ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เสียงสะท้อนจากพื้นที่ชายแดนใต้ ยืนยัน “เคอร์ฟิวไร้ผล” เหตุรุนแรงเกิดกลางคืนน้อย ชี้ยิ่งประกาศใช้จะยิ่งส่งผลกระทบชาวบ้าน แนะให้เดินหน้ากระบวนการสันติภาพ
ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ 2556 จนถึงขณะนี้ วันที่ 11ก.พ.2556 เป็นช่วงหนึ่งที่มีเหตุรุนแรงครั้งใหญ่ๆ เกิดขึ้นถี่มากๆ ครั้งหนึ่ง เริ่มจากเหตุคนร้ายกราดยิงครูชาวนาจาก จ.สุพรรณบุรี และ จ.สิงห์บุรี ในพื้นที่อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2556 ที่มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 11 คน
ตามมาด้วยเหตุยิงถล่มรถกระบะที่มีนายพิศาล อาแว นายอำเภอมายอ จ.ปัตตานี นั่งมาด้วย และเหตุยิงพ่อค้ารับซื้อผลไม้เสียชีวิต 4 ราย ที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา เมื่อกลางดึกของวันที่ 5 ก.พ. 2556
ทั้ง 3 เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ฝ่ายการเมืองไม่อาจอยู่นิ่งได้ โดยคิดถึงเรื่องการประกาศเคอร์ฟิว หรือการห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นข้อเสนอของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง
กระทั่งล่าสุด เช้าวันที่ 10 ก.พ.2556 เกิดเหตุลอบวางระเบิดทหารเสียชีวิต 5 นายใน อ.รามัน จ.ยะลา และอีกหลายเหตุการณ์ตามมาในวัน และคืนเดียวกัน เสมือนยิ่งเป็นตัวเร่งให้รัฐบาลต้องการใช้มาตรการนี้ในพื้นที่เร็วขึ้น
ทว่าฝ่ายทหารเอง ซึ่งเป็นกำลังหลักที่รับผิดชอบการแก้ปัญหาในพื้นที่เห็นว่า อย่าง พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ยืนยันว่า ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนาถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ระบุว่า จะมีการหารือว่าควรประกาศเคอร์ฟิวอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปในวันที่ 15 ก.พ.2556 โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ตนรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ก่อน
ในขณะที่มุมมองจากพื้นที่ส่วนใหญ่เห็นว่า การประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่อันตรายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจไม่ได้ผลต่อการแก้ปัญหาอย่าง ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSW) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวว่า การแก้ปัญหาความไม่สงบภาคใต้มีหัวใจสำคัญอยู่ที่งานการเมือง และการต่อสู้ทางความคิด งานยุทธการทางการทหารแม้จะสำคัญ แต่ต้องรองรับงานการเมือง หรืองานมวลชน
“จากประสบการณ์ 9 ปีที่ผ่านมา แม้แต่ฝ่ายทหารเองก็ได้สรุปบทเรียนว่าการจัดการความไม่สงบที่มีประสิทธิผลกว่าคือ การใช้งานการเมืองไปสลายงานการทหาร และการเมืองของฝ่ายขบวนการ โดยเฉพาะการหยุดยั้งการจัดตั้ง และปลุกระดมมวลชน เพื่อสร้างความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม”
ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวต่อว่า การลดความรุนแรงที่บางพื้นที่ ซึ่งเคยมีการประกาศเคอร์ฟิวในอดีต เช่น ในพื้นที่ อ.บันนังสตา หรือ อ.ยะหา จ.ยะลานั้น อยู่ที่การปฏิบัติการด้านอื่นๆ ของฝ่ายทหาร และเจ้าหน้าที่ในการหยุดยั้งการปฏิบัติการของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่า
“มาตรการเคอร์ฟิวมีส่วนน้อยมากในการลดปัญหา แต่กลับจะไปเร่งปัญหาความไม่พอใจของประชาชนที่ต้องเดือดร้อนจากการไปละหมาด หรือขนส่งสินค้าเกษตรตอนกลางคืน จนในที่สุดทำให้ต้องยกเลิกเคอร์ฟิวไปในเวลาต่อมา”
ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวว่า นอกจากนี้ คนโดยทั่วไปในเขตพื้นที่สีแดงก็รู้ตัวเอง พวกเขามักจะไม่ออกไปไหนไกลๆ ตอนกลางคืนอยู่แล้ว เว้นแต่ที่ไม่ระวังตัวจริงๆ หรือประมาทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นบทเรียนที่ต้องระมัดระวังตัวกันให้มากขึ้น
ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวต่อไปว่า เหตุผลอีกด้านหนึ่งก็คือ สถิติการเกิดเหตุที่ผ่านมา ร้อยละ 70-80 มักจะเกิดตอนกลางวัน โดยเฉพาะตอนเช้า และตอนเย็น การประกาศเคอร์ฟิวจึงไม่เป็นการแก้ปัญหาตรงจุด หากทางการประกาศเคอร์ฟิวก็จะทำให้ฝ่ายที่ก่อเหตุความไม่สงบก็น่าจะได้เปรียบทางการเมืองมากขึ้นไปอีก เพราะจะส่งผลให้ชาวบ้านเดือดร้อน ในขณะที่รัฐก็จะเสียความชอบธรรมลงไปอีก ภาพลักษณ์กับต่างประเทศก็จะเลวร้ายลงไปยิ่งขึ้น เพราะคำว่า “เคอร์ฟิว” ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับข่าวต่างประเทศ
“หากพิจารณาดูแล้ว การตัดสินใจประกาศเคอร์ฟิวครั้งนี้ จึงน่าจะมีผลเสียมากกว่าผลได้อย่างมากมาย รัฐบาลควรคิดให้ดีก่อนตัดสินใจในเรื่องนี้” ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้กล่าวทิ้งท้าย
ส่วนนายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ แสดงความเห็นในทางที่สอดคล้องกันว่า การประกาศเคอร์ฟิวจะไม่มีผลอะไรต่อการก่อเหตุของกลุ่มก่อความไม่สงบเลย เนื่องจากมาตรการทำนองนี้ได้เคยลองทำมาแล้ว เช่น ระบบเซฟตี้โซน การตั้งด่านตรวจบนท้องถนน แม้แต่การตั้งด่านลอย
“บางช่วงเวลาก็เคยประกาศเคอร์ฟิวมาแล้วในอดีต วันนี้เป็นอย่างไร ได้ผลหรือไม่ก็เห็นๆ กันอยู่ เกือบหนึ่งทศวรรษเข้าไปแล้ว เหตุรุนแรงก็ยังคงเกิดได้ทุกวัน”
นายประสิทธิ์ เสนอว่า น่าจะเปลี่ยนวิธีคิดจากการต่อสู้กันทางยุทธวิธีในสนามรบ มาเป็นการร่วมผลักดันกระบวนการสันติภาพให้ก้าวหน้ามากกว่า เพราะเป็นแนวทางที่ยอมรับกันได้ทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล
ด้านนายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง ผู้อำนวยการโครงการหลักสูตรเสริมสังคมสันติสุขจังหวัดชายภาคใต้ สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า การใช้กฎหมายพิเศษที่พร่ำเพรื่อไม่ถือเป็นหลักประกันใดๆ เลยที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โอกาสที่รัฐจะเพลี่ยงพล้ำใช้อำนาจเกินขอบเขตจะมีมากกว่า ซึ่งจะนำไปสู่การทำลายสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และท้ายสุด จะเป็นเครื่องมือในการกระพือข่าวความรุนแรงในหมู่ประชาชนให้ต่อต้านอำนาจรัฐมากขึ้น
“รัฐต้องเร่งการหากระบวนการสันติภาพในแนวทางสันติวิธีโดยฉับพลัน ขณะเดียวกัน ต้องเปิดแนวทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาสังคม ตรวจสอบ สืบสวนเกี่ยวกับเหตุรุนแรงที่เกิดถี่ขึ้นในขณะนี้ให้เป็นที่ประจักษ์โดยเร็ว ต้องสร้างความเข้าใจในแก่ประชาชนในทุกมิติของรัฐ โดยทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม” นายอัฮหมัดสมบูรณ์กล่าว
ส่วนในมุมมองของชาวบ้าน อย่างนางฮาสนะห์ แวมะลี เจ้าของร้านขายรองเท้ามือสองในตัวเมืองปัตตานี ระบุว่า ไม่เห็นด้วยแน่นอนถ้ารัฐบาลจะประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ เพราะตนตระเวนขายของจามตลาดนัดหลายแห่งในพื้นที่ด้วย ซึ่งบางแห่งเป็นตลาดนัดกลางคืน
“แต่ถ้าต้องการประกาศเคอร์ฟิวจริงๆ ก็อยากให้ประกาศในช่วงเวลาหลังจาก 4 ทุ่มจนถึงตี 5 เท่านั้น เนื่องจากตนเปิดร้านขายของในย่านถนนสายหน้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งจะมีนักศึกษา หรือประชาชนพลุกพล่านในช่วงเวลาเย็นจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม”
นางฮาสนะห์ ระบุด้วยว่า พ่อค้าแม่ค้าเป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบมาก ทำให้ต้องปรับตัวกับสถานการณ์ตลอด เพราะสินค้าจะขายดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา และสถานการณ์ เช่น กรณีมีข่าวข่มขู่ไม่ให้ขายของในวันศุกร์ ตนก็จะไม่เปิดร้านในวันศุกร์ เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็จะแง้มดูร้านข้างๆ ก่อนว่าเปิดไหม ถ้าเปิดตนก็จะเปิดร้านด้วย
มูฮำหมัด ดือราแม