ยูนิลีเวอร์กางแผนยุทธศาสตร์ปี 2020 ยอดขายทั่วโลกทะลุ 80,000 ล้านยูโร โตเท่าตัวจากปี 2010 พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้โมเดลแห่งการสร้างและพัฒนาตลาด เชื่อผู้บริโภคไทยเข้าสู่กลุ่มชนชั้นกลางมากขึ้น มุ่งพัฒนาสินค้าตอบโจทย์สร้างยอดขาย ล่าสุดทุ่ม 2,800 ล้านบาทเพิ่มกำลังการผลิตกลุ่มสินค้าประเภทลิควิด และแวร์เฮาส์ หวังดันยอดขายโต 2 หลัก ไม่ต่ำจากปีก่อนที่เติบโต 13% ทะลุ 40,000 ล้านบาท
นายบาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทยและอินโดไชน่า เปิดเผยว่า ตามแผนการดำเนินงานของยูนิลีเวอร์ทั่วโลก ตั้งเป้าว่าภายในปี 2020 หรือปี 2563 จะต้องมีรายได้ที่ 80,000 ล้านยูโร คิดเป็นการเติบโตขึ้นอีกเท่าตัวจากปี 2010 ที่ผ่านมา โดยจะต้องลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นผู้นำและเติบโตอย่างรับผิดชอบ และสร้างตลาดใหม่ๆ
ในส่วนของไทยนั้น เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังแข็งแกร่งและน่าจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 3-4% ขณะที่ค่าแรง 300 บาทมองเป็นผลบวกต่อการดำเนินธุรกิจของยูนิลีเวอร์ มองว่าผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดจะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด มองว่า 1. ประเทศไทยมีศักยภาพในการลงทุนอย่างมาก 2. ค่าแรงไทยยังต่ำกว่าประเทศอื่นๆ และจำนวนคนว่างงานต่ำหรือแทบเป็นศูนย์ 3. ภาคธุรกิจยังแข็งแรง และ 4. กำลังก้าวสู่การแข่งขันในระดับภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดในประเทศไทย บริษัทสำรวจพบว่าปัจจุบันคนไทยใช้สินค้าของยูนิลีเวอร์อยู่ที่ 60,400 ล้านครั้งต่อปี หรือคิดเป็น 1,000 ครั้งต่อคนต่อปี หรือ 3 ครั้งต่อคนต่อวัน และมองว่าภายในปี 2563 กลุ่มชนชั้นกลางจะมีมากขึ้น จากปี 2553 กลุ่มชนชั้นกลางมีสัดส่วนที่ 35% และในปี 2563 จะเพิ่มเป็น 42% ส่งผลให้บริษัทต้องมีการปรับกลยุทธ์รับมือภายใต้โมเดลแห่งการสร้างและพัฒนาตลาด สร้างตลาดให้เติบโตด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1. มุ่งสร้างฐานลูกค้าใหม่ 2. มุ่งให้ลูกค้ากลุ่มเดิมใช้สินค้ามากขึ้น และ 3. พัฒนาสินค้าให้มีคุณประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ล่าสุดปีนี้บริษัทพร้อมลงทุนต่อเนื่องอีกกว่า 2,800 ล้านบาท สำหรับ 1. เปิดโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนชนิดน้ำ เช่น ผงซักฟอกสูตรน้ำ และน้ำยาปรับผ้านุ่มคอมฟอร์ท โดยเน้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์กลุ่มคนชั้นกลางมากขึ้น ภายในพื้นที่โรงงานของยูนิลีเวอร์ ณ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ด้วยงบ 800 ล้านบาท ทั้งนี้ การผลิตหลักเพื่อความต้องการในประเทศ และที่เหลือสำหรับตลาดเพื่อนบ้านทั้งลาว เขมร เวียดนาม เป็นต้น เนื่องจากไทยถือเป็นฐานผลิตสำหรับภูมิภาคนี้อยู่แล้ว
2. สร้างศูนย์กระจายสินค้า ณ บางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านลอจิสติกส์มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ในส่วนของงบโฆษณาประชาสัมพันธ์บริษัทยังคงใช้ต่อเนื่องเช่นปีที่ผ่านมา และจะใช้ให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อการสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการสร้างและพัฒนาตลาดใหม่ๆ
สำหรับการสร้างและพัฒนาตลาดใหม่ๆ นั้น บริษัทได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้วในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น 1. กลุ่มเส้นผมเชื่อว่าตลาดจะเติบโตได้ดีมาจากเซกเมนต์กลุ่มผลิตภัณฑ์หลังการสระผม เช่น ครีมนวดผม ทรีตเมนต์ เป็นต้น ดังนั้น สำหรับแบรนด์ซันซิล จึงมุ่งกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภคให้มีประสบการณ์กับสินค้าและการสื่อสารทุกช่องทางเพื่อให้รู้ถึงประโยชน์ของการใช้ครีมนวดผม จนส่งผลให้มียอดขายเพิ่มขึ้น 25%ในปีที่ผ่านมา
2. กลุ่มเพอร์ซันนัลแคร์ พบว่าเซกเมนต์สำหรับผู้ชายมีโอกาสเติบโตและทำให้ตลาดเติบโตได้มากที่สุด จึงได้ทำตลาดสำหรับกลุ่มนี้มากขึ้น ภายใต้แบรนด์เคลียร์เมน จนทำให้เพิ่มการใช้ผลิตภัณฑ์จากเดิม 7% จากปี 54 มาเป็น 9.9% ในปี 55 ส่วนแบรนด์วาสลีน เมน เพิ่มอัตราการใช้ 3.3% เป็น 3.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ยอดขายรวมของผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายเพิ่มขึ้น 25% ในปีที่ผ่านมา 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน อาหาร และไอศกรีม พบว่า จากที่มีการพัฒนาโจ๊กคนอร์ ปีที่ผ่านมามียอดขายสูงขึ้น 49% จากปี 2553 และล่าสุดกับไอศกรีมแม็กนั่ม จากการรีลอนช์ครั้งล่าสุดมียอดขายเติบโตขึ้นถึง 400%
นายบาวเค่อ กล่าวต่อว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ทั้ง 11 แคทิกอรีของยูนิลีเวอร์ในไทย พบว่าในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วส่งผลให้ทั้งปีมีรายได้รวมที่ 40,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตกว่า 13% สูงกว่าภาพรวมของตลาด ขณะที่ปีนี้เชื่อว่าจะมียอดขายรวมเติบโตขึ้น 2 หลัก หรือมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา