ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ในท่ามกลางการใช้วาทศิลป์และการแสดงละครเพื่อโน้มน้าวจูงใจผู้คนให้เลื่อมใสนิยมชมชอบตนเองของบรรดานักการเมืองผู้ปรารถนาเข้าไปครองอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผมใคร่ขอเสนอหลักคิดในการพิจารณาว่าวาทศิลป์เหล่านั้นมีกับดักและหลุมพรางในลักษณะใดบ้าง
นับตั้งแต่มีการเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ การหาเสียงของบรรดาผู้สมัครเหล่านั้นที่ผมได้ยินและเห็นในหน้าสื่อมวลชนและตามท้องถนนมากที่สุดน่าจะเป็นของผู้สมัครพรรคเพื่อไทย รองลงมาคือผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ และ ผู้สมัครอิสระบางคน เช่น พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นต้น แต่ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงเพียงวาทศิลป์ที่ผมคิดว่าเป็นวาทศิลป์เด่นเท่านั้น
ผู้สมัครแต่ละคนเปิดตัวโหมโรงในการหาเสียงโดยมีจุดเน้นเชิงยุทธศาสตร์ที่แตกต่างกัน ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยเริ่มจากการใช้วาทศิลป์เชิงยุทธศาสตร์ว่า การบริหารที่ไร้รอยต่อ ระหว่างกรุงเทพมหานครกับรัฐบาลกลาง จากนั้นตามด้วยมาตรการประชาชนนิยม แจกฟรีในหลายรายการ
ผมคิดว่าวาทศิลป์เรื่องการบริหารแบบไร้รอยต่อของพรรคเพื่อไทย มาจากการวิเคราะห์ของทีมยุทธศาสตร์ของพรรคซึ่งรากฐานจากประเด็นปัญหาการจัดการมหาอุทกภัยในกรุงเทพมหานครเมื่อ พ.ศ. 2554 ปัญหาช่วงนั้นคือการเกิดช่องว่างการทำงานระหว่างรัฐบาลกลางและกรุงเทพมหานคร สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมคือ การช่วงชิง บทบาทการนำและการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกัน และการผลักความรับผิดชอบกรณีที่ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ระหว่างรัฐบาลกับกรุงเทพมหานคร
ตรรกะของทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยคือ การที่ผู้ว่ากรุงเทพมหานครมาจากผู้สมัครที่สังกัดพรรครัฐบาล จะทำให้การแก้ปัญหาและการพัฒนากรุงเทพทำได้มากขึ้น เพราะรัฐบาลจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในฐานะที่เป็นพรรคเดียวกัน อันที่จริงตรรกะชุดนี้เป็นตรรกะชุดเดียวกับที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยพูดปราศรัยในที่สาธารณะเมื่อนานมาแล้วในทำนองที่ว่า พรรคของเขาจะช่วยเหลือประชาชนเฉพาะกลุ่มที่เลือกพรรคเขาเท่านั้น
ความหมายและความเชื่อที่ซ่อนเร้นภายใต้วาทศิลป์ การบริหารที่ไร้รอยต่อ ชุดนี้มีหลายประการ ซึ่งผมเห็นว่ามีความผิดพลาดและมีลักษณะขู่กรรโชก (blackmail) ผู้เลือกตั้งชาวกรุงเทพมหานคร
วาทศิลป์ การบริหารที่ไร้รอยต่อ มาจากความเชื่อที่ผิดพลาดว่า การเมืองและการบริหารปกครองคือการตอบสนองประโยชน์เฉพาะผู้ที่นิยมและเลือกพรรคของตนเอง เพราะแท้จริงแล้วการเมืองคือการกระทำพันธกิจเพื่อประเทศชาติที่ตอบสนองปัญหาและพัฒนาสร้างความผาสุกแก่ประชาชนทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นการเมืองระดับท้องถิ่นหรือการเมืองระดับชาติก็ตาม ฉะนั้นความสัมพันธ์ของรัฐบาลระดับชาติและรัฐบาลท้องถิ่นไม่ว่าจะมาจากพรรคเดียวกันหรือต่างพรรคต่างพวก ล้วนแล้วแต่ต้องปฏิบัติพันธกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกันทั้งสิ้น
การคิดแบบแบ่งเขาแบ่งเราระหว่างการเมืองสองระดับจึงเป็นความคิดที่คับแคบ การคิดที่จะขัดขวางการทำงานซึ่งกันและกันเพื่อทำให้ฝ่ายหนึ่งต้องเสียหน้าเสียคะแนนนิยมเป็นความคิดที่อัปลักษณ์ รังแต่จะสร้างความเสียหายแก่ส่วนรวม ส่วนการคิดแบบทำงานเอาหน้าสร้างคะแนนนิยม โดยละเลยการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่แท้จริงก็เป็นความคิดแบบเห็นแก่ตัวซึ่งน่าละอายยิ่งนัก
การบริหารปกครองของรัฐบาลกลางและท้องถิ่นจึงควรปราศจากรอยต่อตั้งแต่ต้น และเมื่อมีร่องรอยของช่องว่างที่เกิดจากเหตุใดก็แล้วแต่ ผู้บริหารทั้งสองระดับก็ควรหันหน้าเข้าหากันเพื่อปรึกษาหารือ และหาแนวทางในการเชื่อมประสานช่องว่างสร้างความกลมกลืนให้ไร้รอยต่อแต่โดยเร็ว มิใช่ปล่อยให้ช่องว่างหรือปมความขัดแย้งขยายตัว และนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนเองภายหลังโดยการเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้อื่น
การนำช่องว่างหรือปัญหาขัดแย้งในการทำงานของรัฐบาลกลางและกรุงเทพมหานครมาใช้เป็นยุทธศาสตร์หาเสียงจึงเป็นการกระทำที่สิ้นคิด อันแฝงด้วยความวิปริตของจิตใจ เพราะว่าเป็นการกระทำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการขู่กรรโชกผู้เลือกตั้งชาวกรุงเทพมหานครว่า หากคนกรุงเทพฯไม่เลือกผู้สมัครของพรรครัฐบาล ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา หรือได้รับการอุดหนุนจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาใดๆ หากคนกรุงเทพฯต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลก็ต้องเลือกผู้สมัครผู้ว่าฯที่สังกัดพรรครัฐบาลเท่านั้น หรือว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยคิดแบบนี้จริงๆ
การขู่กรรโชกทางการเมืองในลักษณะนี้ย่อมมิใช่การกระทำเยี่ยงวิญญูชน และยิ่งมิใช่การกระทำของผู้บริหารประเทศที่ยังมีสามัญสำนึกแห่งความผิดถูกหลงเหลืออยู่บ้าง แต่เป็นการกระทำของคนพาลหรือทุรชนผู้ที่มียังไม่ได้รับการกล่อมเกลาพัฒนายกระดับจิตสำนึกสาธารณะเยี่ยงผู้คนแห่งสังคมอารยะทั่วไป ระดับสำนึกจึงแคบสั้นและตื้นเขินซึ่งมุ่งสนองประโยชน์ของกลุ่มตนเองเป็นหลัก หาได้สนใจใยดีกับผลประโยชน์ของบ้านเมืองแต่อย่างใด
จากการบริหารที่ไร้รอยต่อในช่วงเริ่มต้น ถัดมาในเวลาไม่นานผู้สมัครพรรคเพื่อไทยก็เริ่มใช้วาทศิลป์เชิงประชานิยมในการหาเสียง ฐานคิดของวาทศิลป์ชุดนี้อยู่บนความเชื่อที่ดูถูกสติปัญญาของผู้เลือกตั้ง ผู้ใช้วาทศิลป์ทำนองนี้เชื่อว่าผู้เลือกตั้งทั้งหมดเป็นกลุ่มคนที่มุ่งหวังแต่ประโยชน์ส่วนตนในระยะสั้นที่เป็นรูปธรรม หากเสนอผลประโยชน์ที่ผู้เลือกตั้งสัมผัสจับต้องได้แล้ว ผู้เลือกตั้งก็คงจะเลือกตนเอง
สภาพความเป็นจริงในการเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ วาทศิลป์เชิงประชานิยมเป็นสิ่งที่ทรงพลังในการสร้างความสำเร็จแก่นักการเมืองจำนวนมาก รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย วาทศิลป์ประชานิยมของพรรคเพื่อไทยทำให้พรรคนี้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไประดับชาติมาแล้วหลายครั้ง ผมเองก็คงไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ในสังคมไทยได้ แต่นั่นก็เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นถึงวุฒิภาวะโดยรวมของผู้คนในสังคมว่าอยู่ในระดับใด
การประสบความสำเร็จของวาทศิลป์เชิงประชานิยมในขอบเขตส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยอนุมานว่าการใช้วาทศิลป์ชุดนี้ในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯคงจะเกิดประสิทธิผลเช่นเดียวกับในต่างจังหวัดโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ การอนุมานแบบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า ลักษณะทางสังคมและประชากรของชาวกรุงเทพฯไม่แตกต่างจากชาวต่างจังหวัดนั่นเอง
พรรคเพื่อไทยคงคิดว่าผู้เลือกตั้งที่ไหนก็เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด คงคิดว่าชาวกรุงเทพฯคิดแบบชั้นเดียวเชิงเดียวเหมือนกับผู้เลือกตั้งต่างจังหวัด คงคิดว่าชาวกรุงเทพฯใช้ประโยชน์ที่ได้จากมาตรการประชานิยมเป็นฐานในการตัดสินใจเลือกตั้ง และคงคิดว่าพวกเขาจะสามารถกุมสภาพและชี้นำความคิดของคนกรุงเทพฯได้
ถ้าทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยคิดได้แค่นี้ ก็นับว่าเป็นโชคดีของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในการรณรงค์หาเสียงในเขตเมืองค่อนข้างสูง
ส่วนวาทศิลป์อีกชุดที่มิได้มีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการ แต่มีการกระจายแบบปากต่อปากและในสื่อสังคมเครือข่ายของโลกอินเตอร์เน็ต วาทศิลป์ชุดนี้ คือ ไม่เลือกเราเขามาแน่
วาทศิลป์ชุดนี้อาศัยความกลัวและความเกลียดชังเป็นพลังขับเคลื่อน มีรากฐานจากพฤติกรรมการจลาจลเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงอันเป็นกลุ่มมวลชนของพรรคเพื่อไทย พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้เป็นที่รังเกียจของคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ ดังนั้นหากผู้สมัครพรรคการเมืองใดก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้ คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ก็แนวโน้มไม่ต้องการให้เข้ามาบริหารกรุงเทพมหานคร
การอาศัยวาทศิลป์แบบนี้ในการรณรงค์มีเป้าหมายเพื่อทำให้การตัดสินใจของผู้เลือกตั้งเบี่ยงเบนจากความสมเหตุสมผล และหันไปใช้อารมณ์เป็นฐานในการตัดสินใจ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่ต้องอาศัยพลเมืองผู้มีเหตุมีผลเป็นฐานสำหรับการตัดสินใจกระทำทางการเมือง
การใช้วาทศิลป์ทั้งสามประเภท ทั้งการบริหารไร้รอยต่อ ประชานิยม และ ไม่เลือกเราเขามาแน่ ล้วนแล้วแต่เป็นวาทศิลป์ที่ไม่สร้างสรรค์ และส่งผลเชิงลบต่อการพัฒนาความคิดและสำนึกทางการเมืองของประชาชนทั้งสิ้น เพราะวาทศิลป์แรกมีนัยของการขู่กรรโชก ถัดมามีนัยของการแลกเปลี่ยนประโยชน์เชิงการซื้อขายเสียง และเป็นการดูถูกประชาชน ส่วนวาทศิลป์สุดท้ายอาศัยอารมณ์ของความเกลียดชัง ซึ่งจะสร้างความมืดบอดทางปัญญาขึ้นมาและทำให้การเมืองไทยตกและจมอยู่ในวัฏจักรอันชั่วร้ายจนยากที่จะหลุดพ้นออกมาได้
สำหรับผู้เลือกตั้งชาวกรุงเทพ ผมคิดว่า พวกเขาส่วนใหญ่มีสติปัญญาเพียงพอในการตัดสินใจไตร่ตรอง และคงจะไม่ตกในกับดักและหลุมพรางของวาทศิลป์สิ้นคิดของบรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองเหล่านี้อย่างแน่นอน