 5 ปี” ก็ไม่ใช่คำกล่าวของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ก่อนหน้านั้นก็เคยได้ยินการพูดถึงแช่แข็งประเทศไทย แช่แข็งนักการเมืองไทย 5 ปีเช่นกัน จะอย่างไรก็ตามวลีนี้ก็เกิดขึ้นและติดตลาดแล้ว ซึ่งการแช่แข็งก็ไม่ได้หมายถึงการแช่แข็งนักการเมืองซีกรัฐบาลเท่านั้น แต่เป็นการแช่แข็งนักการเมืองทุกซีก

เป็นที่น่าสังเกตว่าฝ่ายใดมาเป็นรัฐบาลไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือปฏิวัติรัฐประหาร การเกิดปฏิวัติรัฐประหาร จะไปโทษคนทำปฏิวัติรัฐประหารฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกต้อง ก็ต้องโทษรัฐบาลที่บริหารประเทศนั่นเอง ที่ชอบฉ้อฉลคอร์รัปชันประเทศ

หลงใหลอำนาจ คอร์รัปชันในหมู่วงศาคณาญาติ บุฟเฟ่ต์คาบิเนต ปล้นสมบัติชาติ ยกอธิปไตยและดินแดนของประเทศให้ต่างชาติแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ตน ปล้นสมบัติชาติไปเป็นของครอบครัวและพวกพ้อง ขายสมบัติประเทศให้ต่างชาติ ซื้อพรรคการเมือง ซื้อวุฒิสมาชิก แทรกแซงองค์กรอิสระ ละเมิดต่อสถาบันด้วยวาจาที่จาบจ้วง สังหารคนไทยมุสลิมที่จังหวัดชายแดนใต้ ฆ่าตัดตอนผู้คน จำนวนคนตายมากกว่าในสงครามอิรัก อุ้มหายทนายความ ซุกหุ้น และร่ำรวยผิดปกติ และเป็นรัฐบาลตัวแทนอาชญากรหนีคดี

แต่รัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ แล้วก็มีการกลับมาของพฤติกรรมเดิมๆของคณะบริหารประเทศ ทำให้เกิดความเสื่อมและความเสียหายมากกว่าเดิม เช่น คอร์รัปชันเชิงนโยบาย ใช้อำนาจหน้าที่ออกนโยบายเอางบประมาณเอาการเงินกู้เข้ากระเป๋าตัวเองแบบหน้าตาเฉย ชดเชยคนตายจากการปลุกระดมให้เผาบ้านเผาเมืองรายละ 7.5 ล้านบาท แต่ทหารที่ตายในการปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่กี่แสนบาท กล้าปฏิบัติการมิจฉากรรมมากกว่าในอดีต ที่ไม่ใช่ร้อยล้านหรือพันล้านเหมือนในอดีต แต่เป็นหมื่นและแสนล้าน

แช่แข็งประเทศไทย 5 ปี จึงเป็นการแช่แข็งระบอบประชาธิปไตยไปด้วย

“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”

เป็นพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ผู้คนทั้งหลายเข้าใจ เช่นเดียวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ ที่ผู้คนระดับบนพูดถึงกันบ่อยมาก แต่ไม่เคยเป็นจริงในทางปฏิบัติ ตัวผู้บริหารระดับบนและนักการเมืองนั่นเองเป็นผู้ไม่มีเศรษฐกิจพอเพียงเสียเอง เช่นการกู้แบบสะบั้นหั่นแหลก

“การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความวุ่นวายได้ ก็ทำไม่ได้” แต่การเปลี่ยนแปลงเอาเพื่อนพ้องและคนของตัวเองไปนั่งในตำแหน่งต่างๆ ทางราชการและรัฐวิสาหกิจ

ดูตามคำจำกัดความของคำว่าประชาธิปไตย เห็นว่าเป็นเรื่องดี “ประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองแบบหนึ่ง ซึ่งบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมือง ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนโดยตรงหรือผ่านผู้แทนที่ตนเลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้ ประชาธิปไตยยังเป็นอุดมคติที่ว่าพลเมืองทุกคนในชาติร่วมกันพิจารณากฎหมายและการปฏิบัติของรัฐ และกำหนดให้พลเมืองทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการแสดงความยินยอมและเจตนาของตน” (วิกิพีเดีย)

ปรากฏว่าประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยต้นแบบ ประชาชนเดือดร้อนกันทั่วหน้า ไม่ว่าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มยูโรโซน ผู้คนต่างออกมาเดินขบวนตามท้องถนน หลายประเทศมีจลาจล

มวลชนโดยรวม มักง่าย โลภ เอารัดเอาเปรียบ ไม่รับผิดชอบและกอบโกย ไม่ว่าจากระดับรากฝอยไปจนถึงระดับรากแก้ว ไม่ว่าจากระดับไม่มีการศึกษาไปจนถึงระดับการศึกษาสูงสุดทางโลก ถูกชักจูงได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่นการโฆษณาขายสินค้า การโฆษณาภาพลักษณ์ การโฆษณาภาพพจน์ การโฆษณาการบริหารจัดการอยู่ที่ความเชี่ยวชาญหรือเป็นมืออาชีพของการโฆษณาชวนเชื่อด้วย ว่ามีแค่ไหน อยู่ที่ผู้ทำกาโฆษณานั้นเป็นสัมมาทิฐิหรือเป็นมิจฉาทิฐิ ความเชื่อของมวลชนถูกเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว ถ้าการโฆษณาเป็นสัมมาทิฐิจะทำให้สังคมเจริญ ถ้าการโฆษณาเป็นมิจฉาทิฐิจะทำให้สังคมเสื่อม

http://www.youtube.com/watch?v=vBDm-jA3N80

ความเชื่อไม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจ ผู้คนง่ายที่จะเชื่อมากกว่าง่ายที่จะทำความเข้าใจ ผู้คนง่ายที่จะฟังลมปากมากกว่าง่ายที่จะดูข้อมูลให้เข้าใจ และบางครั้งก็เป็นข้อมูลปลอม และหรือบางครั้งก็แอบอ้างเอาข้อมูลจริงมาสวมรอยหาประโยชน์ตน ใช้ลมปากสร้างวาทกรรมที่จับใจก็ทำให้เกิดความเชื่อได้ ความเชื่อที่ประกอบด้วยข้อมูลและความเข้าใจจะเป็นความเชื่อที่มีคุณภาพ ความเชื่อที่ขาดข้อมูลขาดความเข้าใจเป็นความเชื่อที่ไม่มีคุณภาพ กลายเป็นความหลง

ความเชื่อแบบหลงใหล สามารถทำให้ลูกสาวหอบผ้าหอบผ่อนหนีพ่อหนีแม่ตามผู้ชายไปได้

เหตุการณ์ตุลาคม 2519 ที่จอมพลถนอม กิตติขจรบวชเป็นพระภิกษุที่เดินทางเข้าประเทศ ทำให้คนไทยชุมนุมเดินขบวนขับไล่ ความเชื่อถูกปลุกระดมผ่านสถานีวิทยุยานเกราะ ว่ามีการสะสมอาวุธ มีแกว (ญวน) ฯลฯ อยู่ในธรรมศาสตร์ เป็นข้อมูลเทียม ปลุกระดมให้คนทั่วไปเกลียดชังคนที่ชุมนุมกันอยู่ในธรรมศาสตร์ ทำให้เกิดความโกรธแค้น ชิงชังผู้ชุมนุม แล้วในที่สุดก็นำมาซึ่งคนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง การจลาจล เผากรุงและเผาประเทศในเดือนพฤษภาคม 2553 ไม่ได้เกิดจากความเดือดร้อนของประชาชน แต่เกิดจากมิจฉากรรมและโทสะของจอมโจรนายทุนนักการเมืองที่มีความเฉโกสูง ปลุกระดมมวลชนให้แตกแยก ให้มารับใช้กิเลสตน

