ASTVผู้จัดการรายวัน -หุ้นไทยพุ่ง 25 จุด สูงสุดในรอบ18ปี วอลุ่มเทรด 7.2 หมื่นล้าน จากแรงซื้อนักลงทุนต่างชาติ ด้าน ก.ล.ต.ยืนยันไม่จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการคุมหุ้นร้อน ชี้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเคลื่อนไหวปกติ ไม่ควรแทรกแซง ด้าน “โกลเบล็ก” และ “ภัทร” เห็นพ้องปีนี้หุ้นไทย 1,700 จุด จากมาตรการภาครัฐหนุน ชูกลุ่ม วัสดุก่อสร้าง รับเหมา โดดเด่น
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้(13ก.พ.) เข้าภาวะกระทิงดุ โดยปิดตลาดที่ 1,514.11 จุด เพิ่มขึ้น 25.16 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 1.69% มูลค่าการซื้อขาย 72,023.79 ล้านบาท แม้มีแรงเก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ ภาพรวมดัชนีทะยานตัวในแดนบวกตามตลาดต่างประเทศ ท่ามกลางแรงเก็งกำไรหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้า ซึ่งพบว่าระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีปรับตัวไปแตะระดับสูงสุดที่ 1,516.21 จุด พุ่งขึ้นเกือบ 27 จุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปี ครั้งใหม่
ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนยังประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ น่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อสกัดเงินทุนไหลเข้า หลังจากที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ออกมาส่งสัญญาณหลายรอบ และในวันนี้ก็ออกมาส่งสัญญาณอีก
**ก.ล.ต.ยันไม่เพิ่มมาตรการคุมหุ้น
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูง และปรับตัวร้อนแรง แต่การเคลื่อนไหวของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ยังเป็นปกติ ไม่มีอะไรที่น่ากังวล
นอกจากนี้พบว่า มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้น มาจากนักลงทุนในประเทศที่หันไปลงทุนในหุ้นนอกSET100 ซึ่งมีP/Eที่สูงมาก โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนมาโดยตลอด
“อยากเตือนให้นักลวทุนพิจารณาพื้นฐานของหุ้นนั้นๆด้วย ว่ามีความเหมาะสมกับราคาที่เป็นอยู่หรือไม่ โดยรวมยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มาตรการอะไรเพิ่มเติม เพื่อเข้ามาควบคุมดูแลในเรื่องนี้ การที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้แคลซบาลานซ์กับหุ้นเหล่านั้นก็ถือเป็นขั้นตอนในการควบคุมปกติ ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศก็ควรปล่ยอให้เป็นไปตามกลไก ไม่ควรเข้าไปแทรงแซง”
อย่างไรก็ตาม อยากฝากไปถึงนักวิเคราะห์ และสมาคมานักวิเคราะห์ ให้จัดทำบทวิเคราะห์ถึงหุ้นที่มีความร้อนแรงเหล่านี้ ด้วยเชิงคุณภาพ และควรกำหนดราคาเป้าหมายที่มีความเหมาะสมกับ
***โกลเบล็กคาดปีนี้หุ้น1,700จุด
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.) โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะสามารถแตะที่ระดับ 1,700 จุด จากปริมาณเงินในระบบที่เพิ่มขึ้น 5 เท่าจากมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินจาก ECB, BOJ, FED โดยในครึ่งปีแรกเชื่อว่า ดัชนีจะอยู่ในกรอบดัชนี 1,450 - 1,550 จุดได้ ซึ่งตลาดจะเผชิญแรงขายหลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องรับ Fund Flows ที่ไหลเข้ามาในเอเชียแล้วในระดับสูง แต่ Downside Risk ถูกจำกัดจาก Trigger Funds ที่คอยซื้อหุ้นเมื่อดัชนีปรับตัวลง
ทั้งนี้มองว่าตลาดหุ้นไทย ยังคงมีปัจจัยบวกในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาล อาทิ มาตรการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกว่า 2.3 ล้านล้านบาท ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มที่น่าจะได้รับอานิสงค์ดังกล่าว คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง พร้อมทั้งยังคงให้น้ำหนักหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ กลุ่มสื่อสาร ประกอบกับ ทิศทางเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศยุโรป ปรับตัวผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
“ เรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีแรกมีโอกาสแตะระดับ 1,550 จุด เพราะมีหลายปัจจัยบวกสนับสนุนให้ดัชนีราคาหุ้นขยับตัวสูงขึ้น อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ด้วยแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย การผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ต่อเนื่องจากการลงทุนภาครัฐ”
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนในหุ้น 25% ขาย CK, ITD แล้วเปลี่ยนตัวเข้า STEC, UNIQ ถือ CNT เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มีการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ประกอบกับระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ในขณะเดียวกันสถานการณ์ทางการเมือง ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เลือก KSL, AMATA, BGH เป็น Top Picks ประจำเดือน ก.พ.
