xs
xsm
sm
md
lg

ประสบการณ์อาเจะห์สู่ปาตานี : ชนะด้วยแรงหนุนต่างประเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
โดย...อารีด้า สาเม๊าะ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)
 
ภาคประชาสังคมจากปาตานีเดินทางร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์คลี่คลายความขัดแย้งภาคประชาสังคมอาเจะห์ คนสื่ออาเจะห์แนะ ปาตานีต้องสร้างการสื่อสารระหว่างประเทศ ชี้อาเจะห์มีเครือข่ายโพ้นทะเลที่เดินหน้ารณรงค์ในต่างประเทศจนเป็นที่รับรู้ทั่วโลก
 
คณะภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และผู้นำชุมชนปาตานี 20 ชีวิต เยือนภาคประชาสังคมอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้โครงการเรียนรู้แลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนกับประชาชน สำหรับการสร้างชุมชนสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้ ประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 26 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2556 แลกเปลี่ยนการขับเคลื่อนเพื่อสันติภาพ รับฟังบทบาทของนักข่าวในการสนับสนุนนักศึกษา และภาคประชาสังคม งานสื่อข่าวในสถานการณ์ความความขัดแย้ง และช่วงการสร้างสันติภาพ
 
นายมูฮัมหมัด ฮัมซา นักข่าวจากพื้นที่ความขัดแย้งในอาเจะห์ กล่าวว่า การรายงานข่าวในพื้นที่ปฏิบัติการทางการทหารรุนแรงในช่วงปี 1999-2000 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการต่อสู้อย่างชัดเจน ยากลำบากในการเข้าถึงพื้นที่ขัดแย้ง เพราะต้องเผชิญทั้งความไม่ไว้ใจจากกองกำลังของอาเจะห์เพื่อเอกราช หรือ GAM และกองกำลังของรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งในช่วงที่มีการประกาศกฎหมายทหารในพื้นที่ การรายงานข่าวไม่เป็นอิสระ ไม่สามารถสื่อสารออกมาได้อย่างอิสระ
 
“พวกเราเคยถูกฝ่ายขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชอาเจะห์ หรือ GAM จับไปเพื่อให้เขียนข่าวลงหนังสือพิมพ์รายวันของพวกเรา โดยเป็นการโฆษณาชวนเชื่อว่า GAM ได้สังหารฝ่ายตรงข้ามเท่าไหร่ ซึ่งความจริงชาวบ้านทราบว่าสถานการณ์จริงๆ เป็นอย่างไร หนึ่งเดือนหลังจากประกาศใช้ปฏิบัติการทางทหาร GAM โทร.หาเราทุกวัน เพื่อให้ลงแถลงการณ์ของเขาในหนังสือพิมพ์ของเรา” นักข่าวคนดังกล่าวเลาให้ฟัง
 
ในขณะเดียวกัน ก็ได้กล่าวว่า สื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างภาพให้ทหารของรัฐเช่นกัน นักข่าวถูกเกณฑ์ไปในค่ายเพื่อให้สื่อสารว่า เจ้าหน้าที่ทหารได้ปฏิบัติต่อกลุ่มขบวนการที่จับอาวุธต่อต้านรัฐอย่างให้เกียรติ ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ มีการสังหารฝ่ายตรงข้ามมาแล้วจำนวนมาก
 
“กลุ่มเราจึงต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระในการสื่อสาร เพราะการสื่อสารในพื้นที่ความขัดแย้งต้องเสนอข้อเท็จจริง แม้เราจะไม่สามารถทำให้กระบวนการสันติภาพเกิดขึ้นได้ แต่เราจะไม่ทำให้ความขัดแย้งในพื้นที่เพิ่มขึ้นเพราะการรายงานของเรา” นักข่าวกล่าว
 
ข้อเสนอจากนักข่าวอาเจะห์คือ สื่อมีความจำเป็นในการสร้างเครือข่ายสื่อภายใน และต่างประเทศ เพื่อส่งข้อมูลที่เกิดขึ้นในอาเจะห์ออกสู่ข้างนอกให้มากที่สุด มีทั้งการส่งรายงานไปโดยตรงผ่านองค์กรข่าว หรือส่งรายงานไปยังองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนให้มีการรณรงค์ต่อไป
 
“พวกเรารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวัน เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นี่ และเราได้มองเห็นอย่างหนึ่งว่า นักข่าวในพื้นที่ความขัดแย้งต้องไม่ใช่นักสื่อสารเพื่อรายงานเหตุการณ์อย่างเดียว แต่ต้องมีเป้าหมายเพื่อสันติภาพด้วย” นักข่าวคนเดิมกล่าว
 
แนะปาตานีต้องสร้างเครือข่ายต่างประเทศ
 
ในช่วงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ถูกจัดที่สำนักงานขององค์กร ACEH Civil Security Taskforce ครั้งนี้ ภาคประชาสังคมปาตานีได้รับข้อเสนอแนะจากภาคประชาสังคมอาเจะห์ว่า ภาคประชาสังคมปาตานีต้องหาจุดร่วมการขับเคลื่อนว่า จะพาปาตานีไปสู่ทิศทางไหน และต้องสร้างเครือข่ายกับองค์กรอื่นๆ ในพื้นที่ระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ ระหว่างประเทศ และระดับโลก เพื่อให้ประเด็นออกไปข้างนอกมากที่สุด
 
ภาคประชาสังคมอาเจะห์สะท้อนว่า อาเจะห์จะแก้ปัญหาโดยลำพังไม่ได้ เพราะการขับเคลื่อนของภาคประชาสังคมอาเจะห์ส่วนใหญ่เกิดในต่างประเทศ และสร้างเครือข่ายกับสื่อต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่เรื่องราวของอาเจะห์ให้ออกไปข้างนอกให้มากที่สุด เมื่อมีคนรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่ ทำให้มีคนเข้ามากดดันรัฐบาลให้จัดการปัญหามากขึ้น
 
“วิธีการเพื่อป้องกันเครือข่ายนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของเรา โดยการสร้างเครือข่ายทั้งคนอาเจะห์ ทั้งในและนอกประเทศ และเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งเมื่อเราสร้างความเข้าใจให้เครือข่ายรับรู้ว่า สถานการณ์ของอาเจะห์เป็นอย่างไร เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับ เขาจะรีบปล่อยภายใน 24 ชั่วโมง เพราะเครือข่ายทั้งใน และต่างประเทศจะโทร.สอบถามข้อมูลวันละเป็นพันสาย เป็นการกดดันให้ทหารไม่สามารถละเมิดสิทธิได้ แต่ต้องมีการติดต่อประสานงานเพื่อให้เครือข่ายกดดันก่อน 24 ชั่วโมง ถ้าช้ากว่านั้นอาจจะมีการละเมิดสิทธิกับนักพิทักษ์สิทธิที่ถูกจับไปได้” นักสิทธิมนุษยชนคนหนึ่งกล่าว
 
การรายงานเรื่องการละเมิดสิทธิต่อประชาชนอาเจะห์โดยทหารรัฐบาลอินโดนีเซีย ในช่วงการประกาศใช้ปฏิบัติการทางการทหารพิเศษ หรือที่อินโดนีเซียเรียกว่า DOM ในช่วงปี 2000 กลุ่มที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนได้รายงานกรณีการละเมิดสิทธิในระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึกทุกวันอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่รู้จักของเวทีระหว่างประเทศ และมีกลุ่มคนอาเจะห์พลัดถิ่นที่ลี้ภัยในประเทศได้สร้างเครือข่ายกับองค์สิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ เพื่อรับเรื่องของอาเจะห์ไปรณรงค์ด้วย
 
“เราได้สร้างเครือขายในต่างประเทศ จนเป็นที่รับรู้ขององค์กรทั้งใน และต่างประเทศว่า เกิดอะไรขึ้นในอาเจะห์ โดยมีการรายงานอย่างต่อเนื่อง จนมีการเปรียบเปรยว่า แม้เข็มเล่มเดียวตกในแผ่นดินอาเจะห์ คนต่างประเทศก็จะรู้สึก” นักสิทธิมนุษยชนคนหนึ่งกล่าวกับคณะจากปาตานี
 
นายมุสลาฮุดดิน ดาวุด อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของฟอรัมภาคประชาสังคมอาเจะห์ ได้ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์กับนักขับเคลื่อนสันติภาพว่า ตนได้ลงพื้นที่ในจังหวัดชายแดนใต้หลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2550 โดยการสนับสนุนจากธนาคารโลก ซึ่งเป็นช่วงที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงสูงมากในพื้นที่ เพื่อพบภาคประชาชนที่ทำงานในพื้นที่ปาตานี
 
นายมุสลาฮุดดิน กล่าวว่า จากที่ลงพื้นที่ทำให้เห็นข้ออ่อนของการขับเคลื่อนสันติภาพในปาตานีหลายข้อ เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการสันติภาพในอาเจะห์ เนื่องจากกรณีอาเจะห์ทุกภาคส่วนของสังคมหนุนการขับเคลื่อนเพื่อเอกราชในอาเจะห์ แต่นำโดยกลุ่มจับอาวุธที่เรียกร้องเอกราช หรือที่เรียกว่า GAM โดยประชาชน และภาคประชาสังคมทั้งในและต่างประเทศต่างสนับสนุนการขับเคลื่อนนี้เป็นขบวนเดียวกัน แต่ในปาตานียังคงมีความหลากหลายในความเห็นอยู่
 
นายมุสลาฮุดดิน ยังกล่าวอีกว่า ปาตานีมีกลุ่มภาคประชาสังคมที่มีบทบาทสูงมากที่สุดในโลก จากบรรดาประเทศที่มีความขัดแย้ง ซึ่งมีสัดส่วนครึ่งหนึ่งของกลุ่มคนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ตนมองว่า กลุ่มภาคประชาสังคมที่มีความเป็นกลางจะเป็นนักขับเคลื่อนหลักที่จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งดีขึ้น
 
“ผมยังไม่เคยเห็นการขับเคลื่อนภาคประชาสังคมที่ไหนจะมีบทบาทมากกว่าของปาตานี ซึ่งมีหลากหลาย แต่ปัญหาคือ ความไม่เป็นเอกภาพในความเห็น ถ้ามีการขับเคลื่อนเป็นเอกภาพได้ จะเป็นตัวเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการกดดัน เพื่อให้ดำเนินการสันติภาพได้” นายมุสลาฮุดดินกล่าว
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น