ทหารพรานจับตาย "เปาะเอ๊ะ กูตง" แกนนำอาร์เคเค มีหมายคดีความมั่นคง 6 หมาย แม่ทัพภาคที่ 4 ยันแม้ลงนามกับบีอาร์เอ็น แต่ทหารยังทำหน้าที่ตามปกติ "ประยุทธ์"วอนเลิกพูดคุยผิดตัว เพราะตอนนี้กลุ่มใหม่ไม่ยอมฟังกลุ่มเก่า "แม้ว"รับไปมาเลย์คุยแกนนำจริง อยากเห็นเศรษฐกิจมั่นคงนำการเมือง-การทหาร "มาร์ค"เผยสอบประวัติแล้วไม่น่ามีศักยภาพในพื้นที่
เมื่อเวลา 23.35 น. วันที่ 2 มีนาคม ร.ท.ปรีชา รุ่งเมือง ผบ.ร้อยทหารพรานที่ 4804 กรมทหารพรานที่ 48 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ร่วมสนธิกำลัง 3 ชุดปฏิบัติการ ตรวจค้นบ้านต้องสงสัย 3 หลัง ในหมู่ 7 บ้านลูโบ๊ะเยาะ ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หลังสืบทราบว่ากองกำลังติดอาวุธอาร์เคเคกลุ่มนายมะซาเอ๊ะ หะยีดีเย๊าะลีย๊ะ หรือชื่อจัดตั้ง "เปาะเอ๊ะ กูตง" อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/1 บ้านกูตง หมู่ 3 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งมีรางวัลนำจับ 100,000 บาท และพวกรวม 3 คน กบดานเพื่อเตรียมก่อเหตุในพื้นที่
**ทหารพรานจับตาย"เปาะเอ๊ะ กูตง"
ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงบ้านเลขที่ 82 บ้านลูโบ๊ะเยาะ ม.7 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง ได้แสดงตัวตรวจค้นแต่ชายฉกรรจ์ ที่อยู่ในบ้าน ใช้อาวุธปืนสงครามและปืนพกสั้นยิงใส่เจ้าหน้าที่ จนเกิดการปะทะกันเป็นระลอก นานกว่า 10 นาที ร.ท.ปรีชาจึงประกาศให้ชายทั้ง 3 คนมอบตัว แต่กลับถูกยิงสวนออกมาจนเปิดฉากปะทะกันอีกรอบ เมื่อคนร้ายเห็นว่าจวนตัวจุึงตัดสินใจยิงเบิกทางหนีไปทางประตูหลังบ้านพัก แต่คนร้ายถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเสียชีวิต ห่างจากประตูหลังบ้านประมาณ 20 เมตร อีก 2 คนหนีไปได้
ต่อมา พ.ต.ท.เนติธร วัตตธรรม นักวิทยาศาสตร์ สบ.3 กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 และพนักงานสอบสวน สภ.เจาะไอร้อง เข้าตรวจสอบพบว่าเป็นศพนายายมะซาเอ๊ะ ถูกกระสุนปืนพรุนไปทั้งร่าง ใกล้กันพบปืน 11 มม. 1 กระบอก กระเป๋าคาดเอวภายในบรรจุแม็กกาซีนปืนอาก้า 3 อัน กระสุนปืน 50 นัด แม็กกาซีนปืน11 มม. 1 อัน กระสุน 15 นัด ลูกประคำ โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง เปลสนาม อีก 2 คน ทีหนีไปได้ทราบชื่อคนเดียว คือ นายฮัสมัน สามะแม็ง อายุ 36 ปี ซึ่งทำบัตรประชาชนตกไว้ในที่เกิดเหตุ
**เผยมีหมายจับคดีความมั่นคง6คดี
เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจค้นบ้านพัก และยึดรถจักรยานยนต์ 4 คัน ประกอบด้วย ฮอนด้าเวฟ 2 คัน ทะเบียน กษร 501 นราธิวาส และ กวม 244 นราธิวาส ฮอนด้าดรีม สีดำ ทะเบียน กรย 143 นราธิวาส ฮอนด้าคลิก สีดำ ทะเบียน ขขต 371 นราธิวาส เพื่อนำไปตรวจสอบว่ารถคันใดบ้างที่นายมะซาเอ๊ะและพวกเคยนำไปใช้ก่อเหตุที่ใดบ้าง นำมาเตรียมประกอบเป็นจักรยานยนต์บอมบ์หรือไม่
ทั้งนี้ นายมะซาเอ๊ะ หะยีดีเย๊าะลีย๊ะ เป็นผู้ต้องหาหนีคดีความมั่นคงในอ.ระแงะ 6 คดี ทั้งวางระเบิดและซุ่มยิงเจ้าหน้าที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ โดยปี 2550 ก่อคดี 1 คดี ปี 2551 มี 2 คดี และปี 2552 มี 3 คดี
พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม รองผบ.กรมทหารพรานที่ 48 กล่าวว่า นายมะซาเอ๊ะเป็นระดับแกนนำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องการตัวเป็นอย่างมาก โดยลูกน้องที่คาดว่าหลบหนีไปได้ล้วนมีหมายจับเช่นเดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังไล่ล่าเข้าไปในป่ารกทึบ ตามรอยต่อกับบ้านลูโบ๊ะเยาะ เชื่อว่าคงจะหนีไปกบดานตามบ้านแนวร่วมในพื้นที่ โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายฮาซัน ลาเต๊ะ อายุ 25 ปี เจ้าของบ้าน ไปสอบสวนขยายผลที่กองบังคับการกรมทหารพรานที่ 48 อ.เจาะไอร้อง
พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงการลงนามระหว่างสภาความมั่นคงแห่งชาติกับแกนนำบีอาร์เอ็น แต่หลังจากนั้นก็มีเหตุคาร์บอมตามมาว่า ทหารยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง แต่จะไม่ไปละเลิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นหัวใจของการทำงาน แต่กลุ่มขบวนการไม่เคยรักษาอะไร พวกหนึ่งเซ็นสัญญา พวกหนึ่งก่อความรุ่นแรง ต่อไปประชาชนจะแยกออกเอง โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงนี้เกิดจากพวกสุดโต่ง มีอยู่หลายพวกหลายกลุ่ม ไม่ได้คุมกันได้หมด ดังนั้นการลงนามไม่ได้ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่
**"ประยุทธ์"วอนเลิกวิจารณ์คุยผิดตัว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า การก่อเหตุในภาคใต้ยังต้องมีอยู่แน่นอน ตราบใดที่ยังมีคนเหล่านี้อยู่ ส่วนการลงนามเป็นการเริ่มต้นระหว่างรัฐบาลไทยกับมาเลเซียในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้ทุกคนห่วงประเทศชาติ แต่ต้องห่วงอย่างมีเหตุมีผล ตั้งสติให้ดี ซึ่งไม่ว่าจะลงนามหรือไม่ จะคุยหรือไม่ก็ตาม การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น ทหาร ตำรวจทุกคนยังทำงานเต็มที่ แต่จะไม่ให้เกิดเหตุเลยมันยาก
"อย่าใช้คำว่าผิดตัวหรือไม่ เพราะจากการข่าวพบว่ามีหลายพวก ที่มาลงนามเป็นกลุ่มเก่า มีมานาน แต่หลังจากนั้นแตกเป็นหลายกลุ่ม แย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งขณะนี้มีคนกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นมาอีก เป็นคนไม่หวังดี ต้องการมีอำนาจ ไม่รับฟังกลุ่มเก่า"
**เห็นด้วย"เหลิม"เชิญ"มาร์ค"นั่งถก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้ามาพูดจากัน หาทางออกกัน ก็ไม่ต้องรบกัน เพราะคนไทยด้วยกัน ซึ่งที่จับได้ไม่เคยมีคนต่างชาติ มีแต่คนไทย ท่าทีของคนที่มาลงนามก็จริงใจดี ไม่อย่างนั้นจะออกมาทำไม แม้เขาอยากมีบทบาท มีชื่อเสียงทางการเมือง เพราะถูกทอดทิ้งมานาน แต่คิดว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะปัญหาอยู่ที่คนที่เขาจะไปพูดด้วย โดยเฉพาะพวกคนรุ่นใหม่ที่โหดจะเชื่อเขาหรือไม่ ถ้าไม่เชื่อก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป
เมื่อถามถึงกรณีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะเชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรมาหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องดี ต้องคุยกัน เรื่องใต้กับเรื่องเขาพระวิหารเป็นเรื่องที่ควรพูดกัน ทุกคนต้องทำให้เป็นวาระของชาติ คนไทยไม่ว่าจะพรรคไหนพวกไหนต้องช่วยกันแก้ ถ้าเอาเรื่องนี้มาตีกันเอง เจ้าหน้าที่จะแก้ปัญหาได้ลำบาก ไปซ้ายก็ผิดใจคนนี้ ทางขวาก็ผิดใจคนนั้น
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นที่จ.ยะลาเมื่อวันที่ 2 มีนาคมนั้นไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเกิดขึ้นบริเวณจัดการแข่งขันนกเขาขันนานาชาติ ซึ่งกำลังสร้างชื่อเสียงไปสู่ระดับนานาชาติ แต่กลับมีเหตุเกิดขึ้น เครดิตประเทศเสียหาย ซึ่งหลังเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จะลงพื้นที่ กำหนดเวลาแล้ว แต่ไม่บอก เป็นความลับ เพราะหากบอกก่อนโดนแน่ ตนต้องระมัดระวัง เพราะรู้ตัวดีว่าผมเป็นเป้า อย่างไรก็ตามตนไม่กลัวผู้ก่อการร้าย กลัวแต่ผู้ก่อการดี
**แม้ว"รับไปมาเลย์คุยแกนนำจริง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระบุว่าตนเป็นผู้เริ่มต้นติดต่อให้เกิดการเจรจาระหว่างเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น จนนำมาซึ่งการลงนามข้อตกลงสันติภาพยุติปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ยอมรับว่าต้นปี 2555 เดินทางไปมาเลเซีย และได้พบกับนายนาจิบ เพื่อหารือถึงการแก้ปัญหาความไม่สงบ และมีโอกาสพูดคุยกับแกนนำบีอาร์เอ็นบางคน แล้วประสานรัฐบาลไทยมอบหมายให พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)ไปดำเนินการต่อ ซึ่งได้พูดคุยกับแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายสะแปอิง บาซอ ทางแกนนำเห็นด้วยกับแนวทางการเจรจา โดยได้รับความร่วมมือจากทางการมาเลเซีย ซึ่งส่งตำรวจสันติบาลไปให้ข้อมูลที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ผู้สื่อข่าวถามถึงการตั้งข้อสังเกตว่า แกนนำที่ลงนามไม่ใช่ตัวจริง พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ที่อยู่ประเทศอื่นเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ แต่แกนนำที่ควบคุมสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตัวจริงอยู่ใน 2 ประเทศ คือ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และจริงๆแล้วความรุนแรงเป็นเรื่องก่อการร้ายแค่ร้อยละ 60 ที่เหลืออีกร้อยละ 40 เป็นเรื่องยาเสพติด ของเถื่อน ผลประโยชน์อื่น และการเมือง ซึ่งหลังจากตกลงเจรจาแล้วจะสามารถแยกแยะสถานการณ์เพื่อแก้ปัญหาได้ถูกจุด ซึ่งเร็วๆนี้จะไปขอความร่วมมือนายซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เพื่อแก้ปัญหานี้ให้ประสบความสำเร็จหรือคลี่คลายลง
"การทำงานของผมได้รับความร่วมมือจากนายมาร์ตติ อาห์ติซาริ อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ เป็นอย่างดี"
**อยากเห็นเศรษฐกิจแดนใต้มั่นคง
เมื่อถามว่า หลังลงนามทำไมจึงยังเกิดเหตุระเบิด พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ต้องแยกแยะสถานการณ์ เหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากปัญหาแยกดินแดน หรือผลประโยชน์ แล้วค่อยแก้ไขไป เชื่อว่าเหตุรุนแรงจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวกองทัพไม่เห็นด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ไม่ใช่ กองทัพทราบและเข้าใจดีว่าทำไมต้องเจรจา เพราะทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. เดินทางไปมาเลเซียพร้อมกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่หลายฝ่ายแสดงความเห็น