ผมเคยตั้งคำถามคนกรุงเทพมหานคร ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสัก 2 สัปดาห์ว่า ทำไมจะต้องให้กลุ่มคนที่มันเผาบ้านเผาเมืองมาคืนความสุขให้กับคนกรุงเทพฯ มันบอกว่าให้เอาขวดแก้วมาคนละใบ น้ำมันมาเติมเอาข้างหน้าให้ได้เป็นหมื่นเป็นแสนล้านลิตร รับรองกรุงเทพฯ จะเป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน หรือเผาไปเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง ใครจะเอาอะไรให้มาเอากับผมนี่
แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีหมาตัวไหนมารับผิดชอบ เรายังจะกล้าฝากบ้านฝากเมืองไว้กับคนที่มันสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับพวกเราคนกรุงเทพฯ อีกหรือ?
คำถามของผมเกิดขึ้นเพราะเมื่อมีการเปิดตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็วิ่งฉิวลิ่วลมทิ้งห่างผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นๆ ไว้ข้างหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น ทั้งที่ถ้าหากพิจารณาถึงผลงานก็ยังไม่เห็นมีผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เป็น “พลตำรวจเอก” ก็ยังไม่เห็นผลงานของความเป็นตำรวจซึ่งส่วนใหญ่ก็คืองานปราบปรามจับโจรผู้ร้าย สืบสวนสอบสวน
งานถนัดของพล.ต.อ.พงศพัศก็คือ งานด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์อยู่หน้าห้องนาย
ส่วนจะเป็นประเภท “ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” หรือไม่ก็ลองพิจารณากันดู หรือจะดูจากภาพที่พินอบพิเทากับนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงที่ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ก็พอจะดูออก
แล้วทำไมผลการสำรวจของสถาบันการศึกษาหลายแห่ง จึงสำรวจพบว่า ความนิยมชมชอบของคนกรุงเทพฯ ต่อพล.ต.อ.พงศพัศ เหนือคู่แข่งคนอื่นๆ?
หรือคนกรุงเทพฯ กลัวจะถูกเผาบ้านเผาเมืองอีกเหมือนเมื่อปี 2553 ต้องยอมจำนนต่อกลุ่มคนเหล่านี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขวัญผวาอีก
หรือคนกรุงเทพฯ เชื่อว่าเหตุการณ์สงกรานต์ปี 2552-2553 นั้นเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อที่จะได้ปราบปรามประชาชนที่รักประชาธิปไตย และเชื่อว่าการได้นางสาวยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นประชาธิปไตยแล้ว เหมาะสมแล้วกับประเทศนี้ กับบ้านนี้เมืองนี้ เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองไม่มี ที่เผานั้นเป็นฝ่ายรัฐบาลเผา ศาลากลางหลายจังหวัดก็ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายทหารเผาเพื่อจะได้มีเหตุปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน 90 กว่าศพ
แม้การตายของพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ก็ฝ่ายรัฐบาลฆ่า
ชายชุดดำ กองกำลังไม่ทราบฝ่ายไม่เคยมี ไม่เคยปรากฏ
เพราะฉะนั้น ผลการสำรวจความนิยมของประชาชนต่อผู้สมัคร พล.ต.อ.พงศพัศ จึงนำโด่ง
จนกระทั่งผลการสำรวจภายหลังจากการลงคะแนนแล้ว พล.ต.อ.พงศพัศก็ยังนำ สร้างความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนพล.ต.อ.พงศพัศกันถ้วนหน้า
ครั้นมีการนับคะแนนของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ค่อยๆ ทิ้งห่างพล.ต.อ.พงศพัศทีละเล็กละน้อยและสะสมขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่าคะแนนของ พล.ต.อ.พงศพัศตามไม่ทันแน่แล้ว
ผมอยากจะบอกเจ้าของสำนักโพลทั้งหลายว่า ไปตายเสียเถอะ อย่าริคิดอ่านแสดงความเป็นผู้ฉลาดปราชญ์เปรื่อง มีความรู้ความสามารถในการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อไปอีกเลย เพราะว่าผลงานที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าพวกคุณไม่ได้มีความรู้ความสามารถในการสำรวจหรือในการทำโพลเลยแม้แต่น้อย หรือถ้าหากพวกคุณมีความรู้ความสามารถในการทำโพล ผลงานที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่าพวกคุณทรยศต่อความรู้ความสามารถ ทรยศต่อตัวเองหรือเห็นแก่อามิสสินจ้าง เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญ หรือผลประโยชน์ที่จะได้รับหรือได้รับแล้ว
ทำให้พวกคุณไม่มีค่าใดๆ เลยในสายตาของผู้คนในสังคม
ถ้าหากจะบอกว่า ทำการสำรวจด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อวิชาชีพ ทำด้วยความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง หากแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน ประชาชนให้ข้อมูลผิดจึงได้ทำให้ผลสำรวจออกมาเช่นนั้น พวกคุณ (นักทำโพลทั้งหลาย) อีกนั่นแหละสมควรถามตัวเองว่า ทำไมประชาชนจึงได้ให้ข้อมูลผิดๆ ทำไมประชาชนไม่ให้ความร่วมมือในการสำรวจ
พวกคุณน่าเชื่อถือหรือไม่อย่างไร ก็ควรที่จะถามตัวเองดู
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่ชนะการเลือกตั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งนี้ อย่าได้หลงระเริงกับชัยชนะในฐานะพรรคการเมือง ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน และในยุคสมัยที่ประชาธิปไตยแบบนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่มี ทักษิณ ชินวัตร บงการอยู่เบื้องหลัง มีการบ้านที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องทำอีกมากมาย
พรรคการเมืองนั้นจะต้องทำตัวเป็นสถาบันทางการเมืองรับใช้ผลประโยชน์ของประชาชนอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมากับประชาชน มิใช่วิ่งเข้าหาประชาชนเฉพาะเวลาที่จะมีการเลือกตั้งเท่านั้น
แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีหมาตัวไหนมารับผิดชอบ เรายังจะกล้าฝากบ้านฝากเมืองไว้กับคนที่มันสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับพวกเราคนกรุงเทพฯ อีกหรือ?
