xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

"โฆสิต สุวินิจจิต" ผู้ว่าฯ 24 ชั่วโมง “ผมคงไม่โหลยโท่ยขนาดไปรับจ็อบมาเป็นนอมินีให้ใคร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โฆสิต สุวินิจจิต
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -นับเป็นอีกคนหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับนายโฆสิต สุวินิจจิต ผู้สมัครอิสระเบอร์ 10 ที่ได้ประกาศตัวลงมาลงสมัครท้าชิงในตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งภาพลักษณ์ของนายโฆสิต อาจกล่าวได้ว่าเป็นภาพของนักบริหารอย่างเต็มตัวและมีชื่อเสียงอยู่พอสมควร อาทิ ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าโอเชี่ยน และศูนย์การค้าฟอรั่ม พลาซ่า จังหวัดชลบุรี อดีตประธานบริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด ผู้ผลิตรายการบ้านเลขที่ 5 รายการเวทีไท รายการที่นี่ประเทศไทย หรือจะเป็น รายการทัวร์บ้านเลขที่ 5 นอกจากนั้นยังเป็นอดีตประธานบริษัทสถานีโทรทัศน์ข่าวดาวเทียม “สปริงนิวส์” อีกด้วย

ขณะเดียวกันในเส้นทางแวดวงการเมือง นายโฆสิตยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ คือ ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาอดีตประธานวุฒิสภา (นายสนิท วรปัญญา), ที่ปรึกษาอดีตรองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการหลายกระทรวง หลายรัฐบาลหลายยุคหลายสมัย ก่อนจะตัดสินใจลงรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในครั้งนี้

นายโฆสิตได้อาศัยประสบการณ์เหล่านั้นชูภาพของตนเองในแคมเปญหาเสียง “นักบริหาร ประสานสิบทิศ” รวมไปถึงนโยบายที่แปลกหูไม่เหมือนใครมาก่อนคือนโยบาย “กรุงเทพฯ 24 ชั่วโมง” ที่แยกเป็น กรุงเทพฯ บริการ 24 ชั่วโมง ผู้ว่าฯ บริหาร 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯ ปลอดภัย 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯ ทำมาหากิน 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯ เดินทางได้ 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯ เรียนรู้ 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯ สุขภาพดี 24 ชั่วโมง

ASTV-ผู้จัดการสุดสัปดาห์ จึงถือโอกาสไปขยายความนโยบาย “กรุงเทพฯ 24 ชั่วโมง” ว่าแต่ละอย่างจะสามารถเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯไปทางไหนบ้าง และเหตุผลที่ว่าทำไมคนกรุงเทพฯจึงต้องเลือกนายโฆสิตเป็นผู้ว่าฯ กทม.

ทำไมจึงอาสาเข้ามาเป็นผู้ว่า กทม.

ผมอยากใช้เวลาที่เหลือทำงานเพื่อประเทศชาติ คือที่ผ่านมามีคนชักชวนให้ผมเป็นรัฐมนตรีบ้าง เข้าไปทำงานการเมืองระดับชาติเยอะมาก ผมถูกชวนจากทุกพรรค แต่ผมมองว่ามันไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหาให้ประชาชน ถ้าดูจากประวัติผมจะเห็นว่าผมเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีมาแล้วเกือบทุกรัฐบาล ล่าสุดผมเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี อลงกรณ์ พลบุตร สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ดูแลด้านเศรษฐกิจ แต่เห็นปัญหาว่าพรรคเดียวกันยังทะเลาะกันเลย แล้วก็ทะเลาะเองทุกพรรคนะ เราจะเห็นข่าวว่ากว่าจะเลือกคนลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ได้พรรคใหญ่สองพรรคทะเลาะกันพรรคแทบแตก นี่คือปัญหาที่เราเห็น เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้ผมได้เป็นรัฐมนตรี ผมก็แก้ปัญหาอะไรให้ประเทศชาติไม่ได้หรอกเพราะมันเป็นการทำงานแค่ส่วนเดียวของการเมืองระดับชาติทั้งหมด การทำงานในรัฐบาลยังมีพรรคร่วมรัฐบาลอีก การเมืองมันไม่มีเสถียรภาพ ผมจึงเลือกที่จะลงสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม.ซึ่งมีอำนาจที่จะแก้ปัญหาใน กทม.ได้

บางคนมองว่าผู้ว่าฯ กทม.เป็นตำแหน่งเล็ก

กทม.เป็นเหมือนหัวใจของประเทศ ผมก็อาสามารักษาหัวใจเอาไว้ บางคนบอกว่าอย่างผมต้องทำงานสนามใหญ่ มาทำงานสนามเล็กทำไม เสียดาย ผมบอกว่าไม่ใช่หรอก ใหญ่หรือเล็กมันอยู่ที่หน้าที่ของมัน อย่างร่างกายเรา มีแขน ขา ลำตัวใหญ่โต แต่อวัยวะที่เล็กนิดเดียวแต่มีความสำคัญมากคือหัวใจ ถ้าหัวใจหยุดเต้นร่างกายก็ตาย กรุงเทพฯ เปรียบเสมือนหัวใจของประเทศไทย แม้ว่าพื้นที่ต่างๆ จะวุ่นวาย ภาคโน้นภาคนี้มีปัญหา แต่ตราบใดที่หัวใจยังเต้นอยู่ชีวิตยังอยู่ได้

ผมจึงอาสามาเป็นผู้ว่า กทม.เพื่อดูแลหัวใจของประเทศ ถึงแม้ตำแหน่งจะเล็กแต่หน้าที่มันสำคัญ เพราะกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางการค้าการลงทุน ศูนย์กลางการศึกษา ศูนย์กลางของหน่วยราชการ เป็นโอกาสที่เราจะได้ทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองอย่างเต็มที่ และเวลาทำงานถึง 4 ปีเต็มด้วย ต่างจากรัฐมนตรีซึ่งทำงานไม่ถึงปีมีการปรับ ครม.อาจจะถูกปรับออกจากตำแหน่งก็ได้ ที่สำคัญยังเป็นตำแหน่งเดียวที่ไม่สังกัดพรรคก็ลงสมัครได้ ถ้าผมจะสมัครนายก อบต.ในภาคอีสาน ผมไม่สังกัดพรรคเพื่อไทยผมจะได้รับเลือกตั้งไหม ถ้าผมจะไปสมัครนายก อบจ.ที่ภาคใต้ ผมไม่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ผมจะได้ไหม มันเหลือจังหวัดเดียวที่ผู้สมัครอิสระจะมีสิทธิได้รับเลือก และเป็นจังหวัดเดียวที่ซื้อเสียงไม่ได้ แม้จะมีบางพื้นที่ที่ซื้อได้บ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย เพราะนั้นผมถึงกล้าลงสมัครทั้งๆ ที่ไม่ได้มีฐานเสียงเหมือนผู้สมัครที่สังกัดพรรค

แต่ในสายตาของคนส่วนใหญ่ผู้สมัครที่สังกัดพรรคดูจะได้เปรียบกว่าผู้สมัครอิสระ เพราะมีฐานคะแนนอยู่แล้วส่วนหนึ่ง

นั่นเป็นสิ่งที่คนรู้สึกครับ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูสถิติผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ในรอบ 10 ปีที่ผ่านจะพบว่าผู้สมัครจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ได้คะแนนรวมกันไม่เกิน 1.5 ล้านเสียง ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในกรุงเทพฯ มีประมาณ 4.1 ล้านคน ก็เท่ากับว่า 2 พรรครวมกันกวาดคะแนนไปแค่ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ขณะเดียวกันจากสถิติก็มีผู้ที่เลือกผู้สมัครอิสระถึง 5 แสนกว่าคน ซึ่งเหล่านี้ยังไงก็เลือกผู้สมัครอิสระ เลือกใครก็ได้ แต่ไม่เอา 2 พรรคการเมืองใหญ่นี้ สมัยที่คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งเป็นผู้สมัครอิสระ ได้ 3 แสนกว่าคะแนน สมัยที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้เป็นผู้ว่า กทม. 'คุณปลื้ม' ม.ล.ณัฐกรณ์ เทวกุล ผู้สมัครอิสระอีกเหมือนกัน ได้ 3 แสนกว่าคะแนน แล้วปรากฏว่าคะแนนรวมของผู้สมัครอิสระที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับที่ 3,4,5 รวมกันแล้วได้ประมาณ 5 แสนกว่าคะแนน

นอกจากนั้นคนที่เคยเลือก 2 พรรคใหญ่ก็ยังไม่แน่ว่างวดนี้เขาจะลงคะแนนให้หรือเปล่า เพราะในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมาเขาเจอปัญหาที่เกิดจากพรรคการเมืองใหญ่มาเยอะ ทั้งเผาบ้านเผาเมือง ปัญหาอุโมงค์ยักษ์ มีปัญหาอุทกภัย มีกระสอบทรายอุดท่อ เลือก 2 พรรคนี้ก็ตีกันไม่เลิก เขาก็อาจจะเบื่อและเกิดเปลี่ยนใจ เพราะฉะนั้นผู้สมัครอิสระมีโอกาสแน่นอน เพราะฉะนั้นถ้าพลังเงียบออกมานะ โพลทุกโพลหน้าแตกหมด แล้ว กกต.คาดว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิถึง 71% ซึ่งเป็นไปได้นะเพราะคน กทม.อีก 2 ล้านคนที่ไม่เคยใช้สิทธิก็มีอารมณ์อยากจะออกมาสั่งสอนพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 พรรค

นโยบายกรุงเทพฯ 24 ชั่วโมงที่ประกาศออกมา หลายคนสงสัยว่าคืออะไร ทำไมต้อง 24 ชั่วโมง

กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงที่ขับเคลื่อนอยู่ 24 ชม.อยู่แล้วโดยธรรมชาติ อาทิปากคลองตลาด ตลาดยิ่งเจริญ ห้วงขวาง ฯลฯ เพียงแต่ขาดการบริหารจัดการที่ดี กรุงเทพฯเป็นวงจรที่มีการทำมาหากิน 24 ชม. เราเป็นเมืองหลวงไม่กี่แห่งในโลกที่ขับเคลื่อนตลอดเวลา เราต้องวางแผนการบริหารงาน 24 ชม. สอดคล้องกับความเป็นจริงของวิถีชีวิตของคนกทม. จึงต้องออกมาเป็นนโยบาย กรุงเทพฯ24ชั่วโมง

24 ชม.ด้านบริการเป็นอย่างไร

กทม.จากนี้จะต้องเปิดบริการ 24 ชั่วโมง ถามว่าทำไมต้องเปิด 24 ชั่วโมง เพราะคนกรุงเทพฯ ทำงาน 3 กะ อยู่แล้ว อย่างในวงการข่าวก็มีรายงานอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง มันต้องมีคนสแตนบายด์อยู่ตลอดเวลา ในแง่ของคนทำงานกลางวันเข้างาน 8 โมงเช้าออก 4 โมงเย็น หรือคนทำงานกะดึกเข้า 4โมงเย็น ออกเที่ยงคืน หรือคนทำงานกะดึกเข้าเที่ยงคืนออก 8โมงเช้า ซึ่งจะเกิดปัญหาบางอย่างเช่นจะไปติดต่อสถานที่ราชการอย่าง กทม.จะทำอย่างไร คือต้องลางาน นักเรียนต้องลาหยุด ถามว่าเสียรายได้หรือไม่ เสียเวลาเรียนหรือไม่ คนกลุ่มดังกล่าวที่เวลาไม่ตรงกับราชการทำการต้องลาเรียนและลางาน เพื่อไปทำธุรกรรม ทำบัตรประชาชน ทำทะเบียนบ้านต้องไปอัดแน่นกันทุกเขต อีกปัญหาที่ตามมาก็คือเกิดรถติดซ้ำเข้าไปอีก ฉะนั้นถ้า กทม.จะให้บริการสะดวกเหมือน 7-11 เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง

ทำให้กรุงเทพฯ หลวมขึ้นไปด้วยในเรื่องรถไม่ติด วิธีก็ง่ายๆ ขยายเวลาให้เปิด 24 ชั่วโมงเหมือนโรงพัก ยกตัวอย่างแต่ก่อนธนาคารปิดบ่ายสามโมง ทุกคนต้องรีบเร่งไปเพราะกลัวจะไม่ทัน ต้องไปปิดบัญชี ต้องไปเอาเงินเข้า เดี๋ยวนี้สบายมีตู้ฝากอัตโนมัติ ขยายเวลาเปิดในห้างถึงเกือบ 4 ทุ่ม มาพูดถึงกทม.ยิ่งต้องการมากกว่านั้นเข้าไปอีก เพราะเมื่อประชาชนต้องการความช่วยเหลือ ควรจะให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำได้ง่ายแค่ประชุมเปิดแผน ประกาศรับสมัครรับคนเพิ่มขึ้น คนจะมีงานทำเพิ่มขึ้นอีก 2กะ ข้อดีคือคนมีงานทำเพิ่มขึ้น ไม่ตกงาน ขโมยลดน้อยลง คนที่ทำผิดความจริงเขาไม่อยากทำผิด บางทีเขามีความจำเป็น เรื่องต้องหาเงินต้องไปเป็นขโมย เมื่อเพิ่มงานรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น ภาษีก็เข้ามาสู่กทม.เราต้องคิดขับเคลื่อนให้เกิดรายได้มากขึ้น ผมต้องพูดกับข้าราชการกรุงเทพฯให้เข้าใจว่าเราต้องอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ให้เอกชนเข็มแข็งเพื่อดันให้เศรษฐกิจประเทศโตไปด้วย

วันนี้ผู้ว่าฯ กทม.ต้องบริหารให้กรุงเทพฯ มีรายได้ดีจะได้ลดปัญหา ปัญหาเศรษฐกิจก็นำไปสู่ปัญหาสังคม พอเกิดปัญหาสังคมก็นำไปสู่ปัญหาการเมืองได้อีก เพราะด้วยความจนไม่มีเงินมาให้ขายเสียงกี่บาทก็ต้องเอา นี่เป็นการโยงให้เห็นง่ายๆ เลย การแก้ไขปัญหาของกทม.วันนี้ต้องแก้ที่ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องทำโครงการเติมเงินใส่ครอบครัวประชาชนให้ได้ เมื่อครอบครัวมีรายได้ดีขึ้น สังคมก็จะดีขึ้นตามไป สังคมดีขึ้น การเมืองดีขึ้น ทุกวันนี้มีผู้ว่ากทม.คนไหน พูดแบบที่ผมกำลังจะทำบ้าง กระตุ้นเศรษฐกิจกทม. เพราะว่าเขาไม่ใช่นักบริหาร เขาไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ มีแต่นักการเมือง คิดแค่ว่าทำอย่างไรให้ได้คะแนนเสียง ทำอย่างไรให้กลับเข้าไปมีอำนาจ คิดแต่เรื่องจะหาเสียงอย่างเดียว แจกกันแหลก

24 ชม.ด้านการเดินทาง เป็นอย่างไร

คนกทม.ไปไหนมาไหนมีแต่ความกลัว กลัวหลายอย่างตื่นเช้ามากลัวรถติด ลูกไปเรียนหนังสือขากลับ กลัวไม่ปลอดภัย กลัวตกงาน กลัวขาดรายได้ กลัวโง่ มีชีวิตอยู่บนความกลัวหมด ผมต้องเป็นผู้ว่าฯ กทม.ที่ขจัดความกลัวให้หมดไป หลังจากที่บริการ 24 ชม.ดีแล้ว ก็ต้องมาเรื่องการเดินทาง รถไฟฟ้าเลิกทำไมเที่ยงคืน เมื่อคนยังต้องการเดินทาง บางคนยังทำงาน เปิดไปเลย 24 ชม. ดูเวลาเอาว่าช่วงไหนคนเยอะคุณก็วิ่งถี่ เวลาไหนคนน้อยก็วิ่งห่างเวลาหน่อย มีคอมพิวเตอร์คำนวณให้อยู่แล้วไม่ใช่เรื่องยาก เรือเลิกทำไม 2 ทุ่ม เมื่อประชาชนบอกให้เลิก 4 ทุ่ม เพราะไม่ทันเวลาต้องรีบเร่งกลับบ้าน เมื่อขึ้นเรือไม่ทันก็ต้องเลือกที่จะเดินทางบนท้องถนนก็จะเจอกับปัญหารถติดเหมือนเดิม ตอนนี้กทม.รถติดเพิ่มมากขึ้นอยู่แล้วจากนโยบายรถคันแรก หรือจะเป็นพวกขนส่งมวลชนที่ก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ในอำนาจของผู้ว่าฯ กทม.ที่ทำได้เลยคือป้ายบอกทาง ถามว่ามีใครขับรถในกทม.ไม่เคยหลงบ้าง โครงการหลงน้อยลง รถติดน้อยลง ต้องเกิดขึ้น อย่างเช่นป้ายที่ผมทำบอกว่าอีก 300 เมตรจะถึง บางคนขับเลยกลับรถอีกไกลเสียเวลา ถ้าผมได้เป็นผู้ว่ากทม.จะทำให้ทั่วทั้งเมืองเลย บางทีมีป้ายบอกทางลัดพอเข้าไปหลงยิ่งกว่าเดิมอีก มันต้องมีป้ายบอกทางให้มันถูกต้อง อย่างขึ้นแท็กซี่เขายังมาถามผู้โดยสารอย่างเราๆ ไปทางไหนครับ ซวยแล้วคราวนี้ อะไรที่ง่ายๆ ทำก่อน อีกเรื่องก็คือป้ายรถเมล์ ป้ายรถตู้ ป้ายรถแท็กซี่ แยกกันให้ถูก ไม่ใช่ให้ไปกระจุกอยู่ที่เดียวกันหมด เพราะคนขึ้นรถประเภทต่างๆมันคนละประเภทอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็ขอความร่วมมือไปยังฝ่ายต่างๆ เช่นขสมก. วินรถตู้ ปัญหาตอนนี้ก็คือจอดซ้อนคันกันอยู่เกะกะ ตำรวจก็น้อยจะไปคอยเฝ้าคงไม่ไหว ถ้าขสมก.บอกงบประมาณไม่พอ เดี๋ยวกทม.จะทำให้ไม่มีปัญหา เดี๋ยวหาสปอนเซอร์จากป้ายโฆษณาเอา เรื่องที่จะลดอุบัติเหตุจากท้องถนน เช่นถนนเป็นหลุมเป็นบ่อก็ทำให้ดีเสีย สี่แยกไหนเกิดอุบัติเหตุบ่อย เราก็มีวิศวกรให้คอยข้าไปดูแล ซึ่งถ้าอุบัติเหตุลดลง รถติดก็จะน้อยลงไปด้วย

ป้ายบอกทางก็จะช่วยได้อย่าง เวลาเร่งรีบ สมมุติไม่ทันก็มักง่ายขับรถปาดเลนเอาเสียเลย รถชนกันก็ติดยาว ปัญหาพวกนี้ผมเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมก็เป็นคนใช้รถใช้ถนน อีกเรื่องคือหาที่จอดรถแท็กซี่ให้กับพวกเขาดีๆ ไม่ต้องไปนั่งขับวนหาผู้โดยสาร เสียเงินค่าก๊าซ ค่าน้ำมัน เสียเวลา หาที่จอดแท็กซี่ ให้ จะเก็บค่าบริการทางแท็กซี่ก็น่าจะยินดี แบบในลักษณะที่ว่าเขารอลูกค้าได้เลย จัดระบบตรงนี้สามารถลดแท็กซี่ได้เป็นหมื่นๆ คันได้เลย แท็กซี่ตอนนี้มีจดทะเบียนอยู่ 1 แสนคัน ที่จอดรถก็เอาพวกคาร์ปาร์คเลยทำไปเป็นชั้น ส่งเสริมให้เอกชนช่วยกันทำที่จอดรถ ซึ่งแท็กซี่มีวิทยุอยู่แล้ว ลุกค้าสามารถที่จะโทรเรียกได้เลย ควรที่จะอยู่ในที่อันควร แยกเป็นโซนไป เรียกปุ๊ปก็วิ่งออกมารับ

