วานนี้(17 มี.ค.56) นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขียนเฟซบุ๊คตอบโต้คำสัมภาษณ์ของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ใจความว่า ทราบข่าว กรณ์ vs กิตติรัตน์ ไหมครับ
ผมแนบรูปถ่ายในวันที่ผมได้เจรจากับหัวหน้าคณะของจีนที่เดินทางมาพบเพื่อพูดคุยเรื่องโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย - จีน ( คุนหมิง - ลาว -ไทย - มาเลย์ ) มาให้ได้ดูกัน
หลังจากทั้งสองทีม ไทย - จีน หารือในหลักการแล้วเสร็จ รัฐบาลก็ได้นำเรื่องความร่วมมือในโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน เข้าสภาเพื่อขอความเห็นชอบให้รัฐบาลไทยเริ่มเจรจากับรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ
รัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้วด้วยครับ
เป็นห่วงมากเมื่อรัฐบาลกำลังจะขอกู้เงินเป็นกรณีพิเศษ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเงินกู้ก้อนนี้จะเป็นภาระของพวกเราและลูกหลานไปอีก 50 ปี
ห่วงหนักมากขึ้น เมื่อรองนายกฯที่จะเป็นคนรับผิดชอบเงินกู้นี้เป็นคนไม่ค่อยจะพูดความจริงครับ
ขณะที่เฟซบุ๊คสว่นตัวนาย กรณ์ จาติกวนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนว่า พูดความจริงกันดีกว่า คุณกิตติรัตน์ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน เกี่ยวกับการกู้เงิน 2ล้านล้าน ช่วงหนึ่งพาดพิงมาทางผมว่า..
"เรียนชี้แจงว่ามีท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาชมนิทรรศการ และท่านบอกว่าโครงการต่างๆ ที่จะลงทุนดูเหมือนไม่เป็นเรื่องใหม่อะไร เพราะว่าเป็นเรื่องที่ท่านริเริ่มไว้ ขออนุญาตใช้รายการนี้ถกเถียง ผมไม่พบว่ามีการพูดถึงระบบรถไฟความเร็วสูงขณะที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผมไม่พบว่ามีการผลักดันในเรื่องรถไฟรางคู่ในช่วงที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง" คุณกิตติรัตน์กล่าว
ผมอยากบอกว่าอย่ามาถกเถียงกับผมเลยครับ มีงานต้องทำก็ทำไป แต่ถ้าจะใช้สื่อของรัฐโจมตีฝั่งตรงข้าม ก็กรุณาทำการบ้านมาก่อนครับ แค่ถามข้าราชการกระทรวงคลังที่เคยทำงานกับผมก็น่าจะได้คำตอบแล้ว หรือดีกว่านั้นคือ อย่าไปรบกวนเขา แลัวกด google เอาเอง ใส่ว่า 'รถไฟความเร็วสูง กรณ์' ก็จะเห็นว่าผมได้เป็นตัวแทนของกระทรวงการคลัง ร่วมงานกับกระทรวงคมนาคม ในการเปิดตัวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง
โครงการนี้ไม่ใช่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่มีการเริ่มต้นโดยอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ และอดีตรองนายกฯกอร์ปศักดิ์ ได้เดินทางไปเปิดประเด็นกับรัฐมนตรีกระทรวงรถไฟของจีนช่วงปี ๒๕๕๒ จากนั้นรองนายกฯสุเทพก็ได้เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาอย่างเป็นทางการ และได้เอาหลักการมาเข้าครม. และมีการมอบหมายให้คุณกอร์ปศักดิ์เป็นประธานคณะกรรมการเจรจา เมื่อมีมติครม.ดังนี้ ทางจีนก็ส่งคณะลงมาเจรจาทันที และเราก็เอาแนวทางการร่วมลงทุนทั้งหมดเข้าสภาฯเพื่อขออนุญาตสภาฯไปเจรจาลงนาม MoU ต่อไป
หลักการคือจะมีการตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาโดยไทยถือหุ้น 51% จีน 49% พูดง่ายๆก็คือจีนต้องใส่เงินเข้ามาด้วย ไม่ได้ใช้เงินกู้อย่างเดียวเหมือนแผนรัฐบาลปัจจุบัน
ส่วนเส้นทางคือเชื่อมรถไฟที่วิ่งจากคุนหมิง-เวียงจันทน์ กับหนองคาย-อุดรฯ-ขอนแก่น-โคราช-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ สู่สิงค์โปร์
ไทยเราได้ประโยชน์มากที่สุดเพราะวิ่งอยู่ในพื้นที่เราถึง 1,600 กิโล
ถึงกับผ่านสภาฯมาแล้ว เพียงแต่เมื่อยุบสภาฯและเปลี่ยนรัฐบาล แนวทางนี้ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อไทย ก็ทำให้เสียเวลาไปอีกอย่างน้อยสองปี
ส่วนเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่นั้น กระทรวงการคลังได้นำไปเจรจากับทางญี่ปุ่นว่ามีความสนใจหรือไม่อย่างไร
ที่ผมหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาชี้แจง ก็เพราะการที่คนระดับรองนายกฯได้พูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้น มีความน่าเป็นห่วงอยู่ 2 ประการ คือ ท่านดูเหมือนทำงานโดยไม่มีข้อมูล หรือไม่ ท่านก็โกหกสีอะไรอยู่ผมไม่ทราบ
ทางใดทางหนึ่งทำให้ผมอดเป็นห่วงประเทศชาติไม่ได้
ก็ฝากให้ท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณาเอง
นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า การจัดนิทรรศการจะจัดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคมนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเงินกู้"ไทยเข้มแข็ง"หรือ"ใครเข้มแข็ง" จัดถึงวันที่ 17 เมษายน เปิดงานโดยหัวหน้าพรรค ตั้งแต่เวลา 10.00 เป็นต้นไป ณ บริเวณชั้นล่างที่ทำการพรรค ตั้งแต่หน้าประตูหน้าจนถึงประตูหลัง ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาดูพ.ร.ก.กู้เงินไทยเข้มแข็ง สร้างความเสียหายกับประเทศชาติอย่างไร รวมทั้งทั้งโครงการคุรุภัณฑ์อาชีวะ และโรงพักทดแทน ซึ่งเสียหายมากที่สุด เป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด บางเรื่องอยู่ที่ป.ป.ช.แล้ว โดยจะตั้งชื่อนิทรรศการว่า "บทเรียนประเทศไทย พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ คนไทยได้อะไร
ส่วนกรณีการเสนอพ.ร.ก.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทเข้าสภาฯ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กลับคัดค้านเรื่องนี้ว่า ขอให้นายอภิสิทธิ์ย้อนกลับไปดูผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่านายอภิสิทธิ์ คือนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ปัจจุบันเป็นเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังถัดส์ ที่ออกมาเห็นด้วยกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นสิ่งที่ถูก เพราะชะลอตัวมากในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นต่างจากนายอภิสิทธิ์
"จากการจัดนิทรรศการที่ศูนย์"ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก"มีประชาชนเห็นด้วยจำนวนมาก ซึ่งนายศุภชัยมีการเสนอที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่เห็นดีด้วยกับบ้านเมือง เสนอพ.ร.บ.เงินกู้ นำไปสู่การลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมไทย ปรับโฉมประเทศ พรรคประชาธิปัตย์อย่าทำเป็นขอนไม้เก่าๆ คิดเก่าๆ ขวางทางรถไปฟความเร็วสูงให้ตกราง ถ้านายศุภชัยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ประเทศไทยคงดีกว่านี้ เพราะทำหน้าที่ค้านในสิ่งสร้างสรรค์ ต่างจากนายอภิสิทธิ์ค้านทุกเรื่อง ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง"นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลมีเป้าหมายที่ชัดเจน การออกเป็น พ.ร.บ.มีทั้งขั้นตอนและรายละเอียดให้สภาพิจารณา การเบิกจ่ายต่างๆก็มีกำหนดการชัดเจน ส่วนการจัดนิทรรศการก็ได้รับความชื่นชมจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะทูตกว่า 40 ประเทศ ได้รายงานไปสู่ประเทศของเขาถึงนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล ทำการเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านและเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค แตกต่างจากโครงการไทยเข้มแข็งที่เราเคยให้นิยามว่า กู้มาโกง โดยสิ้นเชิง เพราะโครงการดังกล่าวภายใต้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ฝ่ายค้านออกมากล่าวตำหนิในเรื่องนี้ อยากถามว่าไม่ละอายในสิ่งที่ทำไว้บ้างหรือ ตอนนั้นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ออกเป็น พ.ร.ก.ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย แล้วก็เอาเงินไป 8 แสนล้าน ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมเลย นอกจากนี้รัฐบาลที่แล้วยังเชื่อมสัมพันธ์กับนานาชาติไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดน การที่ฝ่ายค้านมากล่าวหาว่า เลดี้กูกู้ นั้นตนคิดว่าถึงอย่างไรก็ยังดีกว่า กู้มาโกง การออกเป็น พ.ร.บ.ก็ถือว่าทำตามวิถีประชาธิปไตย ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยก็ขอให้ไปอภิปรายในสภาa
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบเงื่อนงำและวาระซ่อนเร้นของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวว่าใครได้ประโยชน์กันแน่ เพราะเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทจะไม่ถูกใช้จ่ายผ่านระบบงบประมาณตามหลักปฏิบัติปกติ ให้เม็ดเงินก้อนนี้อยู่นอกระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยจัดสรรผ่านวิธีพิเศษภายใต้พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งกำลังจะเป็นกฎหมาย เพราะผ่านการพิจารณาของสภา อยู่ระหว่างการทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ วางระบบการจัดการงบประมาณแผ่นดินที่พิสดาร รวบรัดและขึ้นต่อคณะกรรมการที่ ครม.แต่งตั้ง และไม่จำเป็นต้องประมูล
หากสังคมไทยปล่อยให้พ.ร.บ.เงินกู้วงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ผ่านสภาตราเป็นกฎหมาย ต่อไปก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีร่างพ.ร.บ.ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2557 เปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองแอบอ้างความจำเป็นในการพัฒนา การลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ขอกู้เงินและหากินหาประโยชน์กันง่ายๆ ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือไม่ต้องคำนึงถึงความโปร่งใสตามรัฐธรรมนูญกันอีกต่อไป ทั้งๆที่นักการเมืองมาแล้วก็ไป หาประโยชน์หากินจากเมกะโปรเจกต์ แต่ประชาชนต้องแบกหนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าลองคำนวณจากฐานตัวเลขและงานวิจัยที่พบว่าการลงทุนของภาครัฐเงินจะหายไปอย่างต่ำ 30% เพราะฉะนั้นเงินกู้ 2.2ล้านล้านบาท จะมีเงินหายไปอย่างน้อย6.6แสนล้านบาท ถามว่าใครได้เงินก้อนนี้ไป
"ร่างพ.ร.บ.ทั้ง2 ฉบับนี้เลวร้ายและน่ากลัวกว่าคำประกาศคณะรัฐประหารด้วยซ้ำไป ผมถือว่านี่เป็นเสมือนการทำรัฐประหารทางการเงินของประเทศ สถาปนาอำนาจเผด็จการเหนือรัฐธรรมนูญซึ่งร่างพ.ร.บ.ทั้ง2ฉบับ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 วรรคหนึ่ง ในเรื่องการจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เว้นแต่เป็นเรื่องเร่งด่วน ซึ่งกรณีนี้ไม่เข้าข่ายเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน"นายสุริยะใส กล่าวและว่าทางกลุ่มกรีนจะหาช่องทางในการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยการรณรงค์ตีแผ่เปิดโปงให้ประชาชนเห็นข้อเท็จจริง และจะยื่นเรื่องให้หลายองค์กรเข้ามาตรวจสอบ เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.เป็นต้น
ผมแนบรูปถ่ายในวันที่ผมได้เจรจากับหัวหน้าคณะของจีนที่เดินทางมาพบเพื่อพูดคุยเรื่องโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย - จีน ( คุนหมิง - ลาว -ไทย - มาเลย์ ) มาให้ได้ดูกัน
หลังจากทั้งสองทีม ไทย - จีน หารือในหลักการแล้วเสร็จ รัฐบาลก็ได้นำเรื่องความร่วมมือในโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน เข้าสภาเพื่อขอความเห็นชอบให้รัฐบาลไทยเริ่มเจรจากับรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ
รัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้วด้วยครับ
เป็นห่วงมากเมื่อรัฐบาลกำลังจะขอกู้เงินเป็นกรณีพิเศษ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเงินกู้ก้อนนี้จะเป็นภาระของพวกเราและลูกหลานไปอีก 50 ปี
ห่วงหนักมากขึ้น เมื่อรองนายกฯที่จะเป็นคนรับผิดชอบเงินกู้นี้เป็นคนไม่ค่อยจะพูดความจริงครับ
ขณะที่เฟซบุ๊คสว่นตัวนาย กรณ์ จาติกวนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนว่า พูดความจริงกันดีกว่า คุณกิตติรัตน์ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน เกี่ยวกับการกู้เงิน 2ล้านล้าน ช่วงหนึ่งพาดพิงมาทางผมว่า..
"เรียนชี้แจงว่ามีท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาชมนิทรรศการ และท่านบอกว่าโครงการต่างๆ ที่จะลงทุนดูเหมือนไม่เป็นเรื่องใหม่อะไร เพราะว่าเป็นเรื่องที่ท่านริเริ่มไว้ ขออนุญาตใช้รายการนี้ถกเถียง ผมไม่พบว่ามีการพูดถึงระบบรถไฟความเร็วสูงขณะที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผมไม่พบว่ามีการผลักดันในเรื่องรถไฟรางคู่ในช่วงที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง" คุณกิตติรัตน์กล่าว
ผมอยากบอกว่าอย่ามาถกเถียงกับผมเลยครับ มีงานต้องทำก็ทำไป แต่ถ้าจะใช้สื่อของรัฐโจมตีฝั่งตรงข้าม ก็กรุณาทำการบ้านมาก่อนครับ แค่ถามข้าราชการกระทรวงคลังที่เคยทำงานกับผมก็น่าจะได้คำตอบแล้ว หรือดีกว่านั้นคือ อย่าไปรบกวนเขา แลัวกด google เอาเอง ใส่ว่า 'รถไฟความเร็วสูง กรณ์' ก็จะเห็นว่าผมได้เป็นตัวแทนของกระทรวงการคลัง ร่วมงานกับกระทรวงคมนาคม ในการเปิดตัวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง
โครงการนี้ไม่ใช่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่มีการเริ่มต้นโดยอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ และอดีตรองนายกฯกอร์ปศักดิ์ ได้เดินทางไปเปิดประเด็นกับรัฐมนตรีกระทรวงรถไฟของจีนช่วงปี ๒๕๕๒ จากนั้นรองนายกฯสุเทพก็ได้เดินทางไปจีนเพื่อเจรจาอย่างเป็นทางการ และได้เอาหลักการมาเข้าครม. และมีการมอบหมายให้คุณกอร์ปศักดิ์เป็นประธานคณะกรรมการเจรจา เมื่อมีมติครม.ดังนี้ ทางจีนก็ส่งคณะลงมาเจรจาทันที และเราก็เอาแนวทางการร่วมลงทุนทั้งหมดเข้าสภาฯเพื่อขออนุญาตสภาฯไปเจรจาลงนาม MoU ต่อไป
หลักการคือจะมีการตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาโดยไทยถือหุ้น 51% จีน 49% พูดง่ายๆก็คือจีนต้องใส่เงินเข้ามาด้วย ไม่ได้ใช้เงินกู้อย่างเดียวเหมือนแผนรัฐบาลปัจจุบัน
ส่วนเส้นทางคือเชื่อมรถไฟที่วิ่งจากคุนหมิง-เวียงจันทน์ กับหนองคาย-อุดรฯ-ขอนแก่น-โคราช-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ สู่สิงค์โปร์
ไทยเราได้ประโยชน์มากที่สุดเพราะวิ่งอยู่ในพื้นที่เราถึง 1,600 กิโล
ถึงกับผ่านสภาฯมาแล้ว เพียงแต่เมื่อยุบสภาฯและเปลี่ยนรัฐบาล แนวทางนี้ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อไทย ก็ทำให้เสียเวลาไปอีกอย่างน้อยสองปี
ส่วนเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่นั้น กระทรวงการคลังได้นำไปเจรจากับทางญี่ปุ่นว่ามีความสนใจหรือไม่อย่างไร
ที่ผมหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาชี้แจง ก็เพราะการที่คนระดับรองนายกฯได้พูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้น มีความน่าเป็นห่วงอยู่ 2 ประการ คือ ท่านดูเหมือนทำงานโดยไม่มีข้อมูล หรือไม่ ท่านก็โกหกสีอะไรอยู่ผมไม่ทราบ
ทางใดทางหนึ่งทำให้ผมอดเป็นห่วงประเทศชาติไม่ได้
ก็ฝากให้ท่านนายกรัฐมนตรีพิจารณาเอง
นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า การจัดนิทรรศการจะจัดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคมนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเงินกู้"ไทยเข้มแข็ง"หรือ"ใครเข้มแข็ง" จัดถึงวันที่ 17 เมษายน เปิดงานโดยหัวหน้าพรรค ตั้งแต่เวลา 10.00 เป็นต้นไป ณ บริเวณชั้นล่างที่ทำการพรรค ตั้งแต่หน้าประตูหน้าจนถึงประตูหลัง ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาดูพ.ร.ก.กู้เงินไทยเข้มแข็ง สร้างความเสียหายกับประเทศชาติอย่างไร รวมทั้งทั้งโครงการคุรุภัณฑ์อาชีวะ และโรงพักทดแทน ซึ่งเสียหายมากที่สุด เป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด บางเรื่องอยู่ที่ป.ป.ช.แล้ว โดยจะตั้งชื่อนิทรรศการว่า "บทเรียนประเทศไทย พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ คนไทยได้อะไร
ส่วนกรณีการเสนอพ.ร.ก.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทเข้าสภาฯ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กลับคัดค้านเรื่องนี้ว่า ขอให้นายอภิสิทธิ์ย้อนกลับไปดูผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่านายอภิสิทธิ์ คือนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ปัจจุบันเป็นเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังถัดส์ ที่ออกมาเห็นด้วยกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นสิ่งที่ถูก เพราะชะลอตัวมากในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นต่างจากนายอภิสิทธิ์
"จากการจัดนิทรรศการที่ศูนย์"ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก"มีประชาชนเห็นด้วยจำนวนมาก ซึ่งนายศุภชัยมีการเสนอที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่เห็นดีด้วยกับบ้านเมือง เสนอพ.ร.บ.เงินกู้ นำไปสู่การลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมไทย ปรับโฉมประเทศ พรรคประชาธิปัตย์อย่าทำเป็นขอนไม้เก่าๆ คิดเก่าๆ ขวางทางรถไปฟความเร็วสูงให้ตกราง ถ้านายศุภชัยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ประเทศไทยคงดีกว่านี้ เพราะทำหน้าที่ค้านในสิ่งสร้างสรรค์ ต่างจากนายอภิสิทธิ์ค้านทุกเรื่อง ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง"นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาลมีเป้าหมายที่ชัดเจน การออกเป็น พ.ร.บ.มีทั้งขั้นตอนและรายละเอียดให้สภาพิจารณา การเบิกจ่ายต่างๆก็มีกำหนดการชัดเจน ส่วนการจัดนิทรรศการก็ได้รับความชื่นชมจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะทูตกว่า 40 ประเทศ ได้รายงานไปสู่ประเทศของเขาถึงนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล ทำการเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านและเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค แตกต่างจากโครงการไทยเข้มแข็งที่เราเคยให้นิยามว่า กู้มาโกง โดยสิ้นเชิง เพราะโครงการดังกล่าวภายใต้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ฝ่ายค้านออกมากล่าวตำหนิในเรื่องนี้ อยากถามว่าไม่ละอายในสิ่งที่ทำไว้บ้างหรือ ตอนนั้นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ออกเป็น พ.ร.ก.ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย แล้วก็เอาเงินไป 8 แสนล้าน ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมเลย นอกจากนี้รัฐบาลที่แล้วยังเชื่อมสัมพันธ์กับนานาชาติไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดน การที่ฝ่ายค้านมากล่าวหาว่า เลดี้กูกู้ นั้นตนคิดว่าถึงอย่างไรก็ยังดีกว่า กู้มาโกง การออกเป็น พ.ร.บ.ก็ถือว่าทำตามวิถีประชาธิปไตย ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยก็ขอให้ไปอภิปรายในสภาa
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า สังคมต้องร่วมกันตรวจสอบเงื่อนงำและวาระซ่อนเร้นของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวว่าใครได้ประโยชน์กันแน่ เพราะเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทจะไม่ถูกใช้จ่ายผ่านระบบงบประมาณตามหลักปฏิบัติปกติ ให้เม็ดเงินก้อนนี้อยู่นอกระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยจัดสรรผ่านวิธีพิเศษภายใต้พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งกำลังจะเป็นกฎหมาย เพราะผ่านการพิจารณาของสภา อยู่ระหว่างการทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ วางระบบการจัดการงบประมาณแผ่นดินที่พิสดาร รวบรัดและขึ้นต่อคณะกรรมการที่ ครม.แต่งตั้ง และไม่จำเป็นต้องประมูล
หากสังคมไทยปล่อยให้พ.ร.บ.เงินกู้วงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ผ่านสภาตราเป็นกฎหมาย ต่อไปก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีร่างพ.ร.บ.ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2557 เปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองแอบอ้างความจำเป็นในการพัฒนา การลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ขอกู้เงินและหากินหาประโยชน์กันง่ายๆ ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือไม่ต้องคำนึงถึงความโปร่งใสตามรัฐธรรมนูญกันอีกต่อไป ทั้งๆที่นักการเมืองมาแล้วก็ไป หาประโยชน์หากินจากเมกะโปรเจกต์ แต่ประชาชนต้องแบกหนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าลองคำนวณจากฐานตัวเลขและงานวิจัยที่พบว่าการลงทุนของภาครัฐเงินจะหายไปอย่างต่ำ 30% เพราะฉะนั้นเงินกู้ 2.2ล้านล้านบาท จะมีเงินหายไปอย่างน้อย6.6แสนล้านบาท ถามว่าใครได้เงินก้อนนี้ไป
"ร่างพ.ร.บ.ทั้ง2 ฉบับนี้เลวร้ายและน่ากลัวกว่าคำประกาศคณะรัฐประหารด้วยซ้ำไป ผมถือว่านี่เป็นเสมือนการทำรัฐประหารทางการเงินของประเทศ สถาปนาอำนาจเผด็จการเหนือรัฐธรรมนูญซึ่งร่างพ.ร.บ.ทั้ง2ฉบับ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 วรรคหนึ่ง ในเรื่องการจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เว้นแต่เป็นเรื่องเร่งด่วน ซึ่งกรณีนี้ไม่เข้าข่ายเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน"นายสุริยะใส กล่าวและว่าทางกลุ่มกรีนจะหาช่องทางในการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยการรณรงค์ตีแผ่เปิดโปงให้ประชาชนเห็นข้อเท็จจริง และจะยื่นเรื่องให้หลายองค์กรเข้ามาตรวจสอบ เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.เป็นต้น