ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในที่สุดดัชนีวัด “ความไม่ธรรมดา” ของม็อบ “เสธ.อ้าย-พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์” ก็สำแดงออกมาอย่างชัดเจนจากอากัปกิริยาของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีตัวจริงและประธานคนเสื้อแดงผู้ทรงอำนาจตัวจริง ในการโฟนอินเข้ามาในเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา
ความไม่ธรรมดาขององค์การพิทักษ์สยาม(อ.พ.ส.) ภายใต้การนำของ เสธ.อ้ายถูกสำรากออกมาจากปากของนายใหญ่คนเสื้อแดงชนิดที่กล่าวได้ว่า เปิดหน้าชกและไล่ด่าเรียงตัวมาทีละคนกันเลยทีเดียว โดยเนื้อหาสาระสำคัญของการโฟนอินอยู่ตรงที่ การกล่าวหา 3 บุคคลสำคัญว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังม็อบเสธ.อ้าย
กล่าวหาทั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
กล่าวหาทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ปัจจุบันได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี
และกล่าวหาทั้ง พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
อย่างไรก็ตาม นอกจากบุคคลดังปรากฏรายชื่อข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่า อีกหนึ่งตัวละครที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก โดยเฉพาะเมื่อวิเคราะห์ถ้อยคำระหว่างบรรทัดของ นช.ทักษิณในการโฟนอินก็จะเห็นว่า สิ่งที่เขามีความกังวลมากที่สุดก็คือ กระแสข่าวเรื่อง “ทหาร” โดยเฉพาะที่ยังประจำการจะเดินทางมาเข้าร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีปฏิกิริยาจากทั้งตัว นช.ทักษิณเองและบรรดาลิ่วล้อที่ออกมาปลุกกระแสนี้จนมือเป็นระวิง
ทั้งนี้ การออกมาตีข่าวในเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ทหารส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ตกอยู่ภายใต้คำสั่งและอำนาจเงินของระบอบทักษิณอีกต่อไป
นี่ไม่นับรวมถึงกลุ่มพลังมวลชนกลุ่มใหญ่ที่ได้รับการเรียกว่า กลุ่มคนทนไม่ไหวกับความเหลวแหลกในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่เป็นนอมินีของ นช.ทักษิณ ชินวัตรที่นับวันจะทวีจำนวนมากขึ้นทุกที
ดังนั้น ไม่ว่าผลของการชุมนุมจะออกมาเยี่ยงไร แต่ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งสำหรับการชุมนุมในครั้งนี้ ก็คือ ได้ทำให้ระบอบทักษิณที่กำลังหยั่งรากลึกเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ในราชอาณาจักรไทยสั่นสะเทือน เพราะทำให้ระบอบทักษิณรับรู้ว่า ไม่สามารถปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองนี้ได้ตามอำเภอใจอีกต่อไป
**”แม้ว” ท้ารบ “อำมาตย์ ปลุก “ไพร่แดง” ชนทหาร
“เสธ.อ้ายเป็นเตรียมทหารรุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่บอกไม่เกี่ยวๆ ทำไมไม่ห้ามกัน แม้อยู่ดูไบแต่รู้หมด ในการประชุมมี พล.ร.อ.พะจุณณ์ลูกน้องป๋าไปประชุมด้วย ทำไมป๋าไม่ห้ามล่ะ ถ้ารักบ้านเมืองจริงๆ ทำไมไม่เคารพกติกาประชาชน ขนาดรัฐธรรมนูญที่ร่างเองยังไม่เคารพอีกหรือ มันต้องยอมรับกติกาตรงนี้ ไม่ใช่ยังไม่ครบ 4 ปีจะมาไล่รัฐบาล พวกเราทั้งเจ็บ ตาย ติดคุก ยังหยิบยื่นความปรองดองให้บ้านเมืองเพราะไม่อยากเห็นบ้านเมืองวุ่นวาย บ้านเมืองประเทศอื่นที่อยู่ได้เพราะไม่มีอำมาตย์วุ่นวาย เขาปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง ถ้าเราปล่อยให้เป็นไป ป่านนี้ไปไหนแล้ว”
นั่นคือสาระสำคัญในการโฟนอินเข้ามาของ นช.ทักษิณ ซึ่งแต่ละถ้อยคำแต่ละบรรทัดล้วนแล้วแต่ละสะท้อนความไม่ธรรมดาของเครือข่ายภาคประชาชนที่ออกมาชุมนุมในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ได้เป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำให้นักการเมืองทุนสามานย์ภายใต้ระบอบทักษิณและรัฐบาลหุ่นเชิดยิ่งลักษณ์เกิดอาการแตกตื่น ลนลานและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง จนต้องสั่งให้กลไกในเครือข่ายอำนาจทุกระดับออกมาตอบโต้และสกัดกั้นการชุมนุมอย่างเป็นกระบวนการ
การที่นช.ทักษิณประกาศท้ารบพร้อมเอ่ยชื่อ พล.อ.เปรม มิอาจฟันธงเป็นอื่นได้ว่า มีคำสั่งให้คนเสื้อแดง “พร้อมรบ”
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ประเด็นสำคัญที่สุดที่มีการวิเคราะห์กันน่าจะอยู่ตรงที่ นช.ทักษิณต้องการใช้ห้วงจังหวะเวลาในครั้งนี้ด้วยการ “ปลุกผีอำมาตย์” เพื่อเรียกศรัทธาของคนเสื้อแดงที่มีต่อตัวเขาและครอบครัวชินวัตรให้กลับมาอีกครั้ง หลังจากปฏิบัติการถีบหัวส่งและไม่สนใจใยดีจนสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้คนเสื้อแดง มาแล้วหลายครั้งหลายหน ไม่ว่าจะเป็นการประกาศตัดหางปล่อยวัดหลังพายเรือมาส่งถึงฝั่ง หรือการเบี้ยวไม่ให้ตำแหน่งรัฐมนตรีกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ทั้งๆ ที่เคยประกาศต่อหน้าคนเสื้อแดงว่า ตุ๊ดตู่มีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
นช.ทักษิณรู้ดีว่า วาทกรรมไพร่-อำมาตย์ได้ฝังรากลึกลงไปในสมองของคนเสื้อแดงจนยากที่จะล้างออกไปได้ ดังนั้น หยิบขึ้นมาโฆษณาชวนเชื่อเมื่อไหร่ก็ย่อมประสบความสำเร็จ
คำถามที่สองซึ่งตามมาก็คือ นช.ทักษิณปลุกผีอำมาตย์และปลุกคนเสื้อแดงด้วยวัตถุประสงค์เช่นไร?
ความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ นช.ทักษิณรับรู้ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์และตัวเขาเองไม่สามารถควบคุม “ทหาร” ให้ซ้ายหันและขวาหันได้ตามที่ต้องการ แม้ในช่วงแรกจะมั่นอกมั่นใจในตัว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบกอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนานวันไป กระแสข่าวที่ออกมาทำให้ นช.ทักษิณมิอาจไว้วางใจได้ต่อไป เพราะมีข้อมูลที่น่าเชื่อได้ว่า “บิ๊กตู่เอาไม่อยู่”
โดยปัจจัยที่ทำให้บิ๊กตู่เอาไม่อยู่และไม่เป็นที่ศรัทธาของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ตรงที่กรณีการเสียชีวิตของ “พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม” รวมถึงทหารที่เสียชีวิตจากน้ำมือของคนเสื้อแดง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์มิเคยแสดงท่าทีปกป้องเกียรติภูมิของทหารหาญเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย จนพวกเขาตกเป็นจำเลยของสังคม กระทั่งญาติพี่น้องของทหารเหล่านั้นต้องลุกขึ้นมาทวงความเป็นธรรมให้สามีและลูกของตนเอง
กลายเป็นการสั่งสมอารมณ์ความรู้สึก 'เจ็บแค้น' ของเหล่าทหารหาญ เพราพวกเขาเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะไม่ดูแลปกป้องทหารที่ต้องคดีจากการปฏิบัติหน้าที่ในการสลายการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดง และปล่อยให้คดีการเสียชีวิตของนายทหารถูกชายชุดชายชุดดำสังหารเงียบหายไปกับสายลมแล้ว อีกทั้งยังแสดงท่าทีปกป้องรัฐบาลอย่างชัดเจน
สอดรับกับข้อมูลที่ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคนเสื้อแดงที่ระบุว่าให้จับตาทหารจาก 8 หน่วยที่จะมาร่วมชุมนุมกับเสธ.อ้าย
โดยทหารทั้ง 8 หน่วยที่ว่านั้น ว่ากันว่า ประกอบด้วย 1.กองพลทหารราบที่ 3 ค่ายเปรม ติณสูลานนท์ จังหวัดขอนแก่น 2.ค่ายนวมินทราชินี กรมทหารราบที่ 21(ทหารเสือราชินี) จังหวัดชลบุรี 3.ค่ายสุรสิงหนาท จังหวัดสระแก้ว 4.ค่ายไพรีระยอเดช จังหวัดสระแก้ว 5.ค่ายนิมมาณกลยุทธ จังหวัดสระแก้ว 6.ค่ายจักรพงษ์ จังหวัดปราจีนบุรี 7.ค่ายพรหมโยธี จังหวัดปราจีนบุรีและ 8 ค่ายศูนย์กลางทหารม้า จังหวัดสระบุรี โดยมีกำลังพลรวมกันประมาณ 5,000 นาย
ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจที่ นช.ทักษิณถึงกับเอ่ยปากชมบรรดาแม่ทัพนายกองที่ช่วยเป็นหูเป็นตาต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ทัพบกที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะก่อนหน้าที่ นช.ทักษิณจะชม บิ๊กตู่ก็มีคำสั่งห้ามทหารเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองตอกย้ำแทบจะทุกอาทิตย์
“อยู่ๆ ก็มีพวกสนามม้าขึ้นมา พี่น้องวันนี้รู้หมดใครร่วมด้วย ใครไปไหน เงินใคร อยู่ดูไบรู้หมด ใช้ดาวเทียมส่องไปดูเห็นหมด นายทหารที่ไหนใครร่วมด้วย ในราชการก็มี กำลังสอบสวนกันอยู่ แต่ ผบ.ทบ.และทุกเหล่าทัพแข็งขันอยู่ แต่มีพวกอีแอบบ้าง”นั่นคือคำชมที่ นช.ทักษิณมีต่อผู้นำเหล่าทัพ
นช.ทักษิณคาดหวังว่า ผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผบ.ทบ.จะสยบความเคลื่อนไหวของทหารได้ แต่สุดท้ายแล้ว มีรายงานที่เชื่อถือได้ว่า ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะงานนี้ทหารก็ทนไม่ไหวที่ถูกทอดทิ้ง
ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่สะท้อนอารมณ์ของทหารได้เป็นอย่างดีก็คือ การให้สัมภาษณ์ของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป เพราะหลังถูกกล่าวหา อดีตหัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีก็ยอมรับอย่างชายชาติทหารว่า ได้ไปร่วมม็อบ เสธ.อ้ายเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2555ที่สนามม้านางเลิ้ง และประกาศชัดแจ้งว่าในการชุมนุมในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 นี้ก็จะเข้าร่วมด้วย ในฐานะคนที่รักและห่วงใยชาติบ้านเมือง
“ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหาว่าผมไปร่วมประชุมวางแผนม็อบกับกลุ่มพิทักษ์สยามนั้นไม่จริงเลย ผมไม่ได้ประชุม แต่ผมไปร่วมชุมนุม ผมไปเป็นการส่วนตัวในฐานะคนที่ห่วงใยชาติบ้านเมือง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เปรมเพราะไม่ได้ทำงานกับป๋าแล้ว ผมไม่รู้จักเสธ.อ้ายเป็นการส่วนตัว แต่ไปร่วมเพราะรักชาติ ผมไปของผมเอง แม้ผมเป็นทหารแก่ แต่ก็จะไม่ยอมตายไปจากการรักชาติบ้านเมือง การปกป้องสถาบัน ความจงรักภักดีและผมเคยปฏิญาณจักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยเลือด”
พล.ร.อ.พะจุณณ์กล่าวให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาชนิดที่ต้องบอกว่าโดนใจทหารทั้งกองทัพเลยทีเดียว
ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์มีอาการร้อนตัวหนักขึ้นทุกวัน ก็ยิ่งทำให้เห็นความไม่เป็นเอกภาพภายในกองทัพบกภายใต้การนำของเขามากขึ้นเท่านั้น
เพราะวันนี้ ทหารจำนวนมากเกิดความรู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต่างอะไรจาก “นายธาริต เพ็งดิษฐ” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
และเมื่อเป็นเช่นนั้น ผีอำมาตย์จึงถูกปลุกขึ้นเพื่อให้มวลชนเสื้อแดงเป็นทัพหน้าในการรักษาอำนาจและนำไปสู่การสถาปนารัฐไทยใหม่ให้ได้
**รวมพลังมวลชนคนทนไม่ไหว โค่นอำนาจ “ทักษิณ”
นอกจากทหารแล้ว ต้องบอกว่าการออกมาชุมนุมของภาคประชาชนในครั้งนี้นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะถือได้ว่าเป็นการชุมนุมที่มีพลังมหาศาล และ 'จุดติด' พรึ่บ !! ในชั่วพริบตา จากการประเมินสถานการณ์และเสียงตอบรับจากภาคประชาชนเชื่อว่าจะมีคนมาร่วมชุมนุมไม่ต่ำกว่า 150,000 คน โดยมวลชนนั้นจะมาจากหลากหลายกลุ่ม และจากทั่วทุกสารทิศของประเทศ แห่แหนกันมารวมตัวกัน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อแสดงพลังและส่งเสียงดังๆไปยังรัฐบาลภายใต้การนำของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ว่า “หมดเวลาแล้ว”
เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าพลังของมวลชนจะมากมายมหาศาลขนาดนี้ แม้แต่การนัดชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านความมั่นคงก็ยังคาดการณ์ว่าจะมีคนมาแค่ 2,000 คนเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงกลับมีคนมาไม่ต่ำกว่า 30,000 คน ขณะที่ครั้งนี้มวลชนจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
ทั้งนี้ เพราะการวางกลยุทธ์ในการศึกของ 'เสธ.อ้าย' พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม และทีมงาน นั้นว่ากันว่าล้ำลึกนัก ทั้งบู๋ ทั้งบุ๋น เรียกว่าพลิกตำราพิชัยสงครามกันเลยทีเดียว
โดยในการระดมมวลชนนั้น 'เสธ.อ้าย' ก็ใช้แผน 'ประสานสิบทิศ' ติดต่อไปยังทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นักวิชาการ นักธุรกิจ อดีตนายทหาร เอ็นจีโอ เครือข่ายเกษตร รวมถึงบรรดากลุ่มองค์กรที่เคยเคลื่อนไหวเพราะไม่พอใจ 'รัฐบาลเพื่อไทย' ในประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อผนึกกำลัง 'คนไทยรักชาติ รักสถาบัน' ในการร่วมกันเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล ซึ่งในการประกาศจุดยืนและให้สัมภาษณ์แต่ละครั้งของ เสธ.อ้ายนั้นก็แน่นอนว่าข้อมูลข่าวสารต่างๆย่อมแผ่ขยายไปยังประชาชนทั่วไป ส่งผลให้ประชาชนที่ทนไม่ได้กับ 'การจาบจ้วงสถาบันและขบวนการอภิมหาคอร์รัปชั่น' ของรัฐบาลชุดนี้แห่แหนเข้าร่วมชุมนุมโดยมิได้นัดหมาย ซึ่งปรากฏการณ์ 'ประชาชนทนไม่ไหว' นี่เองที่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้การชุมนุมของเสธ.อ้ายนั้นมีพลังมหาศาล
และหากดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ก็จะเห็นได้ว่านอกจากกระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ครุกรุ่นส่งเสียงแสดงความไม่พอใจต่อนโนบายและพฤติกรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์และเครือข่ายระบอบทักษิณแล้ว บรรดาบุคคลชั้นนำในสังคมต่างก็ตบเท้าเปิดหน้าออกมาร่วมชุมนุม และแสดงความเห็นติติงการทำงานของรัฐบาลอย่างไม่หวาดหวั่นต่ออำนาจอิทธิพลใดๆไม่ว่าจะเป็น พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป, นายต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย หรือแม้แต่ 'หม่อมอุ๋ย' ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ก็ยังออกมาเปิดหน้าชกอย่างเต็มที่
แปลว่านอกเหนือจากตำรวจมะเขือเทศ ทหารแตงโม และมวลเสื้อแดงที่จงรักภักดีต่อ นช.ทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีใครเอารัฐบาลและพร้อมที่จะดาหน้าออกมาขับไล่
โดย เสธ.อ้าย ได้ชูยุทธศาสตร์ 'แช่แข็งนักการเมือง' เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่เน่าเฟะอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่โดนใจมวลชนทุกกลุ่มเนื่องพวกเขาเห็นว่าปัญหาที่หยั่งรากและกัดกินประเทศไทยอยู่ในขณะนี้นั้นล้วนมีต้นตอมาจากนักการเมืองทั้งสิ้น ดังนั้นหากปล่อยให้ระบบการเมืองน้ำเน่าวนเวียนอยู่ เช่นนี้ปัญหาของประเทศไทยก็คงจะเลวร้ายลงทุกที
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่รัฐบาลเพื่อไทยจะเกิดอาการ 'อกสั่นขวัญแขวน' ต่อการเคลื่อนไหวของม็อบเสธ.อ้าย กระทั่งต้องออกมาตรการต่างๆเพื่อสกัดกั้นการชุมนุมในครั้งนี้อย่างที่เห็นกันอยู่ ไม่ว่าเป็นการปล่อยข่าวว่าจะเกิดเหตุรุนแรง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดรถที่จะเดินทางเข้าร่วมชุมนุม เตรียมกำลังไว้คอยโจมตีสร้างความวุ่นวาย ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อควบคุมการชุมนุม โดยนายกฯยิ่งลักษณ์ถึงขั้นต้องแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ในช่วงค่ำของวันที่ 22 พ.ย. รวมทั้งยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่โชคดีศาลไม่เข้าข้างคนชั่วจึงมีมติไม่รับคำร้อง(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในล้อมกรอบ)
ทั้งนี้ สำหรับมวลชนจำนวนมหาศาลที่เข้าร่วมเคลื่อนไหวในชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลในวันที่ 24 พ.ย.นี้นั้น ประกอบไปด้วย
1) กลุ่มนักธุรกิจที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายประชานิยมหาเสียง และขบวนการอภิมหาคอร์รัปชั่นของคนในรัฐบาลเพื่อไทยและเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่ทำให้ธุรกิจของพวกเขาเสียหาย จนบางรายถึงขั้นต้องปิดกิจการ
2) กลุ่มประชาชนทนไม่ไหว ซึ่งก็คือประชาชนจากทุกสาขาอาชีพที่ทนไม่ได้กับความฉ้อฉล การคอร์รัปชั่น พฤติกรรมบ้าอำนาจ และการกระทำที่อยู่เหนือกฎหมายของรัฐบาลเพื่อไทยและบรรดาคนเสื้อแดง กระทั่งมีคำเสียดสีที่ว่า “เสื้อแดงทำอะไรก็ไม่ผิด”
และ 3.) กลุ่มการเมือง 'แมลงสาบ' ที่ต้องการอาศัยพลังของม็อบเสธ.อ้าย ในการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดังนั้นแม้นักการเมืองกลุ่มนี้จะไม่พอใจกับนโยบาย 'แช่แข็งนักการเมือง' แต่ในยุค 'ไร้น้ำยา' ของพรรคการเมืองนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็คงไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยและพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นมีทางเดียวคือร่วมขับไล่รัฐบาลเพื่อไทยให้พ้นจากเก้าอี้ไปก่อน จากนั้นทางพรรคจะทำอย่างไรต่อไปก็ค่อยคิดอ่านกันอีกที
อย่างไรก็ดี แม้หลายฝ่ายจะประเมินว่าการชุมนุมของม็อบเสธ.อ้ายในวันที่ 24 พ.ย.นี้ อาจจะยังไม่สามารถโค่นรัฐบาลเพื่อไทยลงได้ แต่มวลชนจำนวนมหาศาลที่ลุกฮือแห่แหนออกมาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ก็มี 'พลัง' มากพอที่จะถ่วงดุลอำนาจไม่ให้รัฐบาลเพื่อไทยและเครือข่ายระบอบทักษิณ 'เหิมเกริม' ใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือเขมือบกินงบประมาณสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติไปมากกว่านี้
และนับแต่นี้ก็มีแต่วันนับถอยหลัง รอเวลา 'ชุมนุมปิดเกมระบอบทักษิณ' ให้สิ้นซากไปจากผืนแผ่นดินไทย ซึ่งยุทธการครั้งต่อไปนั้นเรียกได้ว่า 'เด็ดขาด ฉับไว ไร้ซาก ถอนรากถอนโคน' ที่สำคัญการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 24 พ.ย.นั้น จะเป็นพลังที่ส่งแรงกระเพื่อมออกไปไม่ต่างจากการโยนลูกไฟลงในกองพลุ ซึ่งจะส่งผลให้มีประชาชนลุกฮือเข้าร่วมชุมนุมในครั้งต่อไปอีกมากมายมหาศาล ทำให้การ 'ปิดเกม' ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ตามยุทธศาสตร์ 'ปฏิวัติโดยประชาชน' ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับว่าเป็นกลไกหนึ่งของ 'ประชาธิปไตย' เพราะนี่คือ “ เสียงของประชาชน ที่ปฏิบัติการโดยประชาชน เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน” เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
คำถามสุดท้ายมีอยู่ว่า ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ แล้ว ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วาดฝันกันไว้หรือไม่ เพราะปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับว่า กลุ่มต่างๆ ที่ผนึกกำลังกันทวงคืนประเทศไทยนั้นจะละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัว และกระทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศได้อย่างที่ประกาศไว้หรือไม่ ถ้าไม่ ทุกอย่างก็จะกลับไปสู่วังวนเดิมและจะยิ่งทำให้ระบอบทักษิณเติบใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ล้อมกรอบ///
กุข่าวป่วนเมือง จับตัวปูนิ่ม วิชามารสกัดม็อบเสธ.อ้าย
รู้สึกจะออกอาการกลัวกันลนลานเสียเหลือเกิน สำหรับบรรดาคนในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ และบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดง ที่ยิ่งใกล้วันที่ เสธ.อ้าย นัดหมายมวลชนออกมาชุมนุมก็ยิ่งเห็นอาการร้อนรน กระสับกระส่าย เรียกได้ว่าเรียงคิวออกมารับลูกสร้างเรื่องดิสเครดิตกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว
เริ่มด้วยลิ่วล้อทหารเลวหัวโจกคนเสื้อแดงอย่าง นายก่อแก้ว พิกุลทอง ที่ลงทุนออกมาปั้นน้ำเป็นตัวโดยระบุว่า มีการวางแผนก่อเหตุซึ่งไม่ได้จากมือที่สาม แต่มาจากกลุ่มผู้ชุมนุมเอง โดยมีรูปแบบความเป็นไปได้ 4 แนวทาง คือ 1.ก่อเหตุการณ์คล้ายกับ 7 ต.ค. 51 ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้อมสภา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จากนั้นเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ หากไม่ยอมก็จะก่อการจลาจลตามด้วยให้ทหารออกมายึดอำนาจ 2.สร้างสถานการณ์ให้คนไทย 2 กลุ่มเกิดการเผชิญหน้ากัน จนบาดเจ็บล้มตายและนำไปสู่การให้ทหารออกมา 3.ส่งคนเข้ามาแฝงตัวในสภาเพื่อก่อเหตุร้าย และ 4. ส่งคนเข้ามาแฝงและจับกุมตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ขณะที่ นายวรชัย เหมะ สำทับต่อเป็นฉากๆว่ า กรณีที่เคยพูดว่ามีการระดมทุน 6 พันล้านบาท ขอย้ำว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถึงวันนี้ใช้เงินไปแล้ว 2 พันล้านบาท อย่างไรก็ตามการชุมนุมตามปกติล้มรัฐบาลไม่ได้แน่นอน จึงมีการเตรียมก่อเหตุความรุนแรง โดยเตรียมอาวุธสงคราม เช่น ระเบิด เอ็ม 79 เพื่อยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมของม็อบเสธ.อ้าย และสร้างเหตุจลาจล อาจมีประชาชนเสียชีวิตจากการปฏิบัติการนับ 100 คน
ขณะที่ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ กล่าวว่า ได้รับรายงานจากสายข่าวสนามม้า ว่ามีทหารยศพล.อ. ชื่อย่อ "น." สั่งให้คนไปซื้อเหล็กแป๊ป 100 ท่อน และไม้ตีหัวตะปู รวมถึงไม้ชนิดอื่นๆ รวมกว่าพันท่อน
อย่างไรก็ตาม กางรายชื่อแต่ละคนที่ออกมาเสนอหน้า ก็ไม่น่าจะให้ราคาด้วยประการใดทั้งสิ้น เพราะแต่ละคนก็ไม่ต่างจากวัวสันหลังหวะ ที่เคยเกณฑ์ไพล่พลม็อบเสื้อแดงออกมาชุมนุม ยั่วยุ ผู้ชุมนุมให้กระทำการเผาบ้านเผาเมือง แล้วอย่างนี้ใครเขาจะไปเชื่อและให้ราคา แต่สำหรับการหวังผลทางการเมืองอีกทางหนึ่ง ก็เหมือนเป็นการปลุกระดมคนเสื้อแดงไปในตัวด้วย
ขณะเดียวดัน ข้ามฟากไปทางหน่วยงานอย่าง สมช. ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลยทีเดียว โดย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ประกาศชัดเจนว่ามีการจัดหาเสื้อสีแดงประมาณ 3,000-4,000 ตัว ไว้ให้คนที่จะเข้ามาก่อความวุ่นวายในการชุมนุม
ส่วนทางกระทรวงมหาดไทย ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการนายอำเภอลงไปตรวจตราชุมชนในจังหวัด เบรกไม่ให้กลุ่มคนไม่หวังดี ชักจูงผู้คนมาชุมนุมใน กทม. และในทางการข่าว ทั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หน่วยข่าวกรอง หน่วยข่าวสันติบาล ก็เร่งหาข้อมูลม็อบ เสิร์ฟให้ทางรัฐบาลทุกวี่วันเช่นกัน
ข้ามฟากไปฝั่งคนเสื้อแดงกันบ้าง ฝ่ายหัวโจกแดง ที่ปากบอกว่าจะไม่ขนม็อบมาชน แต่ในอีกทางหนึ่งแอบขยิบตาให้ แกนนำระดับจังหวัด จัดม็อบแสดงพลังอยู่ในที่ตั้ง
นอกจากนี้ยังแสดงสัญลักษณ์เชิงข่มขวัญ ข่มขู่ด้วยจำนวนคนไปยังฝั่งตรงข้าม เมื่อ 18 พ.ย. ที่ อบต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แกนนำเสื้อแดง ก็วอร์มเครื่องระดมคนไม่พอใจกลุ่มคนไม่เห็นด้วยกับม็อบ เสธ.อ้ายให้ออกมาแสดงพลัง ส่งสัญญาณกลับไปว่า ข้าก็ไม่กลัวเอ็ง ขณะเดียวกัน ในวันที่ 24 พ.ย. แกนนำเสื้อแดงส่วนกลางก็ขยิบตาให้คนเสื้อแดงระดับจังหวัดในเขตปริมณฑล และจังหวัดที่ไม่ไกลกรุงเทพฯ นัก อาทิ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครนายก นครปฐม พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ชักชวนเสื้อแดง ออกมาชุมนุมสแตนด์บาย แม้จะไม่หวังจำนวนมวลชนที่ต้องมากเท่า แต่หวังในเชิงจิตวิทยา หากออกมามากก็ดี และเตรียมพร้อมไว้หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน จะได้เป่านกหวีด ระดมพลเข้าเมืองกรุงได้ทันท่วงที
ด้านฝั่งพรรคเพื่อไทย ก็มีวอร์รูมเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยมี เสี่ยอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โดดลงมาคุมเอง และทีมงานก้อนสมองวางแผนรับมือม็อบของ ร.ต.อ.เฉลิม มีทั้งตำรวจเก่าและตำรวจปัจจุบัน เช่น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม-พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย-พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ-พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา อดีตรอง ผบ.ตร. ในฐานะรองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง
วางแผนใช้กำลังตำรวจกว่า 5 หมื่นนาย สนธิกำลัง คอยผลัดเปลี่ยนกันดูแลการชุมนุมของ อพส. ขณะเดียวกันยังวางกำลังอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน โดยมีกระแสข่าวหนาหูด้วยว่า ได้มีการระดมตำรวจจากจังหวัดต่าง ๆ เข้ากรุงเทพ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในการชุมนุม
แต่ที่ทีเด็ด เห็นจะเป็นการข่าวของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ที่ยอมรับว่า การข่าวมีข้อมูลบางอย่างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการระดมผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก หวังให้เกิดความรุนแรง ส่วนกระแสข่าวการจับตัวนายกรัฐมนตรีเป็นตัวประกันรวมทั้งการบุกยึดสถานที่ราชการนั้น บิ๊กอู่ก็ยอมรับว่าทางเจ้าหน้าที่กังวลและทราบข้อมูลของกลุ่มที่จะก่อความวุ่นวาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลด้านการข่าว
การออกมาให้ข่าวของคนในรัฐบาลก็ล้วนพยายามวาดภาพให้ม็อบเสธ.อ้ายมีความรุนแรงเพื่อให้เกิดความไม่ชอบธรรมอยู่ตลอดเวลา ให้ข่าวทำลายฝ่ายตรงข้าม โจมตีทั้งบนดินและใต้ดิน คนภาครัฐก็ใช้จินตนาการบวกจินตภาพสร้างเรื่องให้ม็อบ เสธ.อ้าย น่ากลัวและเลวร้ายเข้าไว้
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ไม่รู้กลัวอะไรหนักหนา ทั้งที่แกนนำ และกลุ่มภาคีเครือข่ายที่จะมาร่วมชุมนุมก็บอกแล้วว่า ชุมนุมอย่างสงบ ไม่ยืดเยื้อ แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ปล่อยข่าว ทำลายเครดิตกลุ่ม เสธ.อ้าย รายวัน เพื่อหวังทำให้ผู้คนหวาดกลัวจะเกิดเหตุรุนแรงจนไม่กล้าไปร่วมชุมนุม รวมถึงเพื่อทำให้เกิดกระแสต่อต้าน คิดไปว่าพวกเสธ.อ้าย จะนำประเทศไปสู่การปฏิวัติ จะได้ออกมาต่อต้านม็อบเสธ.อ้าย
ทั้งหมดจึงเป็นยุทธวิธีสยบม็อบ เสธ.อ้าย โดยการสร้างข่าวลวงตาประชาชน เพื่อไม่ให้มาร่วมชุมนุมของรัฐบาลขี้ข้าทักษิณสันหลังหวะนั้นเอง