24 ชม.ด้านการทำมาหากินเป็นอย่างไร

เน้นเรื่องเศรษฐกิจให้คนกทม.มีรายได้เพิ่ม ยกตัวอย่างปากคลองตลาด เขาทำมาหาตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ว่าต้องเสียค่าปรับ และโดนปรับมาไม่รู้กี่ปีแล้ว มันเหมือนผิดเป็นถูกไปแล้ว คำถามคือทำไมไม่ทำให้ถูกไปเสียเลย จากทำมาหากินแบบสุจริตเหมือนว่าเป็นคนผิดกฎหมาย เราก็สามารถปรับปรุงให้เป็นตลาดดอกไม้ที่สวยงามได้ จัดพื้นที่ใหม่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ดูความสะอาด ดูที่จอดรถ ทำให้มันดี หรือพื้นที่อื่นๆ ก็สามารถทำได้แบบนี้อีกเยอะ เช่น ห้วยขวาง มันแทบจะเป็นไนท์บาซ่าร์ได้อยู่แล้ว เป็นแหล่งทำกิน ฉะนั้นเราต้องเพิ่มแหล่งทำมาหากิน อานิสงส์ที่จะตามมาก็คือฟุตบาทก็จะหายไป อย่างห้วยขวางเราก็ทำหลังคากัน บางส่วนจะปิดถนนคนเดินยังได้ ให้มีรถรับส่งตลอดเวลา ตรงนี้ผมก็มีนโยบาย 50เขต 50 ยุทธศาสตร์มาสนับสนุนเป็นนโยบายช่วยในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม เป็นนโยบายในการมีส่วนรวมของประชาสังคม ไม่ใช่ใช้นโยบายเดียวไปใช้หมด 50 เขตคงเป็นไปไม่ได้ อย่างหนองจอกพื้นที่ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นพื้นที่เกษตรกรรม 85 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวมุสลิม หรืออย่างบางขุนเทียนมีพื้นที่เป็นทะเล แต่ละที่จึงต้องมียุทธศาสตร์ในเรื่องเศรษฐกิจสังคมที่แตกต่างกันออกไป ต้องทำให้มีจุดเด่นและความสมดุลในแต่ละเขต มีทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล แหล่งทำกิน ต้องครบและดี ถ้าพื้นที่ตัวเองดีแล้วก็จะได้ไม่ต้องไปเดินทางข้ามเขตไปทำงานไกล ให้เกิดปัญหารถติด เราจึงต้องพัฒนาให้แต่ละเขตมีความเจริญ การเดินทางที่อัดแน่นปัญหาจราจรรถติดขัดก็จะเบาบางลงไปให้มันกระจายออกไป บางคนต้องข้ามจังหวัดจากนครปฐม นนทบุรี เพื่อมาทำมาหากินในเขตเมืองหลวงที่มีคนเยอะ ถ้าทำให้แต่ละเขตเจริญดีขึ้นแล้วอะไรต่างๆจะตามมาเยอะแยะ

24 ชม.ด้านความปลอดภัย เป็นอย่างไร

ภัยใน กทม.มีหลายด้าน ภัยมนุษย์ ภัยอุบัติเหตุ สาธารณภัย 3 ด้านนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษ ทุกวันนี้ห่วยทั้ง 3 ภัย อย่างภัยมนุษย์ ทุกวันนี้คนแก่อายุ 50กว่าๆ ยังโดนข่มขืนได้ ภัยมืดเกิดจากบางทีถนนหนทางขาดความสว่างก็ต้องไปติดให้มันสว่างแบบเมืองเซี่ยงไฮ้ไปเลย มีความสวยงาม หรือจะให้มีไนท์ทัวร์เที่ยวกลางคืน โดยจะทำให้กรุงเทพฯมีไฟสว่างรอบกรุง มีกล้องวงจรปิด หรือ CCTV รอบกรุง รวมทั้งมี รปภ.ทั่วทั้ง 50 เขตจุดเสี่ยง และจะมีการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูล GPS ที่ติดในรถแท็กซี่ทุกคัน เพื่อให้คน กทม.หรือประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบเส้นทางการเดินทางของรถแท็กซี่ ที่บุตรหลาน หรือตัวท่านนั่งใช้บริการว่าไปถูกเส้นทางหรือไม่ และอีกกี่นาทีจะถึงจุดหมาย

24 ชม.ด้านการเรียนรู้ เป็นอย่างไร

คือห้องสมุดต้องเปิด 24 ชั่วโมง อยากเรียนต่อปริญญาโท เรียนได้เลยหลังเที่ยงคืน คนทำงานกะกลางคืนดูเหมือนว่าชีวิตเสียเปรียบคนอื่นหมดเลย เลิกเที่ยงคืนจะไปเรียนต่อก็ไม่มีที่ไหนมี จะไปสวนสาธารณะก็ปิด ออกกำลังกายก็ไม่ได้ ถ้าจะทำให้คนกรุงเทพฯ มีสุขภาพดีขึ้น โรงพยาบาลต้องมีทุกเขต ต้องมีศูนย์อนามัยที่คอยรักษาโรคที่ไม่ร้ายแรงมาก เป็นเรื่องที่แบบต้องเปลี่ยนใหม่หมด ผมจะจัดตั้งโรงเรียนสาธิต กทม. ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ เพื่อรวบรวมเด็กๆ ที่ขาดโอกาสทางการศึกษา และการยกระดับโรงเรียนของ กทม.ให้เทียบเท่าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โดยจะมีการประสานความร่วมมือกับโรงเรียนรัฐที่เด่นและดัง ที่มีคณะครูอาจารย์เป็นที่ยอมรับในสังคมการศึกษา นำมาถ่ายทอดสดระบบการศึกษาผ่านโทรทัศน์ดาวเทียมและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.ทุกแห่ง ได้เรียนกับคณะครู อาจารย์ที่สอนอยู่โรงเรียนรัฐบาลที่เด่นดังทางการศึกษา เพื่อยกระดับให้มีมาตรฐานเดียวกันหมด และยังเป็นการเพิ่มคุณภาพการเรียนการสอนได้พร้อมๆกัน และในส่วนของประชาชนทั่วไปนั้น ก็จะมีการเปิดไวไฟอินเตอร์เน็ตความเร็ว 20 เมก ให้กับคน กทม. เพื่อให้คน กทม.เข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตที่เป็นจริง นอกจากนี้ยังมีการเปิดบริการห้องสมุดประชาชนในสังกัด กทม. 24 ชั่วโมง รวมทั้งเปิดศูนย์อินเตอร์เน็ตอีกด้วย

