ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโด กองปราบปราม นำโดย “พ.ต.อ.อาธิป แท่นนิล” ผกก.ปพ.บก.ป. พร้อมอาวุธครบมือรวบตัว “กำนันเป๊าะ” นายสมชาย คุณปลื้ม ขณะกำลังขับรถเข้ามายังด่านเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี ขาออก ได้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เบื้องหน้าเบื้องหลังถึงต้นสายปลายเหตุของการจับกุมกำนันเป๊าะกันอย่างกว้างขวาง
เพราะเป็นที่รับรู้กันโดยตลอดว่า ในช่วงระยะหลังกำนันเป๊าะมิได้หลบหนีไปพึ่งข้าวแดงแกงร้อนที่เกาะกง ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของเพื่อนซี้ที่เคยกอดคอกันทำมาหากิน หรือแอบไปพักผ่อนตากอากาศอยู่ที่ออสเตรเลีย หากแต่อาศัยอยู่ที่บ้านพักในตำบลแสนสุข จังหวัดชลบุรีมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว
ในช่วงเลือกตั้งใหญ่ 3 กรกฎาคม 2554 กำนันเป๊าะก็นั่งบัญชาการการเลือกตั้งอยู่ที่บ้าน ซึ่งก็ส่งผลทำให้พรรคพลังชลสามารถกวาดเก้าอี้ ส.ส.จังหวัดชลบุรีชนะพรรคประชาธิปัตย์มาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
หรือในช่วงวันเกิด 30 กันยายนที่ลูกหลานจัดงานให้ที่บ้าน กำนันเป๊าะก็ทำทีเป็นโฟนอินเข้ามาอวยพรและพูดคุยกับญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งๆ ที่ความจริงก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น
หนักไปกว่านั้นคือ ชาวบ้านร้านตลาดแถวชายหาดบางแสนก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พบกำนันเป๊าะมาเดินตลาดบางแสนอยู่เสมอๆ
เพียงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่มี “พล.ต.ท.วินัย ทองสอง” หลานเขย นช.ทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้บัญชาการ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ด้วยเหตุดังกล่าว คำถามที่สำคัญยิ่งก็คือ ใครเป็นคนสั่งให้จับกุม? และทำไมถึงต้องจับกุมในห้วงเวลานี้?
เพราะเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พ.ต.อ.อาธิป แท่นนิล คงไม่ได้กล้าบ้าบิ่นถึงขนาดปฏิบัติการด้วยตนเอง
บ้างก็ว่า เป็นเกมทางการเมืองเพื่อหวังผลบางประการ เนื่องจากหลายคนยังคงจดจำเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ มีการใช้สารพัดวิธีเพื่อยุบรวมพรรคเล็กพรรคน้อยและพรรคขนาดกลางเข้ามาอยู่ใต้ร่มธงพรรคเผาไทยได้เป็นอย่างดี
บ้างก็ว่า พรรคแมลงสาบแค้นที่พ่ายศึกเลือกตั้งที่จังหวัดชลบุรีจึงส่งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อทำลายขวัญและกำลังใจพรรคพลังชล
บ้างก็ว่า เป็นความปรารถนาของกำนันเป๊าะเอง โดยมีเหตุผลในเรื่องของสุขภาพที่อดีตกำนันคนดังย่ำแย่ลงทุกวันจากสารพัดโรคที่รุมเร้า ทั้งโรคหลอด เลือดสมองตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย มีอาการมือสั่น ทั้งโรคความดัน ทั้งเลือดออกในกระเพราะ ฯลฯ จึงตัดสินใจยอมที่จะถูกจับกุมเพื่อที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเป็นเรื่องเป็นราวโดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
ทว่า นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่สามารถสรุปได้เลยว่า ห่างไกลจากความเป็นจริง
นี่ไม่ใช่เกมการเมือง และไม่ใช่เกมลับลวงพรางเรื่องปัญหาสุขภาพ
เพราะถ้าจะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม บุตรชายคนโตของกำนันเป๊าะ แห่งพรรคพลังชลก็มิได้มีสัญญาณแห่งความขัดแย้งให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องสุขภาพ ด้วยวิสัยความเป็นเจ้าพ่ออย่างกำนันเป๊าะ คงไม่ยอมให้ลบลายด้วยการยอมให้จับกุมง่ายๆ เช่นนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่หนีคดีไปต่างประเทศ
ที่สำคัญคือ กำนันเป๊าะมั่นใจเสียด้วยซ้ำไปว่า ไม่มีตำรวจหน้าไหนกล้าจับ พ่อของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อแกะรอยหรือเส้นทางของยุทธการดับเจ้าพ่อในครั้งนี้ก็พบเงื่อนงำประการสำคัญอยู่ตรงที่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำทีมจับกุมเจ้าพ่อและผู้ทรงอิทธิพลแห่งภาคตะวันออกก็คือ “เดอะกิ๊ก” พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หน่วยเหนือของกองปราบปรามที่มี พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ เป็นผู้บังคับการ
แถมยังเป็นคำสั่งปฏิบัติการลับ “ว.5” ที่บิ๊กอู๋-พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยแม้แต่น้อย แถมยังออกอาการเอ๋อๆ เสียด้วยไปเมื่อปรากฏข่าวจับกุมกำนันเป๊าะ
นี่ไม่นับรวมขาใหญ่ผู้แลสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่าง “ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” ที่งงเสียยิ่งกว่าเมาไวน์ จนต้องตัดบทเมื่อถูกซักถาม
ไม่มีตำรวจหน้าไหนกล้าจับกำนันเป๊าะ แต่ทำไมพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ถึงกล้า
คำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงยิ่งว่า เป็นเพราะเดอะกิ๊กคือ “ตำรวจสายแข็ง” ในระดับที่ไม่ธรรมดา ทำให้ไม่เกรงกลัวว่าจะไปขัดแข้งขัดขาใคร โดยเฉพาะการเมืองที่เวลานี้เข้ามาแทรกแซงการโยกย้ายแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติจนแทบไม่มีชิ้นดี ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาคงไม่รั้งเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางยาวนานถึงเพียงนี้
วันที่ 1 ตุลาคม 2553 พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางสืบต่อจาก พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู และยังคงเหนียวแน่นอยู่ในเก้าอี้ตัวนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แม้มีความพยายามที่จะโยกย้ายมาเป็นระยะๆ แต่ด้วยความเป็นตำรวจสายแข็งจึงไม่มีใครกล้าโค่นลงสำเร็จ
ยิ่งเมื่อเจอกับลูกน้องคือ พล.ต.ต.สุพิศาล ซึ่งจัดอยู่ใน “สายแข็ง” ที่ไม่ธรรมดา เพราะมีความพยายามที่จะเลื่อยขาเก้าอี้ พล.ต.ต.สุพิศาล แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน จึงทำให้ปฏิบัติการจับกุมกำนันเป๊าะครั้งนี้จึงเกิดขึ้นโดยไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่ต้องเกรงคำต่อท้ายกำนันเป๊าะที่มีลูกเป็นรัฐมนตรี
เมื่อผนวกรวมกับความประมาทของกำนันเป๊าะที่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าลูบคม "เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันออก" สุดท้ายกำนันเป๊าะถึงรู้ซึ้งถึงสัจธรรมว่า "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม" จริง ๆ...
ส่วนถามว่ากระแสข่าวเรื่องจับเพราะต้องการประกาศศักดาท้าชนทุกขั้วอำนาจอันเนื่องมาจากปมปัญหาเก้าอี้ “ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านการปราบปราม” ซึ่งว่ากันว่าเป็นตำแหน่งที่เปิดใหม่เพื่อปูทางให้นายตำรวจระดับผู้บัญชาการรายหนึ่งก้าวขึ้นสู่เก้าอี้สูงสุด และเจ้าตัวพยายามสร้างผลงานเพื่อให้เป็นไปอย่างสง่างามสมศักดิ์ศรี แต่สุดท้ายไม่สามารถตกลงกับนายใหญ่จากแดนไกลในเรื่องผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม ที่นายตำรวจระดับผู้บัญชาการรายนั้นไม่ต้องการให้มีการล้วงลูก ซึ่งกำลังเป็นเรื่องเมาท์กันในสำนักงานตำรวจแห่งชาติขณะนี้ จนสร้างความไม่พอใจให้นายใหญ่จนต้องมีคำสั่งเบรกการเปิดตำแหน่งนั้น ถึงขณะนี้ยังไม่คำยืนยันออกมาชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่
แต่ก็เชื่อว่า มีระดับเปอร์เซ็นต์ของความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย
ทั้งนี้ สำหรับปฏิบัติการรวบ "กำนันเป๊าะ" ไม่ได้สำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน แต่มันได้ถูกวางแผนกันอย่างลับสุดยอดมาเป็นเวลาสองเดือนกว่า โดยที่แม้แต่ทีมสืบสวนบางคนยังไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเป้าหมายในการจับกุมครั้งนี้คือกำนันคนดัง ที่มีบริวารว่านเครือมากมาย อีกทั้งยังมีลูกชายเป็นถึงรัฐมนตรีอีกด้วย
หลังวันที่ 30 กันยายน 2555 คลิปงานวันเกิด นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ วัย 75 ปี เจ้าพ่อแห่งภาคตะวันออก จำเลยที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก 25 ปี คดี จ้างวานฆ่า นายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร และถูกศาลพิพากษาจำคุก 5 ปี 4 เดือน คดีทุจริตในการจัดซื้อที่ดินใน ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี แต่หลบหนีไปตั้งแต่ปี 2550 ก็แพร่สะพัดไปยังโลกไซเบอร์ อีกทั้งยังเป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ สร้างความสะทกสะเทือนใจแก่สุจริตชนที่เห็นนักโทษหนีคดียังเชิดหน้าชูตาในสังคมได้
ชาวบ้านหลายคนที่รับไม่ได้กับการที่ต้องเห็นนักโทษหนีคุกยังใช้ชีวิตปกติสุขเช่นคนทั่วไปก็ได้ส่งจดหมายร้องเรียนมายังกองบัญชาการสอบสวนกลาง โดยเนื้อความแจ้งว่าพบเห็นนักโทษหนีคุกยังคงใช้ชีวิตตามปกติอยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี โดยที่ไม่มีสีกากีหน้าไหนกล้าเข้าไปจับกุมแม้แต่หน่วยงานเดียว
หลังรับเรื่องร้องเรียนทาง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ได้ส่งเรื่องให้ พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผู้กำกับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม (ผกก.ปพ.บก.ป.) พ.ต.อ.อธิป จึงเรียก พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี สารวัตรกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ พ.ต.ท.วัฒนา ผลงานดี สารวัตรกองกำกับการ 3 กองปราบปราม ลูกน้องคนสนิทมาร่วมแกะรอยสืบสวน โดยเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้
จากนั้น พ.ต.อ.อธิปได้แบ่งกำลังออกเป็นสองชุด โดยชุดแรกให้ดำเนินการสืบค้นข้อมูลทางโซเซียลเน็ตเวิร์ค เช่นตามสำนักข่าวต่าง ๆ และเว็ปไซต์ยูทูป กระทั่งพบมีผู้ที่ใช้นามแฝงกว่า 50 รายชื่อ เข้ามาโพสต์บอกข้อมูลเกี่ยวกับกำนันเป๊าะ ซึ่งถือว่าข้อมูลละเอียดยิบมาก ๆ ทั้งยี่ห้อรถ เลขทะเบียนรถ บ้านเลขที่ ตึก โรงแรม ที่กำนันคนดังใช้เป็นที่หลบซ่อน ที่สำคัญคลิปที่ นายสมชาย โฟนอินมาถึงผู้ร่วมงานในงานวันเกิดที่บ้านนั้นมีผู้โพสต์มาว่าที่จริงแล้วกำนันเป๊าะก็อยู่ในงานด้วย แต่อยู่บนชั้นสองของบ้าน
นอกจากนี้มีผู้นำข้อมูลการเลื่อนนัดต่อศาลของนายสมชาย มาโพสต์ด้วยว่า ก่อนหลบหนีกำนันเป๊าะได้ให้ทนายอ้างกับศาลว่าตนเองป่วยและต้องเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์
