xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สันดาน“แมลงสาบ” ซ้ำเติม “วีรสตรีราตรี” แทน “กราบเท้า” ขอขมา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ไม่ได้โกรธ เพราะว่า เขาไม่ช่วยเรา แต่โกรธว่า ทำไมเขาไม่ช่วยดูแลประเทศชาติ ทำกับจะเอาประเทศชาติของเราไปใส่จานใส่พานถวายให้เขาเลยเหรอ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ คือ จากที่เรา 2 คนถูกกระทำมาเนี่ย จริงอยู่มันก็คือการเสียสิทธิ์ เสียอิสรภาพของเรา มองในแง่ของคน 2 คนเนี่ย มันก็คือการเสียอิสรภาพแค่นี้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่แค่นั้น มันมากกว่านั้น ก็คือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งรัฐบาลไม่ยอมรักษาไว้มากกว่าที่อยากจะให้มอง เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน คุณไม่เข้ามาดูแล ทั้งๆ ที่คุณเป็นรัฐบาล เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ แต่คุณละเว้นที่จะไม่ดูแลสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าโกรธมากกว่าค่ะ”

นั่นคือเสียงตำหนิของ “นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์” ต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาออกพระราชกำหนดพระราชทานอภัยโทษและเดินทางกลับมาถึงราชอาณาจักรไทยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556

เสียงตำหนิของนางสาวราตรีได้กระชากหน้ากากอันจอมปลอมของรัฐบาลอัปรีย์สิทธิ์ออกมาให้เห็น อย่างไม่มีชิ้นดีว่า นอกจากจะไม่พิทักษ์และปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ยังมีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองอันสามานย์แอบแฝงอยู่ด้วย

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่นางสาวราตรีถูกจำคุกในเรือนจำเปรซอว์ นับตั้งแต่ถูกจับกุมในข้อหา “พยายามประมวลข่าวสารซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศ ตามมาตรา 27 และมาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา” ในเดือนธันวาคม ปี 2553 ขณะลงไปสำรวจพื้นที่บริเวณชายแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว พร้อมกับ “นายพนิช วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ นายวีระ สมความคิด ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ นายตายแน่ มุ่งมาจน และคณะ รวม 7 คน ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัส

แต่นับจากวันนั้นถึงวันนี้ คุกไม่ได้ทำให้อุดมการณ์ของเธอเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และวันที่เธอได้รับอิสรภาพและเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย นางสาวราตรีก็ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่า ไม่ได้บุกรุกดินแดนกัมพูชาและไม่ยินยอมเซ็นรับสารภาพความผิดที่รัฐบาลนายฮุนเซนยัดเยียดให้

ตรงกันข้ามกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น และ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ที่นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังมิได้เคยประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า คณะของนางสาวราตรีอยู่ถูกจับบนพื้นแผ่นดินไทย

ทั้งนี้ นายพนิชเดินทางเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวเพราะต้องการเข้าไปสำรวจปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ตามคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ โดยหลักฐานคือ การที่นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ว่า “คนไทยที่ถูกเขมรจับกุมทั้ง 7 คน เข้าไปดูพื้นที่ตามที่มีชาวบ้านมาร้องเรียนเรื่องที่ทำกิน รวมทั้งหลักเขตแดน ซึ่งผมได้มอบหมายให้นายพนิชไปประสานงานกับบุคคลที่มีความคิดเห็นเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อทราบปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆ และก่อนเดินทางนายพนิชบอกว่าจะไปลงพื้นที่”

แน่นอน ในครั้งนั้นมีการตั้งข้อสงสัยว่า นี่เป็นแผนการรวบหัวรวบหางเสี้ยนหนามรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่มีข้อตกลงแบบลับเฉพาะกับนายฮุนเซ็นหรือไม่ เพราะบริเวณที่ถูกจับกุมคือ บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่อยู่ระหว่างหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ 46,47 และ 48 นั้น มีข้อมูลยืนยันว่า เป็นดินแดนของไทย

ทว่า ความอัปยศก็เกิดขึ้น เมื่อนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประทศ ที่ลงทุนเดินทางเจรจากับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาที่กรุงพนมเปญ พร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “มีข้อมูลยืนยันระหว่างฝ่ายไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะพิกัดของทั้ง 7 คน ฝ่ายไทยทราบข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงที่มีเจ้าหน้าที่กรมสนธิสัญญาและกรมแผนที่ทหารเข้าไปสำรวจใกล้กับจุดเกิดเหตุพบว่า มีการรุกล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชาประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ โดยรุกล้ำเข้าไป ในหมู่บ้าน”

ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ เมื่อมีการถามว่า คนไทยทั้ง 7 คนยอมรับแล้วหรือไม่ว่าล้ำเข้าเขตกัมพูชา นายกษิตก็ตอบว่า “ยอมรับแล้ว ได้นำแผนที่แสดงพิกัด พร้อมนำภาพวิดีโอคลิปมาให้ดูด้วย”

แต่ที่หลายคนรับไม่ได้คือ มีรายงานในคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า นายกษิตไม่พอใจในเหตุที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ถึงขนาดกล่าวออกมาว่า “การกระทำของคณะคนไทยถือเป็นการกระทำที่อ่อนหัด ไม่รู้กระบวนการของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”

เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ที่นอกจากไม่ได้มีมาตรการใดๆ ออกมาช่วยเหลือคนไทยแล้ว ยังปล่อยให้นายกษิต ภิรมย์ นายสุเทพและพล.อ.ประวิตรแก้ปัญหากันเอง และยุทธศาสตร์อันโง่เขลาเบาปัญญาก็เกิดขึ้นเมื่อรัฐมนตรีเหล่านั้นต่างพากันออกมายอมรับกันอย่างหน้าชื่นตาบานว่า คนไทยทั้ง 7 คนรุกเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา

เดชะบุญที่ทั้งนายวีระ นางสาวราตรีมีเลือดรักชาติอย่างเต็มเปี่ยมด้วยการปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวแม้จะต้องติดคุกติดะรางอย่างไม่รู้ชะตากรรม ยอมใช้ชีวิตและอิสรภาพของตนเองปกป้องอธิปไตยของชาติ ซึ่งถ้านางสาวราตรีและนายวีระไม่ประกาศจุดยืนอย่างแข็งขันว่า ถูกจับบนผืนแผ่นดินไป ใครจะไปรู้ได้ว่า วันนี้ราชอาณาจักรไทยจะต้องสูญเสียดินแดนไปสักกี่มากน้อย

ทว่า แทนที่ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ นายกษิต พล.อ.ประวิตร และ นายพนิช จะนำดอกไม้ธูปเทียนแพไปขอขมานางสาวราตรีทันทีที่เดินทางกลับถึงประเทศไทย เพราะเธอคือ “วีรสตรี” ที่ปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดนไทย แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับมิเคยสำนึกถึงความผิดพลาดของตนเองเลยแม้แต่น้อย

แต่ที่ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อคือ แทนที่พลพรรคแมลงสาบจะสำนึกในบาปบุญคุณโทษและความผิดที่ได้ก่อไว้ กลับแถไถใช้เหล่าสาวกแมลงสาบออกมาเพ่นพ่านในโลกออนไลน์ด้วยการเล่นงานนางสาวราตรีที่สมควรยกย่อมอย่างสาดเสียเทเสียเพื่อปกป้องความฟอนเฟะของตนเอง

ยกตัวอย่างเช่น ความเห็นของสาวกแมลงสาบที่ใช้ชื่อว่า “อยู่ดีไม่ว่าดี” ใน www.manager.co.th ซึ่งบอกว่า “ชุมชนของเค้าอยู่ตรงนั้นค่อนข้างถาวรไม่ใช่สามารถย้ายบ้านไปย้ายบ้านมา ตอนนั้นการตรวจสอบพิกัด GPS ทำได้แน่นอนด้วยการอ้างอิงหมู่บ้านเขมรของเขา ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า ล้ำเขตแดนจริงและใครเป็นรัฐบาลเจอแบบนี้ก็คงเซ็ง”

หรือความเห็นของสาวกแมลงสาบที่ใช้ชื่อว่า “412” ที่บอกว่า Wในวีดีทัศน์ที่ได้เห็นนั้น นายวีระ นางราตรีและนายพนิชเดินไปถูกจับในชุมชนที่มีชาวเขมรอาศัยอยู่ ผมไม่ทราบหรอกว่าเขตทับซ้อนอยู่ตรงไหน ใช่แผ่นดินไทยหรือเขมรไม่ทราบ เห็นแต่มีชุมชนเขมรอยู่ ปัญหาเรื่องดินแดนมีมาก่อนรัฐบาลที่แล้ว ทำไมต้องมาเอาเป็นเอาตายด้วยครับ แล้วทำไมไม่จี้กับรัฐบาลชุดนี้บ้าง ไม่ว่าเรื่องดินแดนที่ยังเป็นปัญหาอยู่ เรื่องทุจริตต่าง ๆ และอื่น ๆ หรือนายสนธิและพวกเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นอีแอบกับทักษิณแล้ว เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาเตะตัดขาปชป.ตลอดและไม่เลิก แต่สำหรับทักษิณและพวก มีเพียงการโจมตีทางคำพูดเท่านั้น”

นี่คือสันดานแมลงสาบที่ชอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ซึ่งไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ส่วนถามว่า งานนี้สมควรยกความดีความชอบให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรหรือไม่

ตอบได้ทันทีเลยว่า ไม่สมควร

เพราะแม้นางสาวราตรีจะได้รับการปล่อยตัวในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่ก็เป็นการปล่อยตัวที่มีวาระซ่อนเร้นโดยหวังผลทางการเมืองเพื่อตอกย้ำความ อัปยศของพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งถ้าหากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความจริงใจ ก็สมควรที่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ “นายวีระ สมความคิด” ได้รับการปล่อยตัวมาพร้อมๆ กันด้วย

ซ้ำร้าย รัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการต่างประเทศที่มี “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” รัฐมนตรีว่าการ ยังได้จัดทำเอกสารที่อัปยศที่สุดเท่าที่เคยมีมาของกระทรวงการต่างประเทศกรณีปราสาทพระวิหาร นั่นคือเอกสารที่ใช้ชื่อว่า “50 ปี 50 ประเด็น ถาม-ตอบ กรณีปราสาทพระวิหาร”

สาระสำคัญของเอกสารที่จัดทำขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ก็คือ การบิดเบือนคำนิยามของคำว่า “สันปันน้ำ” ที่ระบุเอาไว้ในเอกสารท้ายข้อ 8 หน้า 10 ความว่า...

“สันปันน้ำคือแนวสันต่อเนื่องในภูมิประเทศ เมื่อฝนตกจะแบ่งน้ำเป็นสองส่วน ซึ่งอาจไม่ใช่สันเขาหรือขอบหน้าผาก็ได้ โดยปกติต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคในการพิสูจน์หาสันปันน้ำ ทั้งนี้ ตรงบริเวณปราสาทพระวิหารจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีการสำรวจหาสันปันน้ำในภูมิประเทศจริง”

เพราะในความเป็นจริงแล้วปรากฏหลักฐานชัดเจนทางประวัติศาสตร์มากมายระบุว่า ปราสาทพระวิหารอยู่บนขอบหน้าผาที่มีการสำรวจเสร็จสิ้นแล้ว และมีความชัดเจนว่า บริเวณดังกล่าวนี้สันปันน้ำอยู่ที่ขอบหน้าผา

กล่าวคือในปี 2504-2505 ที่มีการต่อสู้ในคดีปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยต่อสู้อย่างหักว่า เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่สันปันน้ำตามข้อบทอนุสัญญา ค.ศ.1904 และสันปันน้ำอยู่ที่หน้าผาซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติมาตั้งแต่ คณะกรรมการผสมไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904-1907 แล้ว โดยสามารถตรวจสอบได้จากเอกสารคำให้การของฝ่ายไทยที่ยื่นเมื่อ 29 กันยายน ปี 2504 และเอกสารคำติงของฝ่ายไทยที่ยื่นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2505 ลงนามโดยหม่อมเจ้าวงษ์มหิป ชยางกูร ตัวแทนของรัฐบาลไทยในขณะนั้น

ดังนั้น การที่กระทรวงการต่างประเทศกลับคำเมื่อเวลาผ่านไป 51 ปี โดยไม่ยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเอง จึงเป็นผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในประเด็นเขตแดนไทย-กัมพูชา ช่วง 195 กิโลเมตรจากช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีถึงช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ยังไม่มีการปักหลักเขตแดนไว้

แถมเมื่อฟังคำแก้ตัวของกระทรวงการต่างประเทศก็ยิ่งหดหู่เข้าไปใหญ่ เพราะแทนที่จะรักษาผลประโยชน์เหนืออธิปไตยของชาติเอาไว้ กลับชี้แจงราวกับเป็นข้าราชการแห่งราชอาจักรกัมพูชาว่า “ยังไม่เคยดำเนินการพิสูจน์ทราบทางวิทยาศาสตร์ในการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม(เจบีซี) ถึงเรื่องดังกล่าว”

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อาย “นายผัน กิ่งแสง” อายุ 75 ปั ชาวบ้านโศกขามป้อม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษบ้างหรือไม่ ที่ตัดสินใจขายบ้านพร้อมไร่นา รวมทั้งสิ้นจำนวน 29 ไร่ แยกเป็นสวนยางพารา 15 ไร่ , ที่นา 13 ไร่ และ ที่ดินบ้าน จำนวน 1 ไร่ ในราคา 5 ล้านบาท โดยเงินทั้งหมดที่ได้มาจะแบ่งส่วนหนึ่งให้กับลูก 4 คน เพื่อเป็นทุนในการประกอบสัมมาชีพ จากนั้นจะนำเงินทั้งหมดที่เหลือไปเป็นทุนในการกู้ชาติบ้านเมืองต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกอบกู้ผืนแผ่นดินไทยที่บริเวณเขาพระวิหารและมณฑลบูรพา


กำลังโหลดความคิดเห็น