ชนชั้นใดตรากฎหมาย ก็ทำไปเพื่อการรับใช้ชนกลุ่มนั้น เหมือนดังเช่นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ‘กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาของกฎหมายไทยตรัสไว้ “แต่กฎหมายนั้นเกิดได้แห่งเดียว คือ จากผู้ปกครองแผ่นดิน ฤาที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น…”

ความเดือดร้อนวุ่นวาย ความแตกแยกของคนในชาติ เกิดสงครามกลางเมือง เกิดสงครามระหว่างประเทศหรือเกิดสงครามโลก จะมาจากกิเลสของผู้นำเป็นสำคัญ โลกยากที่จะเปลี่ยนแปลง เนื่องจากโลกอยู่ในระบอบทุนนิยม ประชาธิปไตยจึงเป็นของนายทุน หรือเป็นทุนนิยม ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยที่มีประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของระบบ

การแช่แข็งประเทศไทย หรือแช่แข็งระบอบประชาธิปไตยน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่หลังจากแช่แข็งแล้ว จะออกจากการแช่แข็งอย่างไร เป็นเรื่องที่ยากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางออก

ประชาธิปไตยทางตรงประชาธิปไตยทางอ้อม หากเป็นระบอบประชาธิปไตยวิถีทุน จะไม่แตกต่างกันมากนัก สุดท้ายก็ต้องมีผู้แทนไปใช้อำนาจแทนประชาชนอยู่ดี

ระบอบประชาธิปไตยตามความเข้าใจของผู้เขียนแบ่งออกเป็น 2 แบบ

1) ระบอบประชาธิปไตยวิถีทุน คือ ระบอบบาป เป็นระบอบที่นายทุนและผู้บริหารระดับสูงเป็นเจ้าของ เป็นระบอบของคนเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของระบบ แม้การมาของระบอบจะมาจากเสียงส่วนใหญ่ของมวลชนก็ตาม การออกแบบอื่นๆ ตามมาก็เพื่อรับใช้นายทุนและผู้บริหารระดับสูง เป็นระบอบที่โหดร้าย เห็นแก่ตัว มักง่าย เอารัดเอาเปรียบ ไม่รับผิดชอบและกอบโกย ทำให้ระบบเดือดร้อน ทุกข์เข็ญ ลำเค็ญ อยู่ตลอดเวลา

2) ระบอบประชาธิปไตยวิถีธรรม คือระบอบของคุณธรรมความดี เป็นระบอบที่ลอกเลียนมาจากระบอบบุญนิยมสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้า มอบแรงกายแรงความคิดให้ส่วนกลาง และผลิตผลที่เกิดจากแรงกายและความคิดมอบไว้ให้เป็นของส่วนกลาง สมควรทำให้เกิดมีขึ้น เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นเจ้าของ เป็นระบอบที่ผู้บริหารระดับบนเสียสละ ไม่เอาประโยชน์ของระบบมาเป็นประโยชน์ส่วนตน ไม่เอาทรัพยากรของระบบมาเป็นสมบัติของส่วนตน ไม่เอาสัมปทานของประเทศไปขายให้ต่างชาติ ไม่เอาดินแดนของประเทศไปแลกเปลี่ยนกับต่างชาติเพื่อผลประโยชน์ตน คิดถึงผู้อื่น คิดถึงความเป็นอยู่ของสังคม ยกตัวอย่างเช่นทำงานบริหารจัดการประเทศโดยไม่เอาเงินเดือน ไม่มีทรัพย์สินเป็นของตนเอง ให้ระบบเป็นผู้เลี้ยงดู มีกิน มีใช้ มีการศึกษา มีการเดินทาง ออกกำลังกายและพักผ่อนตามสะดวก

ระบบประชาธิปไตยวิถีธรรม คือทางออกการแช่แข็งของระบอบประชาธิปไตยวิถีทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น