ส่วนเจ้าหน้าที่อีกชุดได้ลงพื้นที่ออกหาข่าวรอบรั้วบ้านแสนสุข เลขที่ 3 ซอย 4 ถ.บางแสนล่าง ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี รังของกำนันคนดัง โดยสอบถามข้อมูลชาวบ้านและจับตาดูความเคลื่อนไหวภายในบ้านพบรถเข้าออกเกือบ 50 คัน ที่สำคัญรถทุกคันติดฟิล์มกรองแสงสีดำทึบจนมองไม่เห็นภายในรถ แต่เจ้าหน้าที่ก็ตัดออกไปทีละคัน ๆ จนเหลือรถเป้าหมายเพียงสิบคัน แต่ตอนที่เฝ้าดูอยู่นั้นไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนได้เห็นตัวกำนันคนดังเลย
ระหว่างนั้น พ.ต.อ.อธิป และลูกน้องทำงานจัดเวรเฝ้าจุด 24 ชั่วโมง กระทั่งได้เบาะแสสำคัญ จึงจัดกำลังย่อยออกไปอีก 10 ชุด ถูกวางจุดให้อยู่ที่บริเวณแสนสุข ถนนทั้งสายสุขุมวิท สายมอเตอร์เวย์ และ โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ กระทั่งเช้าวันที่ 30 ม.ค.พบรถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส รุ่นอาร์เอ็กซ์ 270 สีดำ ทะเบียนฎฎ 9579 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถเป้าหมายขับออกจากบ้านมุ่งเข้ากรุงเทพฯ
เจ้าหน้าที่ที่ถูกฝึกมาอย่างดีจากนักสืบระดับโลกทั้งของประเทศอเมริกาและแคนาดา ที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ นำมาเสริมเขี้ยวเล็บให้ก่อนหน้านี้ ก็สะกดรอยตามไป ซึ่งแม้แต่เจ้าพ่อที่ถือว่ารอบคอบเพราะเคยมีศัตรูรอบด้านคนหนึ่งก็ยังไม่ระแคะระคาย กระทั่งรถคันดังกล่าวเข้าไปจอดสงบยังโรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ จากนั้นชุดสะกดรอยก็พบว่าชายในรถคือกำนันเป๊าะผู้ต้องหาหนีคดีที่เจ้าหน้าที่ต้องการตัวนั่นเอง
แต่การที่จะเข้าไปจับกุมเจ้าพ่อภาคตะวันออกนั้นย่อมเสี่ยงต่อการปะทะหรือยิงต่อสู้ พ.ต.อ.อธิป จึงเน้นย้ำให้กำลังชุดที่จะเข้าจับกุมอย่าเพิ่งวู่วาม และให้รอก่อน เนื่องจาก ประเมินว่าเป็นไปได้ที่ นายสมชาย อาจจะนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งการจับกุมจะง่ายขึ้นเพราะไม่มีทางต่อสู้หรือหลบหนีแน่นอน
10 โมงเช้า นายสมชาย ก็เดินทางออกจากโรงพยาบาลด้วยรถคันเดิม ชุดสะกดรอยจึงรายงานให้ทราบ พ.ต.อ.อธิป จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ชุดคอนแท็คแอนคัฟเวอร์ประมาณ 10 นาย ไปดักรอที่บริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี ขาออก เขตลาดกระบัง กทม. ตามเส้นทางที่รถเป้าหมายใช้ เพราะจุดนั้นจะเป็นจุดที่รถต้องจอดจ่ายเงินและพ.ต.อ.อธิป ประเมินแล้วว่าเป็นจุดเสี่ยงน้อยที่สุด เนื่องจากไม่มีรถ พลุกพล่าน
เมื่อรถเป้าหมายมาถึงขณะที่โชว์เฟอร์ร่างท้วม ผิวขาวกำลังยื่นเงินให้พนักงานเก็บเงินที่ด่าน ชุดจับกุมก็ใช้รถปิดล้อมทั้งด้านหน้าและด้านหลังเอาไว้ พร้อมกับเข้าชาร์จโดยดึงตัวคนขับและออกนอกรถและเข้าไปนั่งประกบกำนันเปาะ และขับรถแทน โดยในรถพบว่ามีทั้งหมด 4 คน ฝั่งด้านซ้ายมีนายวินัย พ้นภัยพาล อายุ 50 ปี กำนัน ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี ส่วนเบาะนั่งด้านหลังรถ มีนายสมชาย คุณปลื้ม นั่งอยู่ และอีกรายเป็นแพทย์หญิง ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวของนายสมชาย จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงแสดงหมายจับและยึดโทรศัพท์ คนในรถทั้งหมดเพื่อไม่ให้มีการติดต่อสื่อสารกับใคร ก่อนควบคุมตัวทั้งหมดมายังกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กก.ปพ.บก.ป.(คอมมานโด โชคชัย 4) เพื่อทำบันทึกการจับกุม ซึ่ง นายสมชาย ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
จากการตรวจค้นภายในรถยนต์คันดังกล่าว พบถุงใส่กระสุนปืนลูกซอง เบอร์ 12 จำนวน 6 นัด ซุกซ่อนอยู่ที่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ ส่วนบริเวณกระโปรงหลังรถ พบถุงยาจำนวนหนึ่งของ โรงพยาบาลสมิติเวช สาขาศรีนครินทร์ และพบใบเสร็จค่ายาในชื่อ “นายกิม แซ่ตั้ง” จึงเก็บรวบรวมทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