ต้องถึงขั้นประกาศเป็นเขตปกครองพิเศษหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ไม่ได้ลงรายละเอียด เพียงแต่จะอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายความมั่นคง เท่าที่สามารถจะทำได้ จุดประสงค์จริงอยากให้ทุกคนกลับมาช่วยกันพัฒนาประเทศ อยากเห็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็น “RUBBER CITY” หรือเมืองแห่งยางพารา จะได้สร้างเศรษฐกิจให้มั่นคง ใช้เศรษฐกิจนำการเมืองและการทหารดีกว่า ทุกคนจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข
เมื่อถามถึงการถูกวิจารณ์ว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือผลประโยชน์ทับซ้อน พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ทำไมต้องคิดเรื่องแบบนี้อยู่ตลอด ตนเป็นคนไทย อยากเห็นประเทศไทยอยู่อย่างสงบสุข ไม่อยากให้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกลามบานปลาย กลายเป็นปัญหาระดับประเทศ คนที่คิดมองแต่เรื่องผลประโยชน์ มองในแง่ลบ เป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เป็นพวกไม่ชอบแก้ปัญหา แต่ไปวิจารณ์คนอื่นตลอดเวลา
**"มาร์ค"ชี้ไม่น่ามีศักยภาพในพื้นที่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นว่า ตอบได้ยากว่าจะเกี่ยวข้องกับการลงนามหรือไม่ แต่สิ่งที่บ่งบอกได้ คือ ถ้ากระบวนการสันติภาพเดินได้จริง แสดงว่าฝ่ายที่มาลงนามต้องทำงานอีกมาก ในการไปสื่อสารกับฝ่ายต่างๆ และวันนี้ก็เห็นข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปมาเลเซีย เพื่อหารือแกนนำบีอาร์เอ็น แต่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธ
"ยังน่าเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้มีการตรวจสอบอยู่ว่ากลุ่มที่มาลงนามเป็นกลุ่มพูโลเก่าหรือไม่ แต่จากการตรวจสอบประวัติ คิดว่าไม่น่าจะเป็นคนที่มีศักยภาพในพื้นที่".
เมื่อเวลา 23.35 น. วันที่ 2 มีนาคม ร.ท.ปรีชา รุ่งเมือง ผบ.ร้อยทหารพรานที่ 4804 กรมทหารพรานที่ 48 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ร่วมสนธิกำลัง 3 ชุดปฏิบัติการ ตรวจค้นบ้านต้องสงสัย 3 หลัง ในหมู่ 7 บ้านลูโบ๊ะเยาะ ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หลังสืบทราบว่ากองกำลังติดอาวุธอาร์เคเคกลุ่มนายมะซาเอ๊ะ หะยีดีเย๊าะลีย๊ะ หรือชื่อจัดตั้ง "เปาะเอ๊ะ กูตง" อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/1 บ้านกูตง หมู่ 3 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งมีรางวัลนำจับ 100,000 บาท และพวกรวม 3 คน กบดานเพื่อเตรียมก่อเหตุในพื้นที่
**ทหารพรานจับตาย"เปาะเอ๊ะ กูตง"
ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงบ้านเลขที่ 82 บ้านลูโบ๊ะเยาะ ม.7 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง ได้แสดงตัวตรวจค้นแต่ชายฉกรรจ์ ที่อยู่ในบ้าน ใช้อาวุธปืนสงครามและปืนพกสั้นยิงใส่เจ้าหน้าที่ จนเกิดการปะทะกันเป็นระลอก นานกว่า 10 นาที ร.ท.ปรีชาจึงประกาศให้ชายทั้ง 3 คนมอบตัว แต่กลับถูกยิงสวนออกมาจนเปิดฉากปะทะกันอีกรอบ เมื่อคนร้ายเห็นว่าจวนตัวจุึงตัดสินใจยิงเบิกทางหนีไปทางประตูหลังบ้านพัก แต่คนร้ายถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเสียชีวิต ห่างจากประตูหลังบ้านประมาณ 20 เมตร อีก 2 คนหนีไปได้
ต่อมา พ.ต.ท.เนติธร วัตตธรรม นักวิทยาศาสตร์ สบ.3 กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 และพนักงานสอบสวน สภ.เจาะไอร้อง เข้าตรวจสอบพบว่าเป็นศพนายายมะซาเอ๊ะ ถูกกระสุนปืนพรุนไปทั้งร่าง ใกล้กันพบปืน 11 มม. 1 กระบอก กระเป๋าคาดเอวภายในบรรจุแม็กกาซีนปืนอาก้า 3 อัน กระสุนปืน 50 นัด แม็กกาซีนปืน11 มม. 1 อัน กระสุน 15 นัด ลูกประคำ โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง เปลสนาม อีก 2 คน ทีหนีไปได้ทราบชื่อคนเดียว คือ นายฮัสมัน สามะแม็ง อายุ 36 ปี ซึ่งทำบัตรประชาชนตกไว้ในที่เกิดเหตุ
**เผยมีหมายจับคดีความมั่นคง6คดี
เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจค้นบ้านพัก และยึดรถจักรยานยนต์ 4 คัน ประกอบด้วย ฮอนด้าเวฟ 2 คัน ทะเบียน กษร 501 นราธิวาส และ กวม 244 นราธิวาส ฮอนด้าดรีม สีดำ ทะเบียน กรย 143 นราธิวาส ฮอนด้าคลิก สีดำ ทะเบียน ขขต 371 นราธิวาส เพื่อนำไปตรวจสอบว่ารถคันใดบ้างที่นายมะซาเอ๊ะและพวกเคยนำไปใช้ก่อเหตุที่ใดบ้าง นำมาเตรียมประกอบเป็นจักรยานยนต์บอมบ์หรือไม่
ทั้งนี้ นายมะซาเอ๊ะ หะยีดีเย๊าะลีย๊ะ เป็นผู้ต้องหาหนีคดีความมั่นคงในอ.ระแงะ 6 คดี ทั้งวางระเบิดและซุ่มยิงเจ้าหน้าที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ โดยปี 2550 ก่อคดี 1 คดี ปี 2551 มี 2 คดี และปี 2552 มี 3 คดี
พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม รองผบ.กรมทหารพรานที่ 48 กล่าวว่า นายมะซาเอ๊ะเป็นระดับแกนนำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องการตัวเป็นอย่างมาก โดยลูกน้องที่คาดว่าหลบหนีไปได้ล้วนมีหมายจับเช่นเดียวกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังไล่ล่าเข้าไปในป่ารกทึบ ตามรอยต่อกับบ้านลูโบ๊ะเยาะ เชื่อว่าคงจะหนีไปกบดานตามบ้านแนวร่วมในพื้นที่ โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายฮาซัน ลาเต๊ะ อายุ 25 ปี เจ้าของบ้าน ไปสอบสวนขยายผลที่กองบังคับการกรมทหารพรานที่ 48 อ.เจาะไอร้อง
พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงการลงนามระหว่างสภาความมั่นคงแห่งชาติกับแกนนำบีอาร์เอ็น แต่หลังจากนั้นก็มีเหตุคาร์บอมตามมาว่า ทหารยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง แต่จะไม่ไปละเลิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นหัวใจของการทำงาน แต่กลุ่มขบวนการไม่เคยรักษาอะไร พวกหนึ่งเซ็นสัญญา พวกหนึ่งก่อความรุ่นแรง ต่อไปประชาชนจะแยกออกเอง โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงนี้เกิดจากพวกสุดโต่ง มีอยู่หลายพวกหลายกลุ่ม ไม่ได้คุมกันได้หมด ดังนั้นการลงนามไม่ได้ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่
**"ประยุทธ์"วอนเลิกวิจารณ์คุยผิดตัว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า การก่อเหตุในภาคใต้ยังต้องมีอยู่แน่นอน ตราบใดที่ยังมีคนเหล่านี้อยู่ ส่วนการลงนามเป็นการเริ่มต้นระหว่างรัฐบาลไทยกับมาเลเซียในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้ทุกคนห่วงประเทศชาติ แต่ต้องห่วงอย่างมีเหตุมีผล ตั้งสติให้ดี ซึ่งไม่ว่าจะลงนามหรือไม่ จะคุยหรือไม่ก็ตาม การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น ทหาร ตำรวจทุกคนยังทำงานเต็มที่ แต่จะไม่ให้เกิดเหตุเลยมันยาก
"อย่าใช้คำว่าผิดตัวหรือไม่ เพราะจากการข่าวพบว่ามีหลายพวก ที่มาลงนามเป็นกลุ่มเก่า มีมานาน แต่หลังจากนั้นแตกเป็นหลายกลุ่ม แย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งขณะนี้มีคนกลุ่มใหม่ที่เกิดขึ้นมาอีก เป็นคนไม่หวังดี ต้องการมีอำนาจ ไม่รับฟังกลุ่มเก่า"
**เห็นด้วย"เหลิม"เชิญ"มาร์ค"นั่งถก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้ามาพูดจากัน หาทางออกกัน ก็ไม่ต้องรบกัน เพราะคนไทยด้วยกัน ซึ่งที่จับได้ไม่เคยมีคนต่างชาติ มีแต่คนไทย ท่าทีของคนที่มาลงนามก็จริงใจดี ไม่อย่างนั้นจะออกมาทำไม แม้เขาอยากมีบทบาท มีชื่อเสียงทางการเมือง เพราะถูกทอดทิ้งมานาน แต่คิดว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะปัญหาอยู่ที่คนที่เขาจะไปพูดด้วย โดยเฉพาะพวกคนรุ่นใหม่ที่โหดจะเชื่อเขาหรือไม่ ถ้าไม่เชื่อก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป
เมื่อถามถึงกรณีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะเชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรมาหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องดี ต้องคุยกัน เรื่องใต้กับเรื่องเขาพระวิหารเป็นเรื่องที่ควรพูดกัน ทุกคนต้องทำให้เป็นวาระของชาติ คนไทยไม่ว่าจะพรรคไหนพวกไหนต้องช่วยกันแก้ ถ้าเอาเรื่องนี้มาตีกันเอง เจ้าหน้าที่จะแก้ปัญหาได้ลำบาก ไปซ้ายก็ผิดใจคนนี้ ทางขวาก็ผิดใจคนนั้น
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นที่จ.ยะลาเมื่อวันที่ 2 มีนาคมนั้นไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเกิดขึ้นบริเวณจัดการแข่งขันนกเขาขันนานาชาติ ซึ่งกำลังสร้างชื่อเสียงไปสู่ระดับนานาชาติ แต่กลับมีเหตุเกิดขึ้น เครดิตประเทศเสียหาย ซึ่งหลังเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.จะลงพื้นที่ กำหนดเวลาแล้ว แต่ไม่บอก เป็นความลับ เพราะหากบอกก่อนโดนแน่ ตนต้องระมัดระวัง เพราะรู้ตัวดีว่าผมเป็นเป้า อย่างไรก็ตามตนไม่กลัวผู้ก่อการร้าย กลัวแต่ผู้ก่อการดี
**แม้ว"รับไปมาเลย์คุยแกนนำจริง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระบุว่าตนเป็นผู้เริ่มต้นติดต่อให้เกิดการเจรจาระหว่างเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น จนนำมาซึ่งการลงนามข้อตกลงสันติภาพยุติปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ยอมรับว่าต้นปี 2555 เดินทางไปมาเลเซีย และได้พบกับนายนาจิบ เพื่อหารือถึงการแก้ปัญหาความไม่สงบ และมีโอกาสพูดคุยกับแกนนำบีอาร์เอ็นบางคน แล้วประสานรัฐบาลไทยมอบหมายให พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)ไปดำเนินการต่อ ซึ่งได้พูดคุยกับแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายสะแปอิง บาซอ ทางแกนนำเห็นด้วยกับแนวทางการเจรจา โดยได้รับความร่วมมือจากทางการมาเลเซีย ซึ่งส่งตำรวจสันติบาลไปให้ข้อมูลที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ผู้สื่อข่าวถามถึงการตั้งข้อสังเกตว่า แกนนำที่ลงนามไม่ใช่ตัวจริง พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ที่อยู่ประเทศอื่นเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ แต่แกนนำที่ควบคุมสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตัวจริงอยู่ใน 2 ประเทศ คือ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และจริงๆแล้วความรุนแรงเป็นเรื่องก่อการร้ายแค่ร้อยละ 60 ที่เหลืออีกร้อยละ 40 เป็นเรื่องยาเสพติด ของเถื่อน ผลประโยชน์อื่น และการเมือง ซึ่งหลังจากตกลงเจรจาแล้วจะสามารถแยกแยะสถานการณ์เพื่อแก้ปัญหาได้ถูกจุด ซึ่งเร็วๆนี้จะไปขอความร่วมมือนายซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เพื่อแก้ปัญหานี้ให้ประสบความสำเร็จหรือคลี่คลายลง
"การทำงานของผมได้รับความร่วมมือจากนายมาร์ตติ อาห์ติซาริ อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ เป็นอย่างดี"
**อยากเห็นเศรษฐกิจแดนใต้มั่นคง
เมื่อถามว่า หลังลงนามทำไมจึงยังเกิดเหตุระเบิด พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ต้องแยกแยะสถานการณ์ เหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากปัญหาแยกดินแดน หรือผลประโยชน์ แล้วค่อยแก้ไขไป เชื่อว่าเหตุรุนแรงจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวกองทัพไม่เห็นด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ไม่ใช่ กองทัพทราบและเข้าใจดีว่าทำไมต้องเจรจา เพราะทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. เดินทางไปมาเลเซียพร้อมกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่หลายฝ่ายแสดงความเห็น ต้องถึงขั้นประกาศเป็นเขตปกครองพิเศษหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ไม่ได้ลงรายละเอียด เพียงแต่จะอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายความมั่นคง เท่าที่สามารถจะทำได้ จุดประสงค์จริงอยากให้ทุกคนกลับมาช่วยกันพัฒนาประเทศ อยากเห็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็น “RUBBER CITY” หรือเมืองแห่งยางพารา จะได้สร้างเศรษฐกิจให้มั่นคง ใช้เศรษฐกิจนำการเมืองและการทหารดีกว่า ทุกคนจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข
เมื่อถามถึงการถูกวิจารณ์ว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือผลประโยชน์ทับซ้อน พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า ทำไมต้องคิดเรื่องแบบนี้อยู่ตลอด ตนเป็นคนไทย อยากเห็นประเทศไทยอยู่อย่างสงบสุข ไม่อยากให้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกลามบานปลาย กลายเป็นปัญหาระดับประเทศ คนที่คิดมองแต่เรื่องผลประโยชน์ มองในแง่ลบ เป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เป็นพวกไม่ชอบแก้ปัญหา แต่ไปวิจารณ์คนอื่นตลอดเวลา
**"มาร์ค"ชี้ไม่น่ามีศักยภาพในพื้นที่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นว่า ตอบได้ยากว่าจะเกี่ยวข้องกับการลงนามหรือไม่ แต่สิ่งที่บ่งบอกได้ คือ ถ้ากระบวนการสันติภาพเดินได้จริง แสดงว่าฝ่ายที่มาลงนามต้องทำงานอีกมาก ในการไปสื่อสารกับฝ่ายต่างๆ และวันนี้ก็เห็นข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปมาเลเซีย เพื่อหารือแกนนำบีอาร์เอ็น แต่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธ
"ยังน่าเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้มีการตรวจสอบอยู่ว่ากลุ่มที่มาลงนามเป็นกลุ่มพูโลเก่าหรือไม่ แต่จากการตรวจสอบประวัติ คิดว่าไม่น่าจะเป็นคนที่มีศักยภาพในพื้นที่".