ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -วันนี้ ความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มิได้มีความสำคัญสำหรับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญอีกต่อไป
เพราะหลังเสร็จเสร็จภารกิจสวมหัวโขนเล่นบทเป็นผู้ท้าชิง “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” จบสิ้นไปสดๆร้อนๆ ก็มีข่าวตามมาแบบทันควันว่าจะกลับไปสู่กรมกองคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเตรียมเนื้อเตรียมตัวก้าวขึ้นไปเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”
ในทางกฎหมายหลังจากนี้ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ พล.ต.อ.พงศพัศ จะต้องยื่นความประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการต่อผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ภายใน 30 วัน ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดจะพิจารณาอนุมัติ พร้อมกับเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ลงมติเห็นชอบให้กลับเข้ารับราชการ จากนั้นจะนำความกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป ส่วนตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่เจ้าตัวดำรงด้วยอีก 1 ตำแหน่ง เป็นตำแหน่งที่อนุมัติโดยคณะรัฐมนตรี
งานนี้ เรียกว่า จูดี้ก็แสดงเจตจำนงชัดเจนที่จะขอกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง ขณะที่บิ๊กอู๋ก็ประกาศเช่นกันว่า มิได้รังเกียจเดียดฉันท์แต่ประการใด พร้อมเปิดเผยอีกต่างหากว่า ได้รับการติดต่อเป็นการส่วนตัวจากพล.ต.อ. พงศพัศ ขอกลับเข้ารับราชการตำรวจตามเดิมเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญ คงจะอยู่ที่การกลับมาของ พล.ต.อ.พงศพัศ ในรอบนี้จะยาวไปถึงการก้าวไปถึงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่เพราะเพียงแค่มีข่าว รองผู้ว่าฯ เงาอย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง ก็ประกาศดันก้น พล.ต.อ.พงศพัศ จ่อเก้าอี้ ผบ.ตร. ต่อจาก พล.ต.อ.อดุลย์ที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2557 ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากนั้นเท่านั้นนัก เพราะนาทีนี้สำหรับจูดี้ ถือว่าเขาได้เลือกขั้วสนิทแนบแน่นจนกลายเป็นเด็กในคาถาจนสามารถเข้าไปอยู่ในวงใน เรียบร้อยแล้ว
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือมีข้อมูลยืนชันว่า เก้าอี้ ผบ.ตร.คือสัญญาใจที่นักโทษชายหนีคดีรับปากจูดี้เอาไว้เมื่อครั้งตัดสินใจเคาะรายชื่อให้ พล.ต.อ.พงศพัศลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.พร้อมลงทุนเจรจาคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์เพื่อเปิดทางให้ ไม่เช่นนั้น พล.ต.อ.พงศพัศคงไม่ยอมลาออกจากราชการตำรวจ
ถ้า “บิ๊กแจ๊ด-พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” มีวันนี้เพราะพี่ให้ “จูดี้” ก็คงท่องคำขวัญเดียวกันนี้ทั้งยามตื่นและยามหลับเช่นกัน
26 ม.ค.2556 ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามาที่เวทีเสื้อแดง หน้า ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อช่วยหาเสียงให้ พล.ต.อ.พงศพัศ โดยบอกว่า"...ให้คนเสื้อแดงที่มีญาติพี่น้องอยู่ในกรุงเทพฯ ช่วยบอกญาติให้เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พรรคจะได้ยึดครองกรุงเทพฯ ได้เบ็ดเสร็จ เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคถูกโกงมาโดยตลอด ขอให้ช่วยกันประคับประคองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะจะเป็นผู้ทำงานแทนผม ซึ่งขณะนี้ผมกำลังคิดโครงการต่างๆ เพื่อ ให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์นำไปปฏิบัติ แล้วทำให้ พี่น้องเสื้อแดงอีสานหายยากจน..."
ทั้งนี้ ช่วงที่ "จูดี้" ลาออกจากราชการตำรวจใหม่ๆ เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น ก็มีกระแสข่าวลือหึ่งทั่วกรมปทุมวัน ทำนองว่า โหากพ่ายแพ้ในศึกชิงกรุงฯ เที่ยวนี้ นายใหญ่แห่งดูไบ ก็เตรียมจะอุ้ม พล.ต.อ.พงศพัศ ที่มีอายุราชการถึงปี 2559 ขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำแห่งอาณาจักรโล่เงิน ทันทีที่ พล.ต.อ.อดุลย์ เกษียณอายุราชการในปี 2557 แบบไม่ต้องสนใจคู่แข่งที่ชื่อ "บิ๊กเอก" พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ที่ทำตัวนิ่งเงียบ อยู่ในขณะนี้
ฉะนั้น แม้จะพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ให้แก่ คุณชายหมู แต่เชื่อได้ว่า พล.ต.อ.พงศพัศ คงไม่ยี่หระหรือเสียใจอะไรมาก เพราะถือว่าผลงานครั้งนี้ คงซื้อใจ นช.ทักษิณไปเต็มๆ เพราะใครจะคิดว่าหาเสียงเพียงไม่กี่วัน จะสามารถทำคะแนนได้เป็นล้านชนิดแพ้แบบหายใจรดต้นคอพรรคประชาธิปัตย์
การได้เก้าอี้ รอง ผบ.ตร.ก็ดี เลขาฯ ป.ป.ส.ก็ดี หากพึ่งเพียงผลงานส่วนตัวของ พล.ต.อ.พงศพัศ ซึ่งสื่อให้ฉายา "ดาราสีกากี" และ "จูดี้ อีเว้นท์" คงยากราวฝนทั่งให้เป็นเข็ม เพราะไม่เคยปรากฏบทบาทของตำรวจปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง จับโจรผู้ร้าย หรือสืบสวนคดีใหญ่ๆ ด้วยตนเองเลย
แน่นอนคงไม่ต้องถามว่ายุคนี้ใครใหญ่
ส่วนสิ่งที่หลายคนเป็นห่วง คือ สตช. เป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม บุคคลที่เข้ามารับบทแม่ทัพสีกากี ต้องได้รับการยอมรับ มีความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และไม่สมควรทำให้สังคมข้องใจว่าเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งคงจะต้องพูดในความเป็นจริงก็คือ ลืมไปได้เลย เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ประเทศไทยคงจะไม่มีผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่มีประโยคเด็ดพูดกันสนุกปากว่า มีวันนี้เพราะพี่ให้ เพราะถ้าถึงวันที่ จูดี้ สามารถผงาดขึ้นไปครองตำแหน่งผู้นำสีกากีได้จริง ก็ขอให้ประชาชนรับรู้ไว้ได้เลยว่า รัฐตำรวจของ นช.ทักษิณกลับมาผงาดอย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง และอย่าได้ถามอีกว่า ตำรวจต้องเอีงเอนฝ่ายใดหรือไม่ เพราะคำตอบมีอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อาจารย์ประจำคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้ความเห็นว่า ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.ต.อ.พงศพัศสามารถกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมได้ แต่ตามหลักคุณธรรมและจริยธรรม คนที่ลาออกไปสังกัดพรรคการเมืองแล้ว จะกลับเข้ามารับตำแหน่งเดิมก็ไม่เหมาะสมเท่าไร เพราะปกติแล้วข้าราชการควรวางตัวเป็นกลางทางการเมือง การลาออกไปแล้ว โดยมีการสังกัดพรรคก็อาจทำให้คนรู้สึกว่าข้าราชการดังกล่าวเมื่อกลับมาจะวางตัวเป็นกลางหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.พงศพัศเองก็มีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยที่เคยสังกัดเมื่อตอนลงสมัครรับเลือกตั้ง
“ผมคิดว่า พล.ต.อ.พงศพัศไม่ควรอย่างยิ่งที่จะกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งรอง ผบ.ตร. เพราะได้ออกไปลงสมัครในสังกัดพรรคการเมืองอย่างชัดเจนแล้ว ทุกคนรับรู้หมดแล้ว ทางที่ดีควรจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไปลงการเมือง หรือเป็นข้าราชการการเมืองแทน ซึ่งรัฐบาลเองก็สามารถเปิดตำแหน่งให้ได้อยู่แล้ว ไม่ควรเป็นข้าราชการประจำอีก” อาจารย์จากนิด้าผู้นี้ระบุ
เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ที่มีความเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า การจะกลับเข้ารับราชการอีกครั้งสามารถทำได้ก็จริง แต่การที่ลาออกไปสังกัดพรรคภายใต้ความขัดแย้งทางการเมืองที่สูงขึ้น พล.ต.อ.พงศพัศจะต้องถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นสิ่งที่ พล.ต.อ.พงศพัศต้องคิดให้ดี เพราะนั่นอาจจะเป็นผลเสียต่อองค์กรตำรวจได้
สุดท้าย....ต้องติดตามดูว่าเด็กในคาถานอนมาของนช.ทักษิณ อย่างจูดี้ จะได้ขึ้นฝั่งฝันเป็นผู้นำสูงสุดแห่งวงการสีกากีหรือไม่ น่าติดตามไม่น้อยว่าวงการสีกากีมีวันนี้เพราะพี่จะเดินไปในทิศทางใด