แม้ว่าจะจับกุมตัวได้แล้ว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ รู้ดีว่าหากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป อาจจะถูกต่อรองจากฝ่ายการเมือง และผู้บังคับบัญชาได้ จึงปิดเรื่องนี้อย่างเงียบสนิท โดยบอกผู้สื่อข่าวทุกสำนักแต่เพียงว่าเป็นผู้ต้องหาระดับประเทศ
เมื่อเปิดประตูรถถูกเปิดออกสื่อทั้งหมดก็เห็นเป็นกำนันเป๊าะเดินลงมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผบช.ก.จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.สุพิศาล รายงานไปยัง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ต่อหน้ากล้องทีวีหลายกล้อง
“บอกได้เลยว่าคดีนี้ไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมทำตามหน้าที่ คดีใหญ่ ๆ ผู้มีอิทธิพลเป็นหน้าที่ของหน่วยเราอยู่แล้ว ผมทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา คดีนี้ไม่ได้ลึกลับสลับซับซ้อนเพียงแต่ว่าการจะจับกุมผู้ต้องหาระดับประเทศนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องละเอียด รอบคอบ ผมหายไปสองเดือนไปเฝ้าจุด ไปวางแผนกับลูกน้อง กระทั่งจับกุมกำนันได้ ซึ่งหากปล่อยไปถึงวันเกิดกำนันในปีนี้ก็จะมีจดหมายจากประชาชนร้องเรียนเข้ามาอีก ” พ.ต.อ.อธิป กล่าว
เฉกเช่นเดียวกับพล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ที่ประกาศชัดเจนอันเป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดว่า “สำหรับการจับกุมกำนันเป๊าะในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองแต่อย่างไร ทางเราได้รับข้อมูลทั้งทางโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค และการร้องเรียนของประชาชนเข้ามามากเป็นเวลาหลายเดือน จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่กองปราบไปสืบสวนฝังตัวหาข่าวจนสามารถจับกุมตัวได้ดัง กล่าว ที่ผ่านมาที่จับไม่ได้ก็เข้าใจการทำงานของตำรวจดีว่า ถ้าเข้าไปโดยไม่มีข้อมูลอาจจะถูกฟ้องร้องได้ แต่การจับกุมครั้งนี้ขอยืนยันไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน แต่เป็นการกู้ภาพพจน์ให้ตำรวจดีขึ้นเท่านั้น”
ถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงในรอบปีของตำรวจกองปราบปราบที่ใช้เทคนิคการสืบสวนสมัยใหม่ก็สามารถตามลากคอนักโทษหนีคุกมาดำเนินคดีได้ แม้จะรวยล้นฟ้าหรือยิ่งใหญ่แค่ไหนหากทำผิดก็ต้องได้รับโทษทัณฑ์ เช่นนั้นแล้วกฎหมายบ้านเมืองถึงจะศักดิ์สิทธิ์ และคำกระแนะกระแหนกระบวนการยุติธรรมไทยที่ว่าคุกมีไว้ขังหมากับคนจนก็จะกลายเป็นแค่คำพูดลอย ๆ เท่านั้น
เพราะพาดข่าวหัวไม้หนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับ...
"คอมมานโดบุกรวบกำนันเป๊าะคาด่วนลาดกระบัง"
ปิดตำนาน "เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันออก" สะท้อนให้เห็นว่า "ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม"
จะเหลือก็แต่ นักโทษชายหนีคดีอีก 2 คนที่ยังลอยนวลเหนือกฎหมายนั่นคือนักโทษชายหนีคดีทุจริตบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน “วัฒนา อัศวเหม” และ นักโทษชายหนีคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้วจะต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่า เมื่อไหร่ถึงจะลากคอมาลงโทษได้เสียที เพราะวันนี้ ตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นนายตำรวจมีวันนี้เพราะพี่ให้กันแทบจะหมดแล้ว