นี่คือภาพรวมของผู้ประสานสิบทิศ ผู้ว่าฯ กทม. 3 กะ 24 ชม. และเน้นย้ำ ไปเลยก็คือปราศจากจากพรรคการเมือง

เหตุผลที่คน กทม.ต้องเลือกโฆสิต คืออะไร

เหตุผลที่ต้องเลือกผมก็คือถ้าประชาชนเลือกคนจากพรรคการเมืองเหมือนเดิม ก็ได้เจอปัญหาแบบเดิม จะรอยต่อหรือไร้รอยต่อมันไม่จริงทั้งนั้น วันนี้คนไปเชื่อไปหลงทางคำพูดไม่เลือกเรา เดี๋ยวเขามา เพราะนี่คือกำลังหยิบความขัดแย้งระดับชาติมาใส่คนกรุงเทพฯ สมมุติวันนี้ถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้ วันนี้เลือกคนจากพรรคเพื่อไทยเจอด่านแรกอย่าง สภาฯ กทม.ก็แย่แล้ว ที่มีเสียงข้างมากของพรรคประชาธิปัตย์อยู่เต็มไปหมด ยิ่งซ้ำไปกว่านั้นจะมีม็อบไล่ผู้ว่าฯ กทม. ด้วยซ้ำไป ความขัดแย้งจะยิ่งขยายตัวออกไปอีก วันนี้คน กทม.จำเป็นต้องเลือกผู้สมัครอิสระ ที่สามารถประสานได้ทุกฝ่าย เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ดี ผมจึงออกมาเสนอตัวและคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด

มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า โฆสิต เป็นนอมินีหรืออะไหล่ของใครบางคนหรือไม่ รวมไปถึงของคุณทักษิณ ชินวัตร

ผมเป็นนอมินีของคนเบื่อการเมือง ผมเป็นนอมินีของพลังเงียบ และผมสนิทกับทุกพรรคการเมือง มีรูปของผมที่เคยร่วมงานกับคนของทุกพรรคการเมือง

การลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ รอบนี้มาตัดเสียงของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่

แสดงว่าฝ่ายที่พูดกลัวผมไง เพราะผมลงมาสมัครจะเป็นการตัดเสียงทุกฝ่าย ผมคือโฆสิต อดีตประธานมีเดีย ออฟ มีเดียส์ และเคยเป็นประธานสถานีสปริง นิวส์ ผมคงไม่โหล่ยโท่ยขนาดไปรับจ็อบมาเป็นนอมินีให้ใครหรอก ถ้าเป็นแบบที่กล่าวหาผมลงในนามพรรคการเมืองไม่ดีกว่าหรือ ผมว่าทุกพรรคการเมืองอยากได้ผม ถ้าผมอยากจะลงสมัครเป็นตัวแทนพรรค มาถึงตรงนี้ผมยังยืนยันว่าผมเป็นนอมินีของคนเบื่อการเมือง คนเบื่อพรรคการเมือง เป็นนอมินีของพลังเงียบ

มาถึงตรงนี้ยังมั่นใจว่าจะชนะหรือไม่ เพราะดูจากผลโพลคะแนนของผู้สมัครอิสระยังห่างไกลจากพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรคพอสมควร

ถ้าคนแบบผมเชื่อโพล รายการบ้านเลขที่ 5 จะไม่มีวันเกิดขึ้น
ขนาดบริษัทเอซีนีลเส็น จำกัด (บริษัทบริการข้อมูลทางการตลาดชั้นนำของโลก) ยังต้องฟัง มาติดมอนิเตอร์ดู เพราะผลสำรวจบอกชัดเลยว่าตอนเช้าไม่มีคนดูข่าว ขนาดรายการบ้านเลขที่ 5 ทำขึ้นมาแล้ว เรทติ้งก็ยังบอกว่ามีอยู่ประมาณ 0.01 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งถ้าผมเชื่อแบบนี้ก็จะไม่มีรายการที่นี่ประเทศไทย ที่ออกอากาศหลังข่าว เพราะผลวิจัยบอกว่ารายการหลังข่าวต้องเป็นละครเท่านั้น แต่สุดท้ายรายการที่นี้ประเทศไทยก็ดังในที่สุด

การตัดสินใจในการลงเลือกตั้งผู้ว่า กทม.เป็นผู้สมัครอิสระใช้ตรรกะที่กล่าวมา

ใช่ครับ ใช้ตรรกะเดียวกัน ยิ่งโพลการเมืองยิ่งเชื่อยาก เอาง่ายๆ ผมถามคุณตอนนี้เลย คุณเลือกใคร คุณก็คงไม่กล้าบอกผม อย่างคนชอบเพื่อไทยถามเลือกใครเขาก็บอก ถามประชาธิปัตย์เลือกใครเขาก็บอก ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ออกมาส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นสองพรรคนี้ เพราะคนทั่วไปที่จะเลือกผู้สมัครอิสระไม่ค่อยกล้าบอก ก็เล่นเลือกไปถามแต่คนที่ชื่นชอบอยู่แล้ว จะเป็นโพลตัวแทนได้อย่างไร วันนี้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีเซนซิทีฟสูง เป็นศูนย์กลางความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อนกันไปด้วยกันยังไม่อยากคุยเรื่องการเมือง ครอบครัวเดียวกันยังแยกช่องกันดู เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เบื่อการเมือง เบื่อความขัดแย้ง ต้องผู้สมัครอิสระจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้

มาถึงตรงนี้ยังมั่นใจว่าจะไม่แพ้

ผลโพล ไม่ได้บั่นทอนความมั่นใจผมลงไปเลย อย่างที่ยกตัวอย่างความไม่น่าจะเป็นของรายการบ้านเลขที่ 5 กับรายการที่นี่ประเทศไทย ผมเชื่อจากที่ผมสัมผัส

นโยบายที่ยกมาทั้งหมดสามารถทำได้จริงแค่ไหน

ไม่ใช่เรื่องยากเลย ไม่ต้องไปอาศัยหลายฝ่าย อย่างป้ายจราจรบอกทางก็สั่งการได้เลย วันนี้ยังเอาตัวเองไปยืนอยู่เลย ยิ่งถ้าได้ตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ กทม.จะง่ายกว่านี้อีกเยอะ สั่งทำก็ขึ้นพรึ่บเต็มเมืองไปหมด จัดระเบียบจราจรก็ทำง่ายอย่างที่บอกไป ผมเป็นนักบริหารหน้าที่หลักคือแก้ปัญหา ทำทีวีรายการที่ไม่มีคนดูยากกว่านี้ยังทำมาแล้ว การบริหารในตำแหน่งผู้ว่า กทม.ง่ายกว่า เพราะเห็นปัญหาเห็นทางออกทำได้เลย จับต้องได้ ประชาชนต้องการแก้ตรงไหนไม่ใช่เรื่องยาก

ถ้าแพ้จากสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.รอบนี้จะไปทำอะไรต่อ

ต้องดูอีกทีในเรื่องคะแนนที่ได้รับ ที่สำคัญคือถ้าคนกรุงเทพฯยังไม่เปลี่ยนแปลงก็สิ้นหวังสำหรับประเทศไทย เพราะเมืองหลวงแห่งนี้เป็นศูนย์กลางประเทศไทย วันนี้ถ้ากรุงเทพฯยังไม่ก้าวพ้นความขัดแย้งทางการเมือง ยังกลับไปเลือกคนจากพรรคการเมืองอีก ทั้งที่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของคนกรุงเทพฯมาถึงแล้ว อย่างที่ได้วิเคราะห์ออกไป ทั้งบรรยากาศ โอกาส ความรู้สึก อารมณ์ ถ้าคนกรุงเทพฯ ยังเลือกพรรคเหมือนเดิมผมก็หมดความหวังจะแก้ปัญหา ทำอะไรให้บ้านเมืองนี้ดีขึ้น





กำลังโหลดความคิดเห็น