คำถามของผมเกิดขึ้นเพราะเมื่อมีการเปิดตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็วิ่งฉิวลิ่วลมทิ้งห่างผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นๆ ไว้ข้างหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น ทั้งที่ถ้าหากพิจารณาถึงผลงานก็ยังไม่เห็นมีผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เป็น “พลตำรวจเอก” ก็ยังไม่เห็นผลงานของความเป็นตำรวจซึ่งส่วนใหญ่ก็คืองานปราบปรามจับโจรผู้ร้าย สืบสวนสอบสวน
งานถนัดของพล.ต.อ.พงศพัศก็คือ งานด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์อยู่หน้าห้องนาย
ส่วนจะเป็นประเภท “ใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” หรือไม่ก็ลองพิจารณากันดู หรือจะดูจากภาพที่พินอบพิเทากับนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงที่ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ก็พอจะดูออก
แล้วทำไมผลการสำรวจของสถาบันการศึกษาหลายแห่ง จึงสำรวจพบว่า ความนิยมชมชอบของคนกรุงเทพฯ ต่อพล.ต.อ.พงศพัศ เหนือคู่แข่งคนอื่นๆ?
หรือคนกรุงเทพฯ กลัวจะถูกเผาบ้านเผาเมืองอีกเหมือนเมื่อปี 2553 ต้องยอมจำนนต่อกลุ่มคนเหล่านี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขวัญผวาอีก
หรือคนกรุงเทพฯ เชื่อว่าเหตุการณ์สงกรานต์ปี 2552-2553 นั้นเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อที่จะได้ปราบปรามประชาชนที่รักประชาธิปไตย และเชื่อว่าการได้นางสาวยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นประชาธิปไตยแล้ว เหมาะสมแล้วกับประเทศนี้ กับบ้านนี้เมืองนี้ เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองไม่มี ที่เผานั้นเป็นฝ่ายรัฐบาลเผา ศาลากลางหลายจังหวัดก็ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายทหารเผาเพื่อจะได้มีเหตุปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน 90 กว่าศพ
แม้การตายของพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ก็ฝ่ายรัฐบาลฆ่า
ชายชุดดำ กองกำลังไม่ทราบฝ่ายไม่เคยมี ไม่เคยปรากฏ
เพราะฉะนั้น ผลการสำรวจความนิยมของประชาชนต่อผู้สมัคร พล.ต.อ.พงศพัศ จึงนำโด่ง
จนกระทั่งผลการสำรวจภายหลังจากการลงคะแนนแล้ว พล.ต.อ.พงศพัศก็ยังนำ สร้างความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนพล.ต.อ.พงศพัศกันถ้วนหน้า
ครั้นมีการนับคะแนนของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ค่อยๆ ทิ้งห่างพล.ต.อ.พงศพัศทีละเล็กละน้อยและสะสมขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่าคะแนนของ พล.ต.อ.พงศพัศตามไม่ทันแน่แล้ว
ผมอยากจะบอกเจ้าของสำนักโพลทั้งหลายว่า ไปตายเสียเถอะ อย่าริคิดอ่านแสดงความเป็นผู้ฉลาดปราชญ์เปรื่อง มีความรู้ความสามารถในการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อไปอีกเลย เพราะว่าผลงานที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าพวกคุณไม่ได้มีความรู้ความสามารถในการสำรวจหรือในการทำโพลเลยแม้แต่น้อย หรือถ้าหากพวกคุณมีความรู้ความสามารถในการทำโพล ผลงานที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่าพวกคุณทรยศต่อความรู้ความสามารถ ทรยศต่อตัวเองหรือเห็นแก่อามิสสินจ้าง เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญ หรือผลประโยชน์ที่จะได้รับหรือได้รับแล้ว
ทำให้พวกคุณไม่มีค่าใดๆ เลยในสายตาของผู้คนในสังคม
ถ้าหากจะบอกว่า ทำการสำรวจด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อวิชาชีพ ทำด้วยความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง หากแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน ประชาชนให้ข้อมูลผิดจึงได้ทำให้ผลสำรวจออกมาเช่นนั้น พวกคุณ (นักทำโพลทั้งหลาย) อีกนั่นแหละสมควรถามตัวเองว่า ทำไมประชาชนจึงได้ให้ข้อมูลผิดๆ ทำไมประชาชนไม่ให้ความร่วมมือในการสำรวจ
พวกคุณน่าเชื่อถือหรือไม่อย่างไร ก็ควรที่จะถามตัวเองดู
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่ชนะการเลือกตั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งนี้ อย่าได้หลงระเริงกับชัยชนะในฐานะพรรคการเมือง ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน และในยุคสมัยที่ประชาธิปไตยแบบนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่มี ทักษิณ ชินวัตร บงการอยู่เบื้องหลัง มีการบ้านที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องทำอีกมากมาย
พรรคการเมืองนั้นจะต้องทำตัวเป็นสถาบันทางการเมืองรับใช้ผลประโยชน์ของประชาชนอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมากับประชาชน มิใช่วิ่งเข้าหาประชาชนเฉพาะเวลาที่จะมีการเลือกตั้งเท่านั้น