xs
xsm
sm
md
lg

ทั้ง 5 เป็นทีมบริหาร กทม.ตัวอย่างสามัคคีธรรมจะเอาไหม

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

ได้ปรารภมาก่อนหน้านี้แล้วว่า การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นการเลือกตั้งแบบเผด็จการระบบประธานาธิบดีซึ่งอยู่ใจกลางประเทศ เป็นการเลือกตั้งที่ทำลายพี่น้องชาวกทม.ให้ขัดแย้งแตกแยกกัน จะทำอย่างไร ให้มีการเลือกตั้งแบบสามัคคีธรรมของชาว กทม.ก็ต้องยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาระดับชาติเสียก่อนแล้วปรับปรุงการเลือกตั้งใหม่ ให้เป็นแบบสามัคคีธรรม

ผลของการเลือกที่ออกมา ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับ “คุณชาย” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ด้วยคะแนนที่ชนะอย่างท่วมท้น 1,256,231 คะแนน อันดับสองคือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ 1,077,899 คะแนน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ชนะจูดี้ 178,332 คะแนน หลายคนโล่งใจที่เสื้อแดงยึด กทม. ยังไม่ได้

ผลการชนะการเลือกตั้งของ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ด้วยคะแนน 1,256,231 ได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนต่อไปอีกสมัยหนึ่ง

หากเราจะร่วมกันวิเคราะห์เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างสรรค์

ประเด็นที่หนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า คะแนนดังกล่าวไม่ถึง 12% ของคนที่อาศัยอยู่ใน กทม. ทั้งหมด

ประเด็นที่สอง เราจะเห็นได้ว่า คะแนนดังกล่าวประมาณหนึ่งในสี่ของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง

ประเด็นที่สาม คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของคนไปเลือกตั้งทั้งหมดไม่ถึง 50%

ประเด็นที่สี่ เสียงที่ประชาชนไปลงเลือกตั้ง แต่ต้องสูญเปล่าคือเสียงของผู้สมัครที่มีคะแนนอันดับ 2-4 ซึ่งรวมกันแล้วอย่างน้อยประมาณ 1,351,946 คะแนน ที่จะต้องสูญเปล่า และคะแนนของผู้พ่ายแพ้รวมกันมีมากกว่าผู้ชนะประมาณ 95,715 คะแนน

นี่คือความแตกต่างของคะแนนระหว่างผู้ชนะฝ่ายหนึ่งกับผู้แพ้ฝ่ายหนึ่งอันนำไปสู่ความขัดแย้งของชาว กทม. และเป็นคะแนนของผู้ไปออกเสียงเลือกตั้งที่จะต้องสูญเปล่ามีมากกว่าผู้ชนะที่ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.

ประเด็นต่อมา การเลือกตั้งแบบนี้ ต้องใช้เงินมหาศาล เมื่อมีการลงทุนอย่างมาก มันก็ต้องถอนทุนคืนอย่างมากเช่นกัน

เราเห็นคงได้เห็นภาพคร่าวๆ ของการเลือกตั้งแบบเผด็จการอย่างน้อย 6 ประการใหญ่ๆ อันเป็นความอัปรีย์จัญไร ที่ชาติและประชาชนไม่ต้องการ

1. เราได้เห็นภาพตอกย้ำความขัดแย้งทางการเมืองของชาวกทม. ซ้ำซาก

2. เราได้เห็นภาพคะแนนเสียงของประชาชนที่สูญเปล่ามากกว่าผู้ชนะ

3. เราได้เห็นการใช้เงินมหาศาลในการใช้จ่ายในการเลือกตั้งของแต่ละฝ่าย เมื่อมีการลงทุนมาก ก็มีการถอนทุนคืน ดังนั้นการคอร์รัปชันจึงตามมา

4. ดังนั้นแนวทางเผด็จการนี้ที่ประชาชนจะต้องเดินตาม ดุจดังน้ำจะต้องไหลไปตามที่เขากำกับไว้แล้ว ไม่ว่าฝ่ายไหนชนะ ชาว กทม.ก็ต้องไหลไปตามกฎหมายที่ผู้ปกครองกำหนดไว้

5. ถามว่าเราชาว กทม.จะเปลี่ยนแปลงได้ไหม เปลี่ยนแปลงได้แน่นอน หากชาวกทม.ใส่ใจในความเป็นธรรมมีจำนวนมากพอที่จะผลักดันเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเลือกตั้งแบบสามัคคีธรรม

6. ถามว่า “เราจะปลูกฝังการเลือกตั้งแบบเผด็จการที่นำไปสู่ความขัดแย้งซ้ำซาก หรือเราทั้งหลายจะปลูกฝังการเลือกตั้งแบบสามัคคีธรรมที่จะนำไปสู่เอกภาพ” ก็ขึ้นอยู่กับชาว กทม.ที่จะคิดได้ ทำเป็น เห็นภาพ แล้วร่วมมือกันเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลง ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ อย่างไรเล่า

ประการแรก จะต้องเปลี่ยนการเมืองท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครจากระบบประธานาธิบดี ให้มาเป็นระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดี นั่นหมายถึงการเลือกผู้บริหารสูงสุดได้เพียงคนเดียว ซึ่งต่างคนต่างมากับสภากรุงเทพมหานคร พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คือ กรุงเทพมหานครเป็นเมืองท้องถิ่นแบบเดียวกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา ถามว่า เราจะปลูกฝังการเมืองแบบระบบประธานาธิบดี เพื่อวันข้างหน้าในการโค่นสถาบันหลักของชาติใช่หรือไม่ ต่อไปก็จะมีการเลือกตั้งผู้บริหารสูงสุด

ประเทศไทยจะกลายเป็นระบบประธานาธิบดีไปอย่างง่ายดาย เพราะมีการเมืองท้องถิ่นกรุงเทพมหานครเป็นตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว 56 ปี และต่อไป เชียงใหม่ก็จะเอาบ้าง โคราชจะเอาบ้าง หาดใหญ่จะเอาบ้าง ขอนแก่นจะเอาบ้าง

ต่อไป ก็เป็นการเลือกตั้งผู้บริหารประเทศไปเลย นั่นก็เท่ากับว่า ผู้ปกครองที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมันได้วางแผนนำประเทศไปสู่ระบบประธานาธิบดีในอนาคตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นั่นเอง มึง (อยู่ในเงามืด) ที่คิดโค่นสถาบันหลักของชาติอย่างแยบคายนัก ใครที่เชิดชู บูชา สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็จะต้องออกมาแสดงพลัง

ประการที่สอง เปลี่ยนวิธีการเลือกตั้ง จะสมัครแบบพรรคหรือแบบอิสระได้ทั้งนั้น แต่จะต้องเอาคะแนนเสียงอันดับที่ 1 ถึงอันดับที่ 5 มาเป็นทีมผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ยกตัวอย่างการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.คราวนี้ คนที่ได้คะแนนเสียงอันดับที่ 1 ถึงอันดับที่ 5 มีสิทธิได้เป็นคณะผู้บริหารกรุงเทพฯ คนที่คะแนนอันดับหนึ่ง ก็ได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อันดับที่ 2-5 ก็ได้มาเป็นรองผู้ว่าฯ กทม.ลดหลั่นกันลงมา

โดยนำนโยบายของแต่ละคนมาร่วมกันบริหาร หากเป็นไปได้ดังนี้ ถามว่าใครได้ประโยชน์ ตอบว่าประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ

เสียงประท้วงขึ้นมาทันที พรรคพวก นักการเมือง มันไม่ยอมหรอกครับ เพราะมันหาทางคอร์รัปชันยาก แล้วก็คิดจะกินกันแต่พวกเขา ดังที่เคยเป็นมาแล้ว 55 ปี ประชาชนมีแต่จะเสียประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากน้ำมือของนักการเมืองเลวๆ และนักวิชาการ ผู้ปกครองที่อยู่ในเงามืด เราจะต้องรู้ทันพวกมันแล้วก็แก้ไข

ประการที่สาม หากการเลือกตั้งเป็นแบบสามัคคีธรรมดังกล่าว ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ คือ

1. เราจะได้เห็นภาพความสามัคคีธรรมของชาว กทม. และ ชาว กทม.จะชอบยินดีปรีดาไปเลือกตั้ง เพราะคะแนนเลือกตั้งไม่สูญเปล่า เลือกไปแล้ว ผู้แทนที่เลือกไปนั้น ยังมีโอกาสได้มาดูแล และได้แชร์นโยบาย

2. เราจะได้เห็นภาพคะแนนเสียงของประชาชนที่ไม่สูญเปล่า คะแนนผู้แทนที่เราเลือกถึงจะอันดับที่ 2-5 ก็ยังได้มาทำงานดูแลทุกข์สุข

3. เราจะไม่ได้เห็นการใช้เงินทุนมหาศาลในการใช้จ่ายในการเลือกตั้งของแต่ละฝ่ายเราจะไม่ได้เห็นภาพความขัดแย้งทางความคิดของชาว กทม.อีกต่อไป

4. เราได้เห็นภาพคะแนนเสียงของประชาชนที่ไม่สูญเปล่าเพราะเป็นการชนะร่วมกันลดหลั่นกันไป

5. คณะผู้บริหารทั้ง 5 คือ ตัวแทน ผู้แทนที่มาจากเสียงประชามติอันเป็นเสียงส่วนใหญ่ของชาวกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริง

6. จะไม่ทำให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งกินรวบ

หากท่านทั้งหลาย อยากเห็นความสามัคคีธรรมของชาว กทม.เป็นแบบอย่างที่ดีของระดับชาติ

อยากเห็นการไปเลือกตั้งแล้วคะแนนไม่สูญเปล่า หรือสูญไปบ้างก็น้อยมาก

อยากเห็นเสียงผู้แทนอันมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเข้ามาบริหารกรุงเทพมหานคร

อยากเห็นการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ยุติธรรม

อยากเห็นการเลือกตั้งที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอย่างมากมายมหาศาล และต่อสู้กันเพื่อจะเอาชนะโดยฝ่ายเดียว

อยากเห็นผู้แทนของตนได้มีโอกาสร่วมทำงาน ร่วมบริหารได้มากขึ้น ได้ตรงตามที่ต้องการ เช่น ชาวฝั่งธนบุรี อาจจะเทคะแนนเลือกคนใดคนหนึ่ง แต่มาอันดับสอง เขาก็ยังได้เป็นผู้บริหารกรุงเทพฯ เป็นต้น นี่คือการเลือกตั้งที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง

แต่การเลือกตั้งแบบเผด็จการย่อมทำให้พี่น้องประชาชนขัดแย้งแตกแยกในปัจจุบันประชาชนจะมีแต่เสียโอกาสขัดแย้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า แตกแยกร่วมมือกันไม่ได้ จ้องแต่จะทำลายล้างกัน ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ประชาชนจึงเบื่อหน่ายไม่ไปเลือกตั้งอีกจำนวนมากร่วม 40%
กำลังโหลดความคิดเห็น