** “ภัทร”เอาด้วย1,700จุด-งานรัฐหนุน
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดตราสารทุน บล.ภัทร กล่าว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บล.ภัทรได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ขึ้นเป็น 1,700จุด จากเป้าเดิมที่ประเมินไว้เมื่อต.ค.55 ที่ 1,500จุด เนื่องจากดัชนีได้ขึ้นมาถึงเป้าเดิมที่วางไว้ แต่เป้าหมายใหม่ที่ 1,700จุด จะไปได้ถึงหรือใหม่จะอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือการคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวได้ 15-17% และมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมูลค่า2.2ล้านล้านบาท รวมถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5แสนล้านบาท ที่ต้องเห็นความคืบหน้า ออกมาในปีนี้ หลังเห็นความชัดเจนในการอนุมัติงบ และระยะเวลาในการเบิกจ่าย
นอจากนี้ ปัจจัยเศรษฐกิจโลกต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เป็นลบจากแนวโน้มปัจจุบันที่ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ถดถอยแล้วและเริ่มฟื้นตัว ส่วนเศรษฐกิจยุโรปเชื่อว่าไม่มีประเทศไหนจะล้มละลายหรือวิกฤติหนักไปกว่านี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังมีมุมมองเชิงบวกแต่ยังต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการลงทุนในครึ่งปีแรก
โดยนักลงทุนต้องเลือกลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ในกลุ่มธุรกิจที่ยังมีโอกาสเติบโตหรือขยายตัวได้จริงๆเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงานและอสังหาริมทรัพย์
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้(13ก.พ.) เข้าภาวะกระทิงดุ โดยปิดตลาดที่ 1,514.11 จุด เพิ่มขึ้น 25.16 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 1.69% มูลค่าการซื้อขาย 72,023.79 ล้านบาท แม้มีแรงเก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ ภาพรวมดัชนีทะยานตัวในแดนบวกตามตลาดต่างประเทศ ท่ามกลางแรงเก็งกำไรหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้า ซึ่งพบว่าระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีปรับตัวไปแตะระดับสูงสุดที่ 1,516.21 จุด พุ่งขึ้นเกือบ 27 จุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปี ครั้งใหม่
ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนยังประเมินว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ น่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อสกัดเงินทุนไหลเข้า หลังจากที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ออกมาส่งสัญญาณหลายรอบ และในวันนี้ก็ออกมาส่งสัญญาณอีก
**ก.ล.ต.ยันไม่เพิ่มมาตรการคุมหุ้น
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูง และปรับตัวร้อนแรง แต่การเคลื่อนไหวของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ยังเป็นปกติ ไม่มีอะไรที่น่ากังวล
นอกจากนี้พบว่า มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้น มาจากนักลงทุนในประเทศที่หันไปลงทุนในหุ้นนอกSET100 ซึ่งมีP/Eที่สูงมาก โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนมาโดยตลอด
“อยากเตือนให้นักลวทุนพิจารณาพื้นฐานของหุ้นนั้นๆด้วย ว่ามีความเหมาะสมกับราคาที่เป็นอยู่หรือไม่ โดยรวมยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มาตรการอะไรเพิ่มเติม เพื่อเข้ามาควบคุมดูแลในเรื่องนี้ การที่ตลาดหลักทรัพย์ประกาศใช้แคลซบาลานซ์กับหุ้นเหล่านั้นก็ถือเป็นขั้นตอนในการควบคุมปกติ ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศก็ควรปล่ยอให้เป็นไปตามกลไก ไม่ควรเข้าไปแทรงแซง”
อย่างไรก็ตาม อยากฝากไปถึงนักวิเคราะห์ และสมาคมานักวิเคราะห์ ให้จัดทำบทวิเคราะห์ถึงหุ้นที่มีความร้อนแรงเหล่านี้ ด้วยเชิงคุณภาพ และควรกำหนดราคาเป้าหมายที่มีความเหมาะสมกับ
***โกลเบล็กคาดปีนี้หุ้น1,700จุด
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.) โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะสามารถแตะที่ระดับ 1,700 จุด จากปริมาณเงินในระบบที่เพิ่มขึ้น 5 เท่าจากมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินจาก ECB, BOJ, FED โดยในครึ่งปีแรกเชื่อว่า ดัชนีจะอยู่ในกรอบดัชนี 1,450 - 1,550 จุดได้ ซึ่งตลาดจะเผชิญแรงขายหลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องรับ Fund Flows ที่ไหลเข้ามาในเอเชียแล้วในระดับสูง แต่ Downside Risk ถูกจำกัดจาก Trigger Funds ที่คอยซื้อหุ้นเมื่อดัชนีปรับตัวลง
ทั้งนี้มองว่าตลาดหุ้นไทย ยังคงมีปัจจัยบวกในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาล อาทิ มาตรการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกว่า 2.3 ล้านล้านบาท ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มที่น่าจะได้รับอานิสงค์ดังกล่าว คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง พร้อมทั้งยังคงให้น้ำหนักหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ กลุ่มสื่อสาร ประกอบกับ ทิศทางเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศยุโรป ปรับตัวผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
“ เรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีแรกมีโอกาสแตะระดับ 1,550 จุด เพราะมีหลายปัจจัยบวกสนับสนุนให้ดัชนีราคาหุ้นขยับตัวสูงขึ้น อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ด้วยแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย การผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ต่อเนื่องจากการลงทุนภาครัฐ”
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนในหุ้น 25% ขาย CK, ITD แล้วเปลี่ยนตัวเข้า STEC, UNIQ ถือ CNT เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มีการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ประกอบกับระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ในขณะเดียวกันสถานการณ์ทางการเมือง ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เลือก KSL, AMATA, BGH เป็น Top Picks ประจำเดือน ก.พ.
** “ภัทร”เอาด้วย1,700จุด-งานรัฐหนุน
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดตราสารทุน บล.ภัทร กล่าว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บล.ภัทรได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ขึ้นเป็น 1,700จุด จากเป้าเดิมที่ประเมินไว้เมื่อต.ค.55 ที่ 1,500จุด เนื่องจากดัชนีได้ขึ้นมาถึงเป้าเดิมที่วางไว้ แต่เป้าหมายใหม่ที่ 1,700จุด จะไปได้ถึงหรือใหม่จะอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือการคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวได้ 15-17% และมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมูลค่า2.2ล้านล้านบาท รวมถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5แสนล้านบาท ที่ต้องเห็นความคืบหน้า ออกมาในปีนี้ หลังเห็นความชัดเจนในการอนุมัติงบ และระยะเวลาในการเบิกจ่าย
นอจากนี้ ปัจจัยเศรษฐกิจโลกต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เป็นลบจากแนวโน้มปัจจุบันที่ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ถดถอยแล้วและเริ่มฟื้นตัว ส่วนเศรษฐกิจยุโรปเชื่อว่าไม่มีประเทศไหนจะล้มละลายหรือวิกฤติหนักไปกว่านี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังมีมุมมองเชิงบวกแต่ยังต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการลงทุนในครึ่งปีแรก
โดยนักลงทุนต้องเลือกลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ในกลุ่มธุรกิจที่ยังมีโอกาสเติบโตหรือขยายตัวได้จริงๆเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงานและอสังหาริมทรัพย์