เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.กำลังจะมาถึงแล้วในวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคมนี้ และวันนั้นเราจะได้รู้กันเสียทีว่าใครจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.คนต่อไป ระหว่างคุณชายหมู-ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร กับจูดี้-พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ โดยมีผู้สมัครอิสระเป็นตัวสอดแทรก
ประชาธิปัตย์จะรักษาเก้าอี้ตัวนี้ไว้ได้หรือไม่ พรรคเพื่อไทยของทักษิณจะยึดพื้นที่เมืองหลวงได้หรือไม่ เป็นคำถามที่เกิดขึ้นมากในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ ซึ่งน่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่สูสีและสุดคาดเดาครั้งหนึ่งตั้งแต่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มา
ประชาธิปัตย์มีฐานเสียงในกทม.มากกว่าแน่นอนครับ แต่ข้อเสียของประชาธิปัตย์ก็คือ ผู้สมัครที่คนเขาเห็นผลงานมาแล้ว และส่วนใหญ่บอกว่าไม่ค่อยประทับใจ ส่วนเพื่อไทยมีผู้สมัครที่ใหม่สดกว่า แต่ฐานเสียงของพรรคเป็นรอง
ดูจากฐานคะแนนครั้งที่แล้ว ที่หม่อมสุขุมพันธุ์ทำไว้ที่ 934,602 คะแนนถ้าหม่อมสุขุมพันธุ์ยังรักษาคะแนนได้ระดับนี้ก็ไม่น่าจะแพ้
ประชาธิปัตย์ทำคะแนนระดับนี้ 9 แสนขึ้น มาแล้วใน 3 ครั้งหลัง (อภิรักษ์ 2 ครั้ง สุขุมพันธุ์ 1 ครั้ง)
แต่ผมมองว่าถ้าคนยังออกมาใช้สิทธิ์เท่ากับครั้งที่แล้วคือ เลย 50% ไปนิดเดียว คะแนนของหม่อมสุขุมพันธุ์จะลดลง เพราะคนส่วนหนึ่งรับไม่ได้กับผลงานที่ผ่านมา แม้จะไม่สวิงไปเลือกเพื่อไทยก็เลือกอิสระ อีกส่วนหนึ่งพันธมิตรฯ ส่วนใหญ่ก็จะไม่เลือกหันไปเลือกอิสระหรือไม่ก็โหวตโน
ส่วนเพื่อไทยคะแนนอยู่ที่ 5-6 แสน คะแนนครั้งนี้น่าจะสูงขึ้นมาจากฐานคะแนนพรรคบวกกับคะแนนส่วนตัวของจูดี้ อย่างไรก็ตาม ผมยังคิดว่า เพื่อไทยยังไม่น่าจะไล่ทัน แต่คะแนนก็ไม่น่าจะห่างทิ้งกันมากแบบครั้งที่ผ่านๆ มา
แต่โอกาสที่จูดี้จะชนะก็ใช่จะไม่มี อยู่ที่คนที่เคยเลือก ปชป.จะแปรผันเพราะเบื่อพรรคนี้ไปมากเท่าไหร่ ในขณะที่คนเสื้อแดงมีความมุ่งมั่นมากว่าจะยึดเมืองหลวงให้ได้ ถ้า ปชป.ลดลงมากสักแสนสองแสน โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะชนะ จูดี้ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็มีมากทีเดียว
และขึ้นอยู่กับว่าโค้งสุดท้ายนี้ ปชป.สามารถสร้างวาทกรรมแห่งความกลัวมาหลอกหลอนคนกรุงเทพฯ ปลุกกระแสโรคกลัวทักษิณยึดเมืองหลวงได้มากแค่ไหน ถ้าคนออกมาเลือก 60% ขึ้นไปผมว่า ปชป.ไม่แพ้
ตอนนี้ทักษิณเลยเงียบกริบ แกนนำเสื้อแดงที่จะออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนิรโทษกรรมถูกสั่งให้เงียบ เพราะถ้าออกมาเคลื่อนไหวมากจะสอดรับกับกระแสเผาบ้านเผาเมืองและทักษิณยึดเมืองที่ประชาธิปัตย์กำลังปลุกปั่นพอดี
ผมพูดถึงการต่อสู้ของสองพรรค ไม่ได้หมายความว่า ผมปรามาสผู้สมัครอิสระนะครับ หลายคนมีกระแส แต่ว่ายังไม่เห็นสัญญาณที่แรงพอ ยกเว้นอยู่ๆคนกรุงมีฉันทามติเกลียดพรรคการเมืองแล้วไปสร้างเซอร์ไพรส์ในคูหาเลือกตั้งแบบเหนือการคาดการณ์ ดังนั้น คนที่อยากเลือกและเชียร์อิสระก็อย่าเพิ่งท้อ อย่างน้อยก็คิดเสียว่าเลือกคนที่เราคิดว่าดี
ขณะที่บางคนยังลังเลแม้ว่าไม่อยากเลือกทั้งสองพรรค
หลายคนอยากเลือกผู้สมัครอิสระแต่กลัวว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะ บางคนบอกว่าจะหลับหูหลับตาเลือกหม่อมสุขุมพันธุ์ อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ บอกว่า เอาศัตรูคนที่สองมาจัดการศัตรูคนที่หนึ่ง ส.ศิวรักษ์บอกว่า ต้องยอมออกไปเลือก the lesser evil เพื่อสกัดกั้นเผด็จการทักษิณที่บอกว่าเอาเสาไฟฟ้ามาลงก็ยังชนะ ตอนนี้เราจะเห็นคนดังๆ ออกมามากเพราะกลัวว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะ
แต่ถ้าถามผมว่า จะเลือกแบบไหน ผมคิดว่าเลือกไปตามเหตุผลและความนึกคิดของตัวเอง ถ้าอยากเลือกผู้สมัครอิสระก็เลือก ใครอยากเลือกใครก็เลือกใช้สิทธิและวิจารณญาณของตัวเอง ไม่ต้องไปเลือกเพราะความกลัว แต่เลือกเพราะความหวังในตัวผู้สมัครที่เราลงคะแนนให้
ถ้าพรรคของทักษิณจะชนะมันก็ไม่ได้ทำให้ฟ้าถล่มดินทลาย ถ้าคนส่วนมากในกรุงเทพฯ จะเลือกพรรคของทักษิณจริงๆ เราก็คงต้องเคารพความเห็นของคนส่วนมาก เพราะเราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย
หลังจากนั้นคนที่เลือกผู้แพ้ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบกันอย่างเข้มข้นว่า นโยบายไหนที่ผู้ได้รับเลือกตั้งเคยประกาศไว้แล้วไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ เพื่อให้นักการเมืองรู้ว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องดีแต่พูด แต่พูดแล้วรับปากประชาชนไว้แล้วต้องทำให้ได้ด้วย ถ้าทำไม่ได้ก็จะทำให้พังเร็วขึ้น
ข้อดีอีกข้อที่พูดกันมากถ้าพรรคเพื่อไทยชนะก็คือ พรรคประชาธิปัตย์จะได้ทบทวนตัวเอง
ในฟากของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมสดับตรับฟังความเห็นในโซเชียลมีเดีย ผมคิดว่า พันธมิตรฯ มีความเห็นที่หลากหลาย บางคนอาจจะยอมกัดฟันไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์อย่างที่ว่ามา แต่ผมเชื่อว่าคนที่คิดแบบนี้เป็นเพียงส่วนน้อย ผมคิดว่า พันธมิตรฯ ส่วนใหญ่ไม่เลือกทั้ง 2 พรรค จะกระจายไปลงคะแนนให้ผู้สมัครอิสระหรือไม่ก็โหวตโน
ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะพันธมิตรฯ ส่วนใหญ่เห็นแล้วว่า พรรคการเมืองทั้งสองพรรคไม่ได้ดีเลวไปกว่ากันเลย
แต่แทนที่ใครจะเลือกใครควรจะเป็นสิทธิของแต่ละคน ผมกลับได้ยินเสียงด่าทอคนที่มีความคิดไม่เหมือนกับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตย
โอเคครับ แต่ละคนมีสิทธิจะชี้ชวนให้เลือกผู้สมัครที่ตัวเองสนับสนุน มีสิทธิโจมตีผู้สมัครที่ตัวเองไม่ชอบ ย้ำนะครับทุกคนมีสิทธิจะเชียร์ผู้สมัครที่ชอบ มีสิทธิโจมตีผู้สมัครที่ไม่ชอบ ถ้าเราเห็นส่วนไม่ดีของเขา แต่ผมคิดว่า ไม่ควรจะมีสิทธิในการโจมตีบุคคลอื่นที่จะเลือกผู้สมัครไม่เหมือนกับที่ตัวเองอยากให้เลือก
ถ้าเราเข้าใจประชาธิปไตยจริงๆ เราต้องเคารพความคิดเห็นของกันและกัน อยากให้เข้าใจเรื่อง “สิทธิของมึง สิทธิของกู”
ในเอเอสทีวีนั้นถ้าใครติดตามจะเห็นว่าเปิดกว้างมาก ถ้าฟังจากพิธีกร ผู้ร่วมรายการ วิทยากร จะพบว่ามีทั้งคนที่จะเลือกผู้สมัครอิสระ จะเลือกสุขุมพันธุ์ จะโหวตโน ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง แกนนำพันธมิตรฯ เองก็มีความเห็นที่หลากหลาย คุณสนธิเองก็บอกว่าอยากเลือกใครก็เลือก แต่อย่าเลือกเพราะความกลัว
แต่สิ่งที่พวกแมลงสาบบางคนกำลังทำก็คือ การด่าทอ กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีสาดโคลนคนที่ไม่เลือกพรรคของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกมาก สะท้อนว่าคนพวกนี้ไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ ยังเป็นพวกที่ล้าหลังและต้องการพัฒนาระดับความคิดสติปัญญาอีกมาก ทั้งๆ ที่พิสูจน์แล้วว่า การเล่นการเมืองแบบการใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นจนเป็นสันดานพรรคนั้นไม่สามารถทำให้พรรคเจริญรุ่งเรืองได้
เอาเป็นว่า วันอาทิตย์นี้ ใช้ความคิดและสติปัญญาของตัวเองเป็นตัวตัดสินดีที่สุด ใช้หนึ่งเสียงของเราเลือกคนที่เราคิดว่าดีที่สุดด้วยสติปัญญาของเราเอง หรือถ้าไม่มีคนดีเลยก็ไปโหวตโนก็ได้ครับ มันสิทธิของเรา
ประชาธิปัตย์จะรักษาเก้าอี้ตัวนี้ไว้ได้หรือไม่ พรรคเพื่อไทยของทักษิณจะยึดพื้นที่เมืองหลวงได้หรือไม่ เป็นคำถามที่เกิดขึ้นมากในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ ซึ่งน่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่สูสีและสุดคาดเดาครั้งหนึ่งตั้งแต่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มา
ประชาธิปัตย์มีฐานเสียงในกทม.มากกว่าแน่นอนครับ แต่ข้อเสียของประชาธิปัตย์ก็คือ ผู้สมัครที่คนเขาเห็นผลงานมาแล้ว และส่วนใหญ่บอกว่าไม่ค่อยประทับใจ ส่วนเพื่อไทยมีผู้สมัครที่ใหม่สดกว่า แต่ฐานเสียงของพรรคเป็นรอง
ดูจากฐานคะแนนครั้งที่แล้ว ที่หม่อมสุขุมพันธุ์ทำไว้ที่ 934,602 คะแนนถ้าหม่อมสุขุมพันธุ์ยังรักษาคะแนนได้ระดับนี้ก็ไม่น่าจะแพ้
ประชาธิปัตย์ทำคะแนนระดับนี้ 9 แสนขึ้น มาแล้วใน 3 ครั้งหลัง (อภิรักษ์ 2 ครั้ง สุขุมพันธุ์ 1 ครั้ง)
แต่ผมมองว่าถ้าคนยังออกมาใช้สิทธิ์เท่ากับครั้งที่แล้วคือ เลย 50% ไปนิดเดียว คะแนนของหม่อมสุขุมพันธุ์จะลดลง เพราะคนส่วนหนึ่งรับไม่ได้กับผลงานที่ผ่านมา แม้จะไม่สวิงไปเลือกเพื่อไทยก็เลือกอิสระ อีกส่วนหนึ่งพันธมิตรฯ ส่วนใหญ่ก็จะไม่เลือกหันไปเลือกอิสระหรือไม่ก็โหวตโน
ส่วนเพื่อไทยคะแนนอยู่ที่ 5-6 แสน คะแนนครั้งนี้น่าจะสูงขึ้นมาจากฐานคะแนนพรรคบวกกับคะแนนส่วนตัวของจูดี้ อย่างไรก็ตาม ผมยังคิดว่า เพื่อไทยยังไม่น่าจะไล่ทัน แต่คะแนนก็ไม่น่าจะห่างทิ้งกันมากแบบครั้งที่ผ่านๆ มา
แต่โอกาสที่จูดี้จะชนะก็ใช่จะไม่มี อยู่ที่คนที่เคยเลือก ปชป.จะแปรผันเพราะเบื่อพรรคนี้ไปมากเท่าไหร่ ในขณะที่คนเสื้อแดงมีความมุ่งมั่นมากว่าจะยึดเมืองหลวงให้ได้ ถ้า ปชป.ลดลงมากสักแสนสองแสน โอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะชนะ จูดี้ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็มีมากทีเดียว
และขึ้นอยู่กับว่าโค้งสุดท้ายนี้ ปชป.สามารถสร้างวาทกรรมแห่งความกลัวมาหลอกหลอนคนกรุงเทพฯ ปลุกกระแสโรคกลัวทักษิณยึดเมืองหลวงได้มากแค่ไหน ถ้าคนออกมาเลือก 60% ขึ้นไปผมว่า ปชป.ไม่แพ้
ตอนนี้ทักษิณเลยเงียบกริบ แกนนำเสื้อแดงที่จะออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนิรโทษกรรมถูกสั่งให้เงียบ เพราะถ้าออกมาเคลื่อนไหวมากจะสอดรับกับกระแสเผาบ้านเผาเมืองและทักษิณยึดเมืองที่ประชาธิปัตย์กำลังปลุกปั่นพอดี
ผมพูดถึงการต่อสู้ของสองพรรค ไม่ได้หมายความว่า ผมปรามาสผู้สมัครอิสระนะครับ หลายคนมีกระแส แต่ว่ายังไม่เห็นสัญญาณที่แรงพอ ยกเว้นอยู่ๆคนกรุงมีฉันทามติเกลียดพรรคการเมืองแล้วไปสร้างเซอร์ไพรส์ในคูหาเลือกตั้งแบบเหนือการคาดการณ์ ดังนั้น คนที่อยากเลือกและเชียร์อิสระก็อย่าเพิ่งท้อ อย่างน้อยก็คิดเสียว่าเลือกคนที่เราคิดว่าดี
ขณะที่บางคนยังลังเลแม้ว่าไม่อยากเลือกทั้งสองพรรค
หลายคนอยากเลือกผู้สมัครอิสระแต่กลัวว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะ บางคนบอกว่าจะหลับหูหลับตาเลือกหม่อมสุขุมพันธุ์ อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ บอกว่า เอาศัตรูคนที่สองมาจัดการศัตรูคนที่หนึ่ง ส.ศิวรักษ์บอกว่า ต้องยอมออกไปเลือก the lesser evil เพื่อสกัดกั้นเผด็จการทักษิณที่บอกว่าเอาเสาไฟฟ้ามาลงก็ยังชนะ ตอนนี้เราจะเห็นคนดังๆ ออกมามากเพราะกลัวว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะ
แต่ถ้าถามผมว่า จะเลือกแบบไหน ผมคิดว่าเลือกไปตามเหตุผลและความนึกคิดของตัวเอง ถ้าอยากเลือกผู้สมัครอิสระก็เลือก ใครอยากเลือกใครก็เลือกใช้สิทธิและวิจารณญาณของตัวเอง ไม่ต้องไปเลือกเพราะความกลัว แต่เลือกเพราะความหวังในตัวผู้สมัครที่เราลงคะแนนให้
ถ้าพรรคของทักษิณจะชนะมันก็ไม่ได้ทำให้ฟ้าถล่มดินทลาย ถ้าคนส่วนมากในกรุงเทพฯ จะเลือกพรรคของทักษิณจริงๆ เราก็คงต้องเคารพความเห็นของคนส่วนมาก เพราะเราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย
หลังจากนั้นคนที่เลือกผู้แพ้ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบกันอย่างเข้มข้นว่า นโยบายไหนที่ผู้ได้รับเลือกตั้งเคยประกาศไว้แล้วไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ เพื่อให้นักการเมืองรู้ว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องดีแต่พูด แต่พูดแล้วรับปากประชาชนไว้แล้วต้องทำให้ได้ด้วย ถ้าทำไม่ได้ก็จะทำให้พังเร็วขึ้น
ข้อดีอีกข้อที่พูดกันมากถ้าพรรคเพื่อไทยชนะก็คือ พรรคประชาธิปัตย์จะได้ทบทวนตัวเอง
ในฟากของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมสดับตรับฟังความเห็นในโซเชียลมีเดีย ผมคิดว่า พันธมิตรฯ มีความเห็นที่หลากหลาย บางคนอาจจะยอมกัดฟันไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์อย่างที่ว่ามา แต่ผมเชื่อว่าคนที่คิดแบบนี้เป็นเพียงส่วนน้อย ผมคิดว่า พันธมิตรฯ ส่วนใหญ่ไม่เลือกทั้ง 2 พรรค จะกระจายไปลงคะแนนให้ผู้สมัครอิสระหรือไม่ก็โหวตโน
ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะพันธมิตรฯ ส่วนใหญ่เห็นแล้วว่า พรรคการเมืองทั้งสองพรรคไม่ได้ดีเลวไปกว่ากันเลย
แต่แทนที่ใครจะเลือกใครควรจะเป็นสิทธิของแต่ละคน ผมกลับได้ยินเสียงด่าทอคนที่มีความคิดไม่เหมือนกับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตย
โอเคครับ แต่ละคนมีสิทธิจะชี้ชวนให้เลือกผู้สมัครที่ตัวเองสนับสนุน มีสิทธิโจมตีผู้สมัครที่ตัวเองไม่ชอบ ย้ำนะครับทุกคนมีสิทธิจะเชียร์ผู้สมัครที่ชอบ มีสิทธิโจมตีผู้สมัครที่ไม่ชอบ ถ้าเราเห็นส่วนไม่ดีของเขา แต่ผมคิดว่า ไม่ควรจะมีสิทธิในการโจมตีบุคคลอื่นที่จะเลือกผู้สมัครไม่เหมือนกับที่ตัวเองอยากให้เลือก
ถ้าเราเข้าใจประชาธิปไตยจริงๆ เราต้องเคารพความคิดเห็นของกันและกัน อยากให้เข้าใจเรื่อง “สิทธิของมึง สิทธิของกู”
ในเอเอสทีวีนั้นถ้าใครติดตามจะเห็นว่าเปิดกว้างมาก ถ้าฟังจากพิธีกร ผู้ร่วมรายการ วิทยากร จะพบว่ามีทั้งคนที่จะเลือกผู้สมัครอิสระ จะเลือกสุขุมพันธุ์ จะโหวตโน ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง แกนนำพันธมิตรฯ เองก็มีความเห็นที่หลากหลาย คุณสนธิเองก็บอกว่าอยากเลือกใครก็เลือก แต่อย่าเลือกเพราะความกลัว
แต่สิ่งที่พวกแมลงสาบบางคนกำลังทำก็คือ การด่าทอ กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีสาดโคลนคนที่ไม่เลือกพรรคของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกมาก สะท้อนว่าคนพวกนี้ไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ ยังเป็นพวกที่ล้าหลังและต้องการพัฒนาระดับความคิดสติปัญญาอีกมาก ทั้งๆ ที่พิสูจน์แล้วว่า การเล่นการเมืองแบบการใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นจนเป็นสันดานพรรคนั้นไม่สามารถทำให้พรรคเจริญรุ่งเรืองได้
เอาเป็นว่า วันอาทิตย์นี้ ใช้ความคิดและสติปัญญาของตัวเองเป็นตัวตัดสินดีที่สุด ใช้หนึ่งเสียงของเราเลือกคนที่เราคิดว่าดีที่สุดด้วยสติปัญญาของเราเอง หรือถ้าไม่มีคนดีเลยก็ไปโหวตโนก็ได้ครับ มันสิทธิของเรา