ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาโผโยกย้ายนายทหารกลางปีของทุกเหล่าทัพ รวม 79 อัตรา ซึ่งโดยปกติแล้วการโยกย้ายกลางปี จะมีความสำคัญน้อยกว่าการโยกย้ายใหญ่ปลายปี ช่วงเดือนกันยายน
ทั้งนี้ เพราะเป็นการโยกย้ายเพื่อให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะชั้นนายพล ได้ไปอยู่ในตำแหน่งที่มีชั้นยศสูงขึ้น ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในปลายปีนี้ เสมือนเป็นการปูนบำเหน็จ ความดีความชอบ ก่อนอำลาชีวิตทหาร จึงไม่ค่อยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตามมาเท่าไร หรือถ้ามีก็เพียงเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย
อย่างเช่น พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 จะถูกขยับเข้ามากินอัตราพลเอก ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และผู้ที่จะมาแทน คาดว่าจะเป็น พล.ท.กิตติ อินทรสร ( ตท.14) รองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งถือเป็นนายทหารที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน เพื่อสานงานต่อ
นอกจากนี้ก็มี พล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ 3 ที่ดูแลพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด จะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนกันยายนนี้ ให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ในอัตราพลเอก
แต่ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค 3 แทน กลับไม่ใช่รองแม่ทัพภาค 3 ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 คน กลับเป็น พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา ( ตท.15 ) แม่ทัพน้อยที่ 3 ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ตำแหน่งนี้ จึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตามมาพอสมควร
เข้าทำนอง "มีวันนี้ เพราะพี่ให้"
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ในกรณีของน้องชายตัวเองนั้น ลำบากใจหรือไม่ ว่า
" ลำบากใจอะไร และเขาเป็นใคร เขาสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 ตามผมมา ผมไม่ได้เป็นคนให้เขาเข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เขาก็สอบของเขาเอง และโตมาเอง หรือจะต้องให้เปลี่ยนนามสกุล ... ผมไม่ต้องการให้ทุกคนมาให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากนัก เพราะเป็นเรื่องภายในของเหล่าทัพทหาร ดังนั้นไม่ว่าใครจะเป็นอะไรก็ตาม เขาจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบวินัยของกองทัพ จะดำเนินการอย่างอื่นที่ฝ่าฝืนกฎหมายไม่ได้ "
ความระหว่างบรรทัด คือ...จะย้ายใครไปอยู่ตรงไหน เป็นเรื่องของทหาร คนที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง อย่า...ยุ่ง !