วานนี้(5 มี.ค.56) พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการพิจารณาจัดทำแผนโยกย้ายตำแหน่งนายทหารชั้นนายพลครั้งแรกที่กระทรวงกลาโหม ซึ่งประกอบด้วย พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และ พล.อ.ชาญ โกมลหิรัญ เจ้ากรมเสมียนตรา เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการปรับย้ายฯ เพื่อหารือถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารกลางปี ในเดือนช่วงเม.ษ.นี้ โดย พล.อ.อ.สุกำพล มีนโยบายให้คณะกรรมการฯ ส่งบัญชีรายชื่อทั้งหมดมาที่กระทรวงกลาโหมภายในวันที่ 8 มี.ค.นี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า รมว.กลาโหมได้เรียกประชุมเพื่อหารือร่วมกันในการจัดทำแผนโยกย้ายตำแหน่งชั้นนายพลช่วงกลางปีในเดือนเม.ย. นี้ ซึ่งมีตำแหน่งที่ไม่มาก และส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งที่จะปรับทดแทนตำแหน่งผู้ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนต.ค. 2556 ซึ่งเราได้เก็บอัตราไว้ให้คนเหล่านี้ได้เจริญเติบโต เพราะเขาก็รับราชการมาเป็นเวลานานพอสมควร และควรจะได้รับการพิจารณาให้ถูกเลื่อนยศที่สูงขึ้น
เมื่อถามว่าในส่วนของระดับแม่ทัพภาคได้ให้นโยบายอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่นโยบาย แต่เป็นเรื่องของระเบียบกองทัพบกอยู่แล้วในเรื่องของการตั้งแต่งที่ต้องผ่านคณะกรรมการของกองทัพบกเมื่อมีการเสนอขึ้นมาจากกองทัพ มันไม่ใช่จะมาจี้ว่าใครได้หรือไม่ได้ แต่จะต้องมีการเสนอขึ้นมา หลังจากนั้นคณะกรรมการของกองทัพบกจะทำหน้าที่กลั้นกรองว่าคุณสมบัติได้หรือไม่ ถ้าได้ก็จะดูว่าตำแหน่งมีที่ว่างตรงไหนก็จะใส่ไปตรงนั้น
“อย่ากลัวว่าผมจะตั้งคนตามที่ผมต้องการ เพราะผมตั้งอย่างนั้นไม่ได้ ผมยึดหลักการว่าการตั้งคนขึ้นมาต้องตั้งด้วยความรู้ความสามารถและด้วยคุณสมบัติของเขาเป็นหลัก ต้องมีความอาวุโสและได้รับการยอมรับ คนเหล่านี้ก็จะต้องรับการกลั้นกรองไปตามลำดับตั้งแต่เป็นนายทหารชั้นผู้น้อยจนขึ้นเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ การจะเป็นนายทหารชั้นนายพลไม่ได้เป็นง่ายๆ และอย่าบอกว่าเป็นนายพลจะไม่มีงานทำ เพราะยังมีคณะทำงาน 16-17 คณะ และมีงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)ให้เขาทำ ดังนั้นนายพลมีงานทำ มีตำแหน่งและมีหน้าที่กันทุกคน การแต่งตั้งคนหากคิดว่าจะมาปกป้องเรายิ่งทำไม่ได้ ถ้าปกป้องด้วยความดีนั้นดีที่สุด ถ้าตั้งเขาหวังว่าจะให้คนๆนี่เข้ามามีอำนาจเพื่อมาปกป้อง ผมไม่ทำ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีความลำบากใจเรื่องการแต่งตั้งพล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นน้องชายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า “ลำบากใจเรื่องอะไร และเขาเป็นใคร เขาสอบเขาโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 ตามผมมา ผมไม่ได้เป็นคนให้เขาเข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เขาก็สอบของเขาเอง และโตมาเอง หรือจะต้องให้เขาเปลี่ยนนามสกุล”
เมื่อถามต่อว่าส่วนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ควรจะเป็นคนในหรือคนนอก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เดี๋ยวแม่ทัพภาคที่ 4 ก็เป็นคนตั้งมาเอง ซึ่งทำอย่างไรให้กระบวนการแก้ไขปัญหาเข้ามา ใครเป็นก็ได้อยู่แล้ว ถ้าทำตามยุทธศาสตร์และทุกคนต้องทำตามยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ว่าจะตั้งคนที่มาทำอะไรก็ได้ อย่างนั้นจะตั้งไม่ได้ ต้องตั้งคนที่ทำงานตามยุทธศาสตร์และคำสั่งตามกฎหมาย เพราะต้องทำงานในกรอบงานที่มีอยู่และตามระเบียบวินัย เก่งแค่ไหนถ้าไม่มีระเบียบวินัยก็เป็นอะไรไม่ได้ อย่างไรก็ตามตนไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าจะต้องเป็นคนที่โตมาจากกองทัพภาคที่ 4 แต่โดยปกติควรจะเป็นคนที่ทำงานอยู่ในพื้นที่จะดีกว่า เนื่องจากรู้ปัญหา ส่วนที่มีคนของกองทัพภาคที่1,2และ3 เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยนั้นเป็นคนละเรื่อง คนจะเป็นนายพลไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาเสี่ยงคุก เสี่ยงเป็นและตายมามากมาก
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวว่า ไม่มั่นใจว่า ในภาพรวมเป็นอย่างไร แต่ส่วนของกองทัพอากาศมีการปรับเพียงเล็กน้อยและไม่ใช่ตำแหน่งสำคัญเป็นการหมุนเวียนกำลังพลที่ใกล้เกษียณอายุและทดแทนกำลังพลส่วนหนึ่งที่ลาออกไปเมื่อช่วงต้นปี ซึแต่น่าจะได้ข้อสรุป เพราะการปรับย้ายครั้งเป็นเพียงการปรับเล็กไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งทางกองทัพอากาศพร้อมยื่นบัญชีรายชื่อให้ทางรมว.กลาโหมด้วย
มีรายงานว่า บัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารระดับนายพลครั้งนี้มีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการปรับย้ายนายทหารที่ดำรงตำแหน่งหลักซึ่งจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ขึ้นอัตราพลเอก สำหรับตำแหน่งแม่ทัพภาค หรือ เทียบเท่าที่จะเกษียณเดือนกันยายนนี้ ประกอบด้วย พล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ 3 (มทภ.3) พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4( มทภ.4) และ พล.ท. ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.)
ในส่วนของกองทัพภาคที่ 3 พล.ท.ชาญชัยณรงค์ เสนอชื่อ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพน้อยที่ 3 เตรียมทหารรุ่น 15 (ตท.15 ) น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 ในส่วนของกองทัพภาคที่ 4 พล.ท.อุดมชัย เสนอชื่อ พล.ต.กิตติ อินทสร รองแม่ทัพภาคที่ 4 (ตท.14 ) ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ขณะที่ นสศ. พล.ท.ศุภรัตน์ เสนอชื่อ พล.ต.เฉลิมชัย สิทธิสารท รอง ผบ.นสศ. (ตท.15 ) ขึ้นเป็น ผบ.นสศ. นอกจากนั้น ยังมีการเสนอชื่อ พล.ต.อาชาไนย ศรีสุข ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 3 (ตท.15 ) กลับมาเป็น ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่2รักษาพระองค์ ( ผบ.พล.ม.2 รอ.) แทน พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ที่ต้องขยับขึ้นอัตราพลโทก่อนเกษียณในเดือนกันยายน ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะนำรายชื่อทั้งหมดเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายได้เห็นชอบด้วย.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า รมว.กลาโหมได้เรียกประชุมเพื่อหารือร่วมกันในการจัดทำแผนโยกย้ายตำแหน่งชั้นนายพลช่วงกลางปีในเดือนเม.ย. นี้ ซึ่งมีตำแหน่งที่ไม่มาก และส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งที่จะปรับทดแทนตำแหน่งผู้ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนต.ค. 2556 ซึ่งเราได้เก็บอัตราไว้ให้คนเหล่านี้ได้เจริญเติบโต เพราะเขาก็รับราชการมาเป็นเวลานานพอสมควร และควรจะได้รับการพิจารณาให้ถูกเลื่อนยศที่สูงขึ้น
เมื่อถามว่าในส่วนของระดับแม่ทัพภาคได้ให้นโยบายอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่นโยบาย แต่เป็นเรื่องของระเบียบกองทัพบกอยู่แล้วในเรื่องของการตั้งแต่งที่ต้องผ่านคณะกรรมการของกองทัพบกเมื่อมีการเสนอขึ้นมาจากกองทัพ มันไม่ใช่จะมาจี้ว่าใครได้หรือไม่ได้ แต่จะต้องมีการเสนอขึ้นมา หลังจากนั้นคณะกรรมการของกองทัพบกจะทำหน้าที่กลั้นกรองว่าคุณสมบัติได้หรือไม่ ถ้าได้ก็จะดูว่าตำแหน่งมีที่ว่างตรงไหนก็จะใส่ไปตรงนั้น
“อย่ากลัวว่าผมจะตั้งคนตามที่ผมต้องการ เพราะผมตั้งอย่างนั้นไม่ได้ ผมยึดหลักการว่าการตั้งคนขึ้นมาต้องตั้งด้วยความรู้ความสามารถและด้วยคุณสมบัติของเขาเป็นหลัก ต้องมีความอาวุโสและได้รับการยอมรับ คนเหล่านี้ก็จะต้องรับการกลั้นกรองไปตามลำดับตั้งแต่เป็นนายทหารชั้นผู้น้อยจนขึ้นเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ การจะเป็นนายทหารชั้นนายพลไม่ได้เป็นง่ายๆ และอย่าบอกว่าเป็นนายพลจะไม่มีงานทำ เพราะยังมีคณะทำงาน 16-17 คณะ และมีงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)ให้เขาทำ ดังนั้นนายพลมีงานทำ มีตำแหน่งและมีหน้าที่กันทุกคน การแต่งตั้งคนหากคิดว่าจะมาปกป้องเรายิ่งทำไม่ได้ ถ้าปกป้องด้วยความดีนั้นดีที่สุด ถ้าตั้งเขาหวังว่าจะให้คนๆนี่เข้ามามีอำนาจเพื่อมาปกป้อง ผมไม่ทำ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีความลำบากใจเรื่องการแต่งตั้งพล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นน้องชายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า “ลำบากใจเรื่องอะไร และเขาเป็นใคร เขาสอบเขาโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 ตามผมมา ผมไม่ได้เป็นคนให้เขาเข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เขาก็สอบของเขาเอง และโตมาเอง หรือจะต้องให้เขาเปลี่ยนนามสกุล”
เมื่อถามต่อว่าส่วนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ควรจะเป็นคนในหรือคนนอก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เดี๋ยวแม่ทัพภาคที่ 4 ก็เป็นคนตั้งมาเอง ซึ่งทำอย่างไรให้กระบวนการแก้ไขปัญหาเข้ามา ใครเป็นก็ได้อยู่แล้ว ถ้าทำตามยุทธศาสตร์และทุกคนต้องทำตามยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ว่าจะตั้งคนที่มาทำอะไรก็ได้ อย่างนั้นจะตั้งไม่ได้ ต้องตั้งคนที่ทำงานตามยุทธศาสตร์และคำสั่งตามกฎหมาย เพราะต้องทำงานในกรอบงานที่มีอยู่และตามระเบียบวินัย เก่งแค่ไหนถ้าไม่มีระเบียบวินัยก็เป็นอะไรไม่ได้ อย่างไรก็ตามตนไม่ได้เป็นคนกำหนดว่าจะต้องเป็นคนที่โตมาจากกองทัพภาคที่ 4 แต่โดยปกติควรจะเป็นคนที่ทำงานอยู่ในพื้นที่จะดีกว่า เนื่องจากรู้ปัญหา ส่วนที่มีคนของกองทัพภาคที่1,2และ3 เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยนั้นเป็นคนละเรื่อง คนจะเป็นนายพลไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาเสี่ยงคุก เสี่ยงเป็นและตายมามากมาก
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวว่า ไม่มั่นใจว่า ในภาพรวมเป็นอย่างไร แต่ส่วนของกองทัพอากาศมีการปรับเพียงเล็กน้อยและไม่ใช่ตำแหน่งสำคัญเป็นการหมุนเวียนกำลังพลที่ใกล้เกษียณอายุและทดแทนกำลังพลส่วนหนึ่งที่ลาออกไปเมื่อช่วงต้นปี ซึแต่น่าจะได้ข้อสรุป เพราะการปรับย้ายครั้งเป็นเพียงการปรับเล็กไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งทางกองทัพอากาศพร้อมยื่นบัญชีรายชื่อให้ทางรมว.กลาโหมด้วย
มีรายงานว่า บัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารระดับนายพลครั้งนี้มีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการปรับย้ายนายทหารที่ดำรงตำแหน่งหลักซึ่งจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ขึ้นอัตราพลเอก สำหรับตำแหน่งแม่ทัพภาค หรือ เทียบเท่าที่จะเกษียณเดือนกันยายนนี้ ประกอบด้วย พล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ 3 (มทภ.3) พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4( มทภ.4) และ พล.ท. ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.)
ในส่วนของกองทัพภาคที่ 3 พล.ท.ชาญชัยณรงค์ เสนอชื่อ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพน้อยที่ 3 เตรียมทหารรุ่น 15 (ตท.15 ) น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 ในส่วนของกองทัพภาคที่ 4 พล.ท.อุดมชัย เสนอชื่อ พล.ต.กิตติ อินทสร รองแม่ทัพภาคที่ 4 (ตท.14 ) ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ขณะที่ นสศ. พล.ท.ศุภรัตน์ เสนอชื่อ พล.ต.เฉลิมชัย สิทธิสารท รอง ผบ.นสศ. (ตท.15 ) ขึ้นเป็น ผบ.นสศ. นอกจากนั้น ยังมีการเสนอชื่อ พล.ต.อาชาไนย ศรีสุข ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 3 (ตท.15 ) กลับมาเป็น ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่2รักษาพระองค์ ( ผบ.พล.ม.2 รอ.) แทน พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ที่ต้องขยับขึ้นอัตราพลโทก่อนเกษียณในเดือนกันยายน ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะนำรายชื่อทั้งหมดเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายได้เห็นชอบด้วย.