“ยูนิลีเวอร์” กางแผนยุทธศาสตร์ปี 2020 ยอดขายทั่วโลกต้องทะลุ 80,000 ล้านยูโร โตเท่าตัวจากปี 2010 เชื่อผู้บริโภคไทยเข้าสู่กลุ่มชนชั้นกลางมากขึ้น ปีนี้ทุ่ม 2,800 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตและแวร์เฮ้าส์ หวังดันยอดขายโต 2 หลัก ทะลุ 40,000 ล้านบาท
นายบาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทยและอินโดไชน่า เปิดเผยว่า ตามแผนการดำเนินงานของยูนิลีเวอร์ทั่วโลก ตั้งเป้าว่าภายในปี 2020 หรือปี 2563 จะต้องมีรายได้รวมประมาณ 80,000 ล้านยูโร คิดเป็นการเติบโตขึ้นอีกเท่าตัวจากปี 2010 หรือปี 2553 ที่ผ่านมา โดยจะต้องลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นผู้นำและเติบโตอย่างรับผิดชอบ และสร้างตลาดใหม่ๆ
ในส่วนของไทยนั้น เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังแข็งแกร่งและน่าจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 3-4% ขณะที่ค่าแรง 300 บาท มองเป็นผลบวกต่อการดำเนินธุรกิจของยูนิลีเวอร์ เพราะผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากยิ่งขึ้น การแข่งขันในตลาดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งผลบวกคือ 1.ประเทศไทยมีศักยภาพในการลงทุนอย่างมาก 2.ค่าแรงไทยยังต่ำกว่าประเทศอื่นๆ
และจำนวนคนว่างงานต่ำหรือแทบเป็นศูนย์ 3.ภาคธุรกิจยังแข็งแรง และ 4.กำลังก้าวสู่การแข่งขันในระดับภูมิภาค
สำหรับตลาดในประเทศไทยพบว่า ปัจจุบันคนไทยใช้สินค้าของยูนิลีเวอร์ 60,400 ล้านครั้งต่อปี หรือคิดเป็น 1,000 ครั้งต่อคนต่อปี หรือ 3 ครั้งต่อคนต่อวัน และมองว่าภายในปี 2563 กลุ่มชนชั้นกลางจะมีมากขึ้นจากปี 2553 กลุ่มชนชั้นกลางมีสัดส่วนที่ 35% และในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 42% ส่งผลให้บริษัทต้องมีการปรับกลยุทธ์รับมือภายใต้โมเดลแห่งการสร้างและพัฒนาตลาด ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1.มุ่งสร้างฐานลูกค้าใหม่ 2.มุ่งให้ลูกค้ากลุ่มเดิมใช้สินค้ามากขึ้น และ 3.พัฒนาสินค้าให้มีคุณประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ล่าสุดปีนี้บริษัทลงทุน 2,800 ล้านบาท สำหรับ 1.เปิดโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนชนิดน้ำ เช่น ผงซักฟอก สูตรน้ำ และน้ำยาปรับผ้านุ่ม คอมฟอร์ท พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆตอบโจทย์กลุ่มคนชั้นกลางมากขึ้น ที่โรงงานของยูนิลีเวอร์ ณ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ด้วยงบ 800 ล้านบาท ผลิตเพื่อความต้องการในประเทศและที่เหลือสำหรับตลาดเพื่อนบ้านทั้งลาว เขมร เวียดนาม เป็นต้น เนื่องจากไทยถือเป็นฐานผลิตสำหรับภูมิภาคนี้อยู่แล้ว
2.สร้างศูนย์กระจายสินค้า ณ บางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และบริษัทยังคงใช้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องเช่นปีที่ผ่านมา
นายบาวเค่อ กล่าวต่อว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ทั้ง 11 แคตากอรี่ของยูนิลีเวอร์ในไทยในปีที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้นแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วส่งผลให้ทั้งปีมีรายได้รวมที่ 40,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 13% สูงกว่าภาพรวมของตลาด ขณะที่ปีนี้เชื่อว่าจะมียอดขายรวมเติบโตขึ้น 2 หลัก หรือมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
นายบาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทยและอินโดไชน่า เปิดเผยว่า ตามแผนการดำเนินงานของยูนิลีเวอร์ทั่วโลก ตั้งเป้าว่าภายในปี 2020 หรือปี 2563 จะต้องมีรายได้รวมประมาณ 80,000 ล้านยูโร คิดเป็นการเติบโตขึ้นอีกเท่าตัวจากปี 2010 หรือปี 2553 ที่ผ่านมา โดยจะต้องลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นผู้นำและเติบโตอย่างรับผิดชอบ และสร้างตลาดใหม่ๆ
ในส่วนของไทยนั้น เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังแข็งแกร่งและน่าจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 3-4% ขณะที่ค่าแรง 300 บาท มองเป็นผลบวกต่อการดำเนินธุรกิจของยูนิลีเวอร์ เพราะผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากยิ่งขึ้น การแข่งขันในตลาดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งผลบวกคือ 1.ประเทศไทยมีศักยภาพในการลงทุนอย่างมาก 2.ค่าแรงไทยยังต่ำกว่าประเทศอื่นๆ
และจำนวนคนว่างงานต่ำหรือแทบเป็นศูนย์ 3.ภาคธุรกิจยังแข็งแรง และ 4.กำลังก้าวสู่การแข่งขันในระดับภูมิภาค
สำหรับตลาดในประเทศไทยพบว่า ปัจจุบันคนไทยใช้สินค้าของยูนิลีเวอร์ 60,400 ล้านครั้งต่อปี หรือคิดเป็น 1,000 ครั้งต่อคนต่อปี หรือ 3 ครั้งต่อคนต่อวัน และมองว่าภายในปี 2563 กลุ่มชนชั้นกลางจะมีมากขึ้นจากปี 2553 กลุ่มชนชั้นกลางมีสัดส่วนที่ 35% และในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 42% ส่งผลให้บริษัทต้องมีการปรับกลยุทธ์รับมือภายใต้โมเดลแห่งการสร้างและพัฒนาตลาด ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1.มุ่งสร้างฐานลูกค้าใหม่ 2.มุ่งให้ลูกค้ากลุ่มเดิมใช้สินค้ามากขึ้น และ 3.พัฒนาสินค้าให้มีคุณประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ล่าสุดปีนี้บริษัทลงทุน 2,800 ล้านบาท สำหรับ 1.เปิดโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนชนิดน้ำ เช่น ผงซักฟอก สูตรน้ำ และน้ำยาปรับผ้านุ่ม คอมฟอร์ท พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆตอบโจทย์กลุ่มคนชั้นกลางมากขึ้น ที่โรงงานของยูนิลีเวอร์ ณ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ด้วยงบ 800 ล้านบาท ผลิตเพื่อความต้องการในประเทศและที่เหลือสำหรับตลาดเพื่อนบ้านทั้งลาว เขมร เวียดนาม เป็นต้น เนื่องจากไทยถือเป็นฐานผลิตสำหรับภูมิภาคนี้อยู่แล้ว
2.สร้างศูนย์กระจายสินค้า ณ บางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และบริษัทยังคงใช้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องเช่นปีที่ผ่านมา
นายบาวเค่อ กล่าวต่อว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ทั้ง 11 แคตากอรี่ของยูนิลีเวอร์ในไทยในปีที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้นแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วส่งผลให้ทั้งปีมีรายได้รวมที่ 40,000 ล้านบาท เติบโตกว่า 13% สูงกว่าภาพรวมของตลาด ขณะที่ปีนี้เชื่อว่าจะมียอดขายรวมเติบโตขึ้น 2 หลัก หรือมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา