xs
xsm
sm
md
lg

โพลชี้กู้2ล้านล้านงาบชัวร์ แฉดอกท่วม3.16ล้านล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (21 มี.ค.) "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "รัฐบาลกับการกู้เงิน 2.2 ล้านล้าน บาท" โดย ทำการสำรวจจากประชาชนทั่วประเทศ กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ เกี่ยวกับการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ของรัฐบาล เพื่อการปรับโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมการขนส่งทั่วประเทศ
พบว่า ประชาชน 51.56 % เห็นด้วย กับการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ของรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมการขนส่งทั่วประเทศ เพราะเป็นการพัฒนาประเทศชาติ และต้องการเห็นระบบการคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้นในประเทศ ส่วนอีก 35.07 % ไม่เห็นด้วย เพราะ เป็นวงเงินจำนวนค่อนข้างมาก ควรนำไปพัฒนาเรื่องอื่น ทำให้หนี้สาธารณะต่อคนเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเป็นช่องทางของการทุจริต คอร์รัปชัน ขณะที่ 13.37 % ยังไม่แน่ใจ
เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการทุจริตในโครงการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท หรือไม่ พบว่า ประชาชน 74.78 % ระบุว่า มีความเป็นไปได้ เพราะเป็นงบประมาณจำนวนค่อนข้างมาก มีเป็นปกติอยู่แล้ว และน่าจะมีการเอื้อประโยชน์แอบแฝงอยู่ มีเพียงแค่ 6.41% เท่านั้นที่ระบุว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะมีมาตรการที่รัดกุมในการบริหารโครงการ และมีความเคร่งครัดในการตรวจสอบ เป็นอย่างดี ส่วนอีก 18.82 % บอก ไม่แน่ใจ
รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อาจารย์ประจำคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า เปิดเผยว่า ผลการสำรวจค่อนข้างจะเป็นไปตามความคาดหมาย กล่าวคือ มีจำนวนประชาชนที่่เห็นด้วยมากพอสมควร เพราะต้องการเห็นประเทศใช้เงินเพื่อการลงทุนในโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากกว่าการใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นการบริโภคอย่างที่รัฐบาลชุดนี้ ทำมาโดยตลอด
ขณะเดียวกันก็มีประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นห่วงเรื่องหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญอย่างหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ และปัญหาหนี้สาธารณะนี้เอง กำลังทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัญหาสำคัญสำหรับประเทศไทยในอนาคต และสำหรับรัฐบาลชุดต่อไป ที่ต้องเข้ามาแก้ไขด้วย
ส่วนของเรื่องการทุจริตนั้น ผลการสำรวจก็สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนว่า ประชาชนไม่มีความเชื่อใจในการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ โดยมีประชาชนที่คิดว่าจะมีการทุจริตสูงถึง 74.78% ประเด็นเรื่องการทุจริตนี้ น่าจะส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลได้ว่า ผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ได้สร้างความเคลือบแคลงใจให้ประชาชนมากพอสมควร

** กลุ่ม 40 ส.ว.เล็งยื่นศาลรธน.ตีความ

นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะแกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. เปิดเผยว่า ได้หารือถึงกรณีที่รัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท โดยจะพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร สัปดาห์หน้านั้น ทางกลุ่มเห็นว่า เรื่องนี้ควรนำเข้ามาอยู่ใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งรัฐบาลก็ชี้แจงว่า การดำเนินการตามงบประมาณดังกล่าว จะใช้งบในแต่ละปีประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งหากมีการบริหารจัดการงบประมาณปกติได้ ก็เพียงพอที่จะมีการใช้งบประมาณ จึงไม่จำเป็นที่ต้องไปกู้เงินจำนวนมาก
ดังนั้น การที่รัฐบาลอ้างว่าต้องทำนอกงบประมาณปกติ เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ทำให้เกิดภาวะการคลังซ่อนเร้น ซึ่งกลุ่ม 40 ส.ว. จะรอให้เรื่องผ่านการพิจารณาของสองสภาก่อน และก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 โดย ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ที่สภาให้ความเห็นชอบ ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ก็เสนอประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา เพื่อส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป
นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา สมาชิกกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า การเสนอ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท อาจไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ที่ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ ทั้งนี้จะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อคัดค้านอย่างแน่นอน แต่ต้องรอให้กระบวนการพิจารณาแล้วเสร็จในชั้นของวุฒิสภาก่อน โดยใช้ช่องทางของรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 ที่ระบุว่า ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ซึ่งเท่ากับ 65 คน เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ที่สภาให้ความเห็นชอบ ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ก็เสนอประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วให้ประธานแห่งสภา ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป

**ร้องผู้ตรวจฯ สกัดร่างพ.ร.บ.เงินกู้

เมื่อวานนี้ (21 มี.ค. )ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน มีกลุ่มคนไทยหัวใจรักสงบ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการ และโฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ตรวจสอบอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบ และรับทราบ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ เพราะขัดต่อหลักการจัดทำงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน ที่จะต้องทำในรูปพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี และขัดหลักวินัยทางงบประมาณ และการคลัง รวมทั้งขัดต่อแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ด้านเศรษฐกิจ ที่กำหนดให้มีการรักษาวินัยการเงินการคลังให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
แต่การกู้เงินของรัฐบาล เป็นการเลี่ยงการควบคุมและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณโดยรัฐสภา ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 เพราะโครงการดังกล่าวเป็นโครงการกว้างๆ ยังมีแผนหรือโครงการที่เป็นรูปธรรม ไม่มีการระบุกิจกรรม แผนงานโครงการในแต่ละรายของการใช้จ่ายงบประมาณที่ชัดเจน และไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพราะโครงการมีการใช้เงินเพียง 3 แสนล้านต่อปี สามารถจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลได้
ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ตรวจการฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการตามอำนาจหน้าที่กับครม. และข้าราชการกระทรวงการคลัง ที่เกี่ยวข้องต่อไปจนถึงที่สุด โดยเมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า กรณีดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเห็นว่ามีการกระทำใดที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยด้วย

** คนไทยต้องจ่ายดอกเบี้ย 3.16 ล้านล้าน

นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า คนไทยไม่ได้เป็นหนี้ 2 ล้านล้านบาท ตามจำนวนที่รัฐบาลกู้ไว้ แต่ประชาชนยังต้องจ่ายดอกเบี้ย อีก 3.16 ล้านล้านบาท ซึ่งรวมแล้วกว่า 5.16 ล้านบาท หรืออีก 50 ปี ข้างหน้า จึงจะหมดหนี้
"แทบช็อก เมื่อเห็นเงินที่ประชาชนต้องใช้คืนจากการกู้ 2 ล้านล้าน ของรัฐบาล เมื่อออก พ.ร.บ.โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งหมดที่ต้องใช้คืนคือ 5.16 ล้านล้าน !! แบ่งเป็นเงินต้น 2 ล้านล้าน และดอกเบี้ย 3.16 ล้านล้าน กว่าจะหมดหนี้ก็ 50 ปี ... ความคุ้มค่าของโครงการย่อมจะลดลงกว่า 2.5 เท่า เมื่อรัฐบาลกู้แทนที่จะใช้งบประมาณ เป็นเหตุผลว่าทำไม ปชป. ถึงเรียกร้องให้ใช้งบประมาณ กับโครงการนี้เป็นอันดับแรก
ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจ ของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท แล้วจะเป็นลม เนื่องจากการกู้ดังกล่าว เพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า จากช่วงที่เกิดภาวะวิกฤติ IMF ที่มีการกู้เพียง 5 แสนล้านบาท อีกทั้งก่อนหน้านี้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ระบุว่า จะนำไปสร้างเฉพาะโครงการ black born แต่เมื่อมาดูร่างจริง กลับพบว่า มีการจัดวาง 3 ยุทธศาสตร์ แบ่งเป็น 5 แสนล้าน 1.1 ล้านล้าน และ 4 แสนล้าน โดยไม่มีรายละเอียดโครงการเลย
ทั้งนี้ จากการที่ตนได้พูดคุยกับ นายชัชชาติ ก็พบว่า มีการเอ่ยถึงถนนเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งประเด็นนี้อาจทำให้ ส.ส. แต่ละคนนำงบประมาณไปสร้างในพื้นที่ของตนเอง จนกลายเป็นเบี้ยหัวแตกได้ โดยขณะนี้กำลังต่อรองกับ นายชัชชาติ เพื่อให้ส่งรายละเอียดเข้ามาสู่สภา พร้อมทั้งให้เซ็นเอกสารแนบท้าย เพื่อให้มีผลทางกฎหมาย เพราะพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เหมือนตั๋วเที่ยวเดียว ที่สามารถโยกไปมา จนทำให้ตรวจสอบยาก
นายอรรถวิทย์ ยังกล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะโต 7.5% ในปีนี้ และหลังจากปี 2556 โครงการจำนำข้าวจะไม่สูญเสียเงินแล้วนั้น ถือเป็นเรื่องยาก อีกทั้ง สถาบันวิจัย TDRI ก็คาดว่า หนี้สาธารณะจะทะลุถึง 60% ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายในการชำระหนี้ และมีโอกาสเป็นหนี้ภาครัฐสูงมาก

**เร่งดันเข้าสภาสัปดาห์หน้า

นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการบรรจุวาระพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศว่า ทราบว่าขณะนี้เรื่องอยู่ที่ นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง แต่เรื่องยังมาไม่ถึงตน แต่โดยข้อบังคับหากเรื่องมาถึงตน ก็จะตรวจสอบความถูกต้องทั้งหมด ถ้าถูกต้องแล้ว ก็จะบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรภายใน 7 วัน โดยต้องเข้าไปต่อคิวตามลำดับก่อนหลัง
"เป็นไปได้ ที่จะบรรจุร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เข้าสู่วาระประชุมในสัปดาห์หน้า หากส.ส.เห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ก็สามารถขอมติที่ประชุม ขอเลื่อนขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วนได้" นายสมศักดิ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น