วานนี้(3ม.ค.56) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงปัญหาจากโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทนทั่วประเทศ 396 แห่งและอาคารบ้านพักข้าราชการหรือแฟลตตำรวจ 163 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มี บริษัทพีซีซี ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น เป็นคู่สัญญา มูลค่าเกือบ 9,000 ล้านบาท ว่า จากการลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงในหลายจังหวัดฝั่งอันดามัน อาทิ จ.พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี พบว่ายังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จแม้แต่แห่งเดียว ผู้รับเหมาทิ้งงานมาแล้วเป็นปี จนกลายเป็นที่อยู่ของงูและสัตว์มีพิษ โดยเฉพาะ สภ.ท้ายเหมือง จ.พังงา มีแค่เสาเดียวจนมีคนนำป้ายไปปักว่าโรงพักเสาเดียว เป็นการประจานการทำงานของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา บริษัทพีซีซี เบิกเงินล่วงหน้าไปแล้วถึง 1,500 ล้านบาทแต่งานไม่คืบ ความเสียหายนี้ใครจะรับผิดชอบ
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า จากการสัมภาษณ์ผู้รับเหมาช่วง เป็นนักการเมืองท้องถิ่น แต่ยังไม่เคยได้รับเงินจากบริษัทพีซีซีและเกิดกรณีเดียวกันหลายจังหวัด เช่น จ.เชียงใหม่ บางรายใช้ตำแหน่งข้าราชการของภรรยาไปค้ำประกันกู้เงิน เพื่อมาดำเนินการก่อสร้างไปก่อน ทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง ผู้รับเหมาช่วงเหล่านี้ต่างตกเป็นเหยื่อของขบวนการ จึงเรียกร้องให้ผู้รับเหมาช่วงทั่วประเทศออกมาเปิดเผยข้อมูล จะผ่านสื่อ ให้กับตน หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแล สตช.ขณะนั้นและเป็นผู้ลงนามในสัญญาว่าจ้าง ออกมาชี้แจงว่า เหตุใดถึงแก้ไขหลักการเดิมที่ให้กระจายงานในระดับภาคมาเป็นรวมศูนย์ทำสัญญาว่า จ้างฉบับเดียวที่ส่วนกลาง เพราะน่าจะเล็งเห็นผลแต่ต้นว่าเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทเอกชนรายเดียว จะก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งและแฟลตตำรวจ 163 แห่งแล้วเสร็จภายในหนึ่งปี ดังนั้นนายอภิสิทธิ์อย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ส่วนนายสุเทพก็อย่าเป็นขอมดำดิน
“วันที่ 5 ก.พ.เวลา 10.00 น.จะนำหลักฐานเข้ายื่นต่อเลขาธิการสำนักงานกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพราะหลังจากบริษัทพีซีซี รับเงินงวดแรก 800 ล้านบาทจาก สตช. สั่งจ่ายเป็นเช็คผ่านธนาคารกรุงไทย ตามด้วยงวดที่สอง แล้วเงินเหล่านี้หายไปไหน น่าจะมีไอ้โม่งได้ไป เพราะไม่ถูกนำมาจ่ายให้กับผู้รับเหมาช่วง จนเป็นเหตุให้ทิ้งงาน นอกจากนี้จะยื่นหลักฐานเพิ่มเติมกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินด้วย เรื่องนี้มีคนเกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ราย แต่ยังไม่บอกว่าเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการ แต่ทราบว่าคนที่อยู่เบื้องหลังตอนนี้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ต่อสายถึงบุคคลต่าง ๆ กฎแห่งกรรมกำลังวิ่งไล่ตามคนพวกนี้พวกที่ชอบกล่าวหาคนอื่นว่าทุจริต และนี่จะเป็นโมเดลแรกของการปราบปรามทุจริต ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า หลังกระบวนการสอบสวนเริ่มชัดเจนจะจัดนิทรรศการพร้อมสัมมนา และตนจะเขียนพอคเก็ตบุ๊ค ถึงโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน และได้เริ่มลงมือเขียนบางส่วนแล้ว เนื่องจากมีความน่าสนใจ ตำรวจโดนโจรปล้นบ้านกลางวันแสกๆ และหลังจากนี้จะเป็นคิวของการทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ตามโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง หรือเอสพี 2 หรือเรียกว่าเป็นโมเดลที่ 2 ในการปราบปรามทุจริตต่อไป.
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศ ไม่มีคืบหน้าเท่าที่ควร ว่า ทั้งตนและนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ต่างมีข้อมูลความผิดเกี่ยวกับคดีดังกล่าวที่จะไปร้องให้ตรวจสอบ และมีหลักฐานชัดเจนที่สามารถเอาผิดคนที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด เพราะก่อนหน้ามีการอนุมัติการก่อสร้าง 9 ภาค 9 สัญญา แต่พอหลังเดือนมิ.ย. 2552 กลับมาเปลี่ยนสัญญาให้กับผู้รับเหมารายเดียว ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ สามารถดำเนินคดีเอาคนผิดมาลงโทษ หากพบว่าฮั้วประมูลจริง ดีเอสไอ สามารถดำเนินการได้เลย แม้จะติดปีกหนีก็ไม่พ้นความผิด เพราะได้เบิกเงินงบประมาณไปแล้ว 15% แต่เชื่อว่าผู้รับเหมาไม่ได้เงิน เพราะไม่มีการสร้างงานต่อให้แล้วเสร็จ
“ต้องขอบใจ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ที่มาเปิดประเด็นนี้ ผมไม่ขอเปิดเผยว่าข้อมูลที่มีอยู่ จะเอาผิดถึงนักการเมืองคนใดหรือใคร แต่จะให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ดำเนินการ เพราะคดีนี้ถือเป็นคดีพิเศษอยู่แล้ว” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยนำประเด็นการก่อสร้างโรงพักไม่เสร็จมาโจมตี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รวมถึงการจะไปร้อง ต่อ ป.ป.ง.และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ว่า นายสุเทพ พร้อมที่จะชี้แจงในเรื่องนี้ มีการเตรียมข้อมูลที่จะชี้แจงไว้หมดแล้ว และประชาชนก็ทราบดีว่า ตอนนี้คนของพรรคประชาธิปัตย์โดนเล่นงานตลอด เชื่อว่าจะมีคดีมาอีก
อย่างไรก็ตามได้บอกกับนายสุเทพ ไปแล้วว่า โอกาสในการให้ข้อมูลยังน้อยมาก ซึ่งนายสุเทพ ก็บอกว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น กรณีการก่อสร้างโรงพักนั้นเป็นการอนุมัติงบประมาณโดยครม. ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังยอมรับว่ามีความจำเป็น เพราะเป็นโครงการที่ดี ส่วนรายละเอียดเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างนั้น มีลำดับอำนาจหน้าที่อยู่ ซึ่งนายสุเทพ ก็อนุมัติ ตามที่หน่วยงานเสนอทุกครั้ง และสิ่งที่หน่วยงานขอมา ก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติต่อระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง และถ้าดูจากตัวเลขการประมูล ก็ไม่มีการฮั้ว เพราะเสนอราคาต่ำกว่ากันเยอะ ส่วนปัญหาการทิ้งงานที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการบริหารสัญญา ถ้าหากมีผู้ประมูลแล้วทำไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่ต้องบริหารสัญญา ว่าจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยผ่านมาหลาย ผบ.ตร.แล้ว ในสองรัฐบาล ดังนั้นจึงไม่ใช่อำนาจของรองนายกฯ
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่มีความผิด เพราะต้องไปดูว่า ถ้าผู้ประมูลทำไม่ได้ แล้วจะต้องดำเนินการอย่างไร แต่ที่มีการโยงมาถึงตัวนายสุเทพ ก็เห็นชัดเจนว่าหลายเรื่องที่ดีเอสไอ กำลังดำเนินการอยู่ก็พยายามที่จะโยงมาให้ถึงพวกตนทั้งนั้น
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า จากการสัมภาษณ์ผู้รับเหมาช่วง เป็นนักการเมืองท้องถิ่น แต่ยังไม่เคยได้รับเงินจากบริษัทพีซีซีและเกิดกรณีเดียวกันหลายจังหวัด เช่น จ.เชียงใหม่ บางรายใช้ตำแหน่งข้าราชการของภรรยาไปค้ำประกันกู้เงิน เพื่อมาดำเนินการก่อสร้างไปก่อน ทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง ผู้รับเหมาช่วงเหล่านี้ต่างตกเป็นเหยื่อของขบวนการ จึงเรียกร้องให้ผู้รับเหมาช่วงทั่วประเทศออกมาเปิดเผยข้อมูล จะผ่านสื่อ ให้กับตน หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแล สตช.ขณะนั้นและเป็นผู้ลงนามในสัญญาว่าจ้าง ออกมาชี้แจงว่า เหตุใดถึงแก้ไขหลักการเดิมที่ให้กระจายงานในระดับภาคมาเป็นรวมศูนย์ทำสัญญาว่า จ้างฉบับเดียวที่ส่วนกลาง เพราะน่าจะเล็งเห็นผลแต่ต้นว่าเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทเอกชนรายเดียว จะก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งและแฟลตตำรวจ 163 แห่งแล้วเสร็จภายในหนึ่งปี ดังนั้นนายอภิสิทธิ์อย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ส่วนนายสุเทพก็อย่าเป็นขอมดำดิน
“วันที่ 5 ก.พ.เวลา 10.00 น.จะนำหลักฐานเข้ายื่นต่อเลขาธิการสำนักงานกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพราะหลังจากบริษัทพีซีซี รับเงินงวดแรก 800 ล้านบาทจาก สตช. สั่งจ่ายเป็นเช็คผ่านธนาคารกรุงไทย ตามด้วยงวดที่สอง แล้วเงินเหล่านี้หายไปไหน น่าจะมีไอ้โม่งได้ไป เพราะไม่ถูกนำมาจ่ายให้กับผู้รับเหมาช่วง จนเป็นเหตุให้ทิ้งงาน นอกจากนี้จะยื่นหลักฐานเพิ่มเติมกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินด้วย เรื่องนี้มีคนเกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ราย แต่ยังไม่บอกว่าเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการ แต่ทราบว่าคนที่อยู่เบื้องหลังตอนนี้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย ต่อสายถึงบุคคลต่าง ๆ กฎแห่งกรรมกำลังวิ่งไล่ตามคนพวกนี้พวกที่ชอบกล่าวหาคนอื่นว่าทุจริต และนี่จะเป็นโมเดลแรกของการปราบปรามทุจริต ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า หลังกระบวนการสอบสวนเริ่มชัดเจนจะจัดนิทรรศการพร้อมสัมมนา และตนจะเขียนพอคเก็ตบุ๊ค ถึงโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน และได้เริ่มลงมือเขียนบางส่วนแล้ว เนื่องจากมีความน่าสนใจ ตำรวจโดนโจรปล้นบ้านกลางวันแสกๆ และหลังจากนี้จะเป็นคิวของการทุจริตจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ตามโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง หรือเอสพี 2 หรือเรียกว่าเป็นโมเดลที่ 2 ในการปราบปรามทุจริตต่อไป.
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศ ไม่มีคืบหน้าเท่าที่ควร ว่า ทั้งตนและนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ต่างมีข้อมูลความผิดเกี่ยวกับคดีดังกล่าวที่จะไปร้องให้ตรวจสอบ และมีหลักฐานชัดเจนที่สามารถเอาผิดคนที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด เพราะก่อนหน้ามีการอนุมัติการก่อสร้าง 9 ภาค 9 สัญญา แต่พอหลังเดือนมิ.ย. 2552 กลับมาเปลี่ยนสัญญาให้กับผู้รับเหมารายเดียว ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ สามารถดำเนินคดีเอาคนผิดมาลงโทษ หากพบว่าฮั้วประมูลจริง ดีเอสไอ สามารถดำเนินการได้เลย แม้จะติดปีกหนีก็ไม่พ้นความผิด เพราะได้เบิกเงินงบประมาณไปแล้ว 15% แต่เชื่อว่าผู้รับเหมาไม่ได้เงิน เพราะไม่มีการสร้างงานต่อให้แล้วเสร็จ
“ต้องขอบใจ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ที่มาเปิดประเด็นนี้ ผมไม่ขอเปิดเผยว่าข้อมูลที่มีอยู่ จะเอาผิดถึงนักการเมืองคนใดหรือใคร แต่จะให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ดำเนินการ เพราะคดีนี้ถือเป็นคดีพิเศษอยู่แล้ว” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยนำประเด็นการก่อสร้างโรงพักไม่เสร็จมาโจมตี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รวมถึงการจะไปร้อง ต่อ ป.ป.ง.และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ว่า นายสุเทพ พร้อมที่จะชี้แจงในเรื่องนี้ มีการเตรียมข้อมูลที่จะชี้แจงไว้หมดแล้ว และประชาชนก็ทราบดีว่า ตอนนี้คนของพรรคประชาธิปัตย์โดนเล่นงานตลอด เชื่อว่าจะมีคดีมาอีก
อย่างไรก็ตามได้บอกกับนายสุเทพ ไปแล้วว่า โอกาสในการให้ข้อมูลยังน้อยมาก ซึ่งนายสุเทพ ก็บอกว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น กรณีการก่อสร้างโรงพักนั้นเป็นการอนุมัติงบประมาณโดยครม. ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังยอมรับว่ามีความจำเป็น เพราะเป็นโครงการที่ดี ส่วนรายละเอียดเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างนั้น มีลำดับอำนาจหน้าที่อยู่ ซึ่งนายสุเทพ ก็อนุมัติ ตามที่หน่วยงานเสนอทุกครั้ง และสิ่งที่หน่วยงานขอมา ก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติต่อระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง และถ้าดูจากตัวเลขการประมูล ก็ไม่มีการฮั้ว เพราะเสนอราคาต่ำกว่ากันเยอะ ส่วนปัญหาการทิ้งงานที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการบริหารสัญญา ถ้าหากมีผู้ประมูลแล้วทำไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่ต้องบริหารสัญญา ว่าจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยผ่านมาหลาย ผบ.ตร.แล้ว ในสองรัฐบาล ดังนั้นจึงไม่ใช่อำนาจของรองนายกฯ
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่มีความผิด เพราะต้องไปดูว่า ถ้าผู้ประมูลทำไม่ได้ แล้วจะต้องดำเนินการอย่างไร แต่ที่มีการโยงมาถึงตัวนายสุเทพ ก็เห็นชัดเจนว่าหลายเรื่องที่ดีเอสไอ กำลังดำเนินการอยู่ก็พยายามที่จะโยงมาให้ถึงพวกตนทั